ศึกษาข้อวัตรปฏิปทานำไปปฏิบัติ
วันที่ 13 ธันวาคม 2531 เวลา 19:00 น. ความยาว 57.09 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :

เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๓๑

ศึกษาข้อวัตรปฏิปทานำไปปฏิบัติ

ปฏิปทาที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์มั่นท่านดำเนินมาและบรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายที่ไปศึกษาอบรมกับท่านมานั้น นับว่าเป็นที่ถูกต้องเหมาะสม เฉพาะอย่างยิ่งอยู่กับองค์ของท่านเองเป็นผู้ปฏิบัติ ผู้ได้เห็นได้ยินได้ฟังจากท่านเสียเองมาปฏิบัติโดยถูกต้องแม่นยำตามที่ท่านพาดำเนินมานั้นเป็นที่แน่ใจ เวลานี้ผมก็ตะเกียกตะกายนำปฏิปทาของท่านเท่าที่สามารถ มาประพฤติปฏิบัติต่อตนเอง และเพื่อนฝูงที่มาเกี่ยวข้อง ได้ยึดเป็นหลักเป็นเกณฑ์ในการปฏิบัติต่อไป

ท่านผู้มาศึกษาทั้งหลายจึงควรสังเกตสอดรู้ ด้วยเจตนาที่เป็นอรรถเป็นธรรมด้วยดี แล้วนำข้อวัตรปฏิบัติอันเป็นส่วนภายนอกท่านไปปฏิบัติดำเนิน และนำโอวาทคำสั่งสอนของท่านที่ได้ปฏิบัติภายใน ตลอดถึงความรู้ความเห็นเป็นอย่างไรนั้น ไปเป็นคติเครื่องพร่ำสอนตนเอง ที่เรียกว่าไปปฏิบัติต่อตัวเอง การปฏิบัติของเราก็จะเป็นไปด้วยความสม่ำเสมอทั้งภายนอกและภายใน แม้ภายในจะยังไม่เป็นไปตามที่คาดหมายเอาไว้ แต่ภายนอกยังเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวเกี่ยวเกาะ ตามหลักเกณฑ์ที่ท่านสอนไว้และพาดำเนินมา ก็ยังทำใจให้อบอุ่นอยู่ไม่น้อย จึงควรยึดไว้เป็นหลักเป็นเกณฑ์

เพราะการปฏิบัติดำเนินนี้ เกี่ยวกับผู้พาดำเนินนั้นเป็นสำคัญอยู่มาก ลำพังเราคิดอ่านปฏิบัติไปเองก็ดังที่เราเห็น ๆ นั้นแล มีอยู่ทั่วไปในแดนพุทธศาสนาทั้งฆราวาสและพระเสียเองปฏิบัติเป็นอย่างไรบ้าง นี่ไม่จำเป็นจะต้องพูดไปมาก เพราะต่างคนต่างได้สัมผัสสัมพันธ์มาแล้ว จึงเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับครูอาจารย์ที่พาดำเนิน เป็นแบบเป็นฉบับที่ดีที่สุดในสมัยปัจจุบัน ดังท่านพระอาจารย์มั่นเป็นต้น นี่หาที่ค้านไม่ได้

เพราะการปฏิบัติดำเนินแต่ละข้อแต่ละแขนง ล้วนแล้วแต่มีหลักธรรมหลักวินัยเป็นเครื่องยืนยันในการปฏิบัติของท่านนั้น นอกจากเป็นธรรมที่อยู่ในวิสัยของท่าน ที่ปฏิบัติรู้เองเห็นเองขึ้นมาในทางฝ่ายธรรม ไม่ว่าจะเป็นสมาธิขั้นใดปัญญาขั้นใด จนกระทั่งวิมุตติหลุดพ้นนั้นเป็นเรื่องของท่าน เราไม่อาจเอื้อมที่จะรู้จะเห็นได้ก็ตาม แต่โอวาทคำสั่งสอนที่ระบายออกมาจากความเป็นจริงของท่านนั้น ก็เป็นสิ่งที่แน่นอนตายใจได้สำหรับผู้ศึกษาอบรมทั้งหลาย

เช่น ท่านแสดงว่าสมาธิประเภทนั้นเป็นอย่างไร สมาธิประเภทนี้เป็นอย่างไร ปัญญาประเภทนั้นเป็นอย่างไร ปัญญาขั้นนี้เป็นอย่างไรอย่างนี้ แม้เราจะยังไม่เป็นก็พอจะได้อุบายต่าง ๆ จากวิธีการแสดงของท่าน พอเป็นแนวทางยึดเป็นหลักเป็นเกณฑ์เอาไว้ แล้วไปปฏิบัติต่อตนเอง นี่ก็เป็นการศึกษาอบรมประเภทหนึ่งที่เรียกว่าธรรม

เพราะธรรมไม่เหมือนวินัย วินัยเป็นความตายตัว บัญญัติไว้อย่างไรผู้ปฏิบัติก็ต้องให้เป็นไปตามนั้น ไม่มีการตีแผ่ไปในแขนงต่าง ๆ เพราะไม่ใช่ของละเอียดเหมือนธรรม เป็นสิ่งที่บอกตายตัว จะว่าละเอียดหรือหยาบก็แสดงตามความจริงนั้นเลย จึงไม่มีข้อที่จะน่าสงสัย

ส่วนธรรมนั้นเป็นธรรมชาติที่พิสดารสุขุมคัมภีรภาพมาก ด้วยเหตุนี้ผู้ปฏิบัติจึงสามารถรู้ได้ในแง่ต่าง ๆ แห่งธรรมทั้งหลายไม่มีประมาณเลย ตามหลักธรรมหรือตำรับตำราที่ท่านแสดงไว้นั้นแสดงไว้พอประมาณ พอเป็นแบบเป็นฉบับ เป็นทางสายกลางเอาไว้ ส่วนผู้ปฏิบัติย่อมมีปลีกมีแวะมีทางแยะทางแยกทางร่วม ซึ่งอยู่ในวงอริยสัจอันเดียวกัน เป็นไปได้ทุก ๆ แขนง เป็นไปได้ในธรรมทุกขั้น

แม้สมาธิก็ยังเป็นไปได้ในการแยกจากทางอันเป็นส่วนใหญ่ คือ ตำรับตำราที่ท่านแสดงไว้ว่าสมาธิเป็นอย่างนั้น ๆ ผู้ปฏิบัติจะมีการแยกแยะ จะมีการปลีกการแวะการแตกแขนงออกไปแห่งความรู้ของสมาธินั้น ๆ เป็นไปทุกขั้นทุกภูมิของสมาธิ และมีการร่วมกันเข้าในหลักใหญ่คือที่ท่านแสดงเอาไว้ ยิ่งปัญญาด้วยแล้วยิ่งเป็นของพิสดาร เป็นของลึกซึ้งมาก ปัญญาของผู้บำเพ็ญเพื่อถอดถอนกิเลสนั้น เราก็ยึดเอาหลักใหญ่ท่านไว้ อันเป็นทางสายใหญ่สายกลางเอาไว้

การปฏิบัติของผู้ดำเนินทางด้านจิตตภาวนานั้นจะต้องมีแยกมีแยะ มีแตกแขนงไปไม่มีสิ้นสุด ไม่ว่ากิเลสไม่ว่าธรรมย่อมจะแสดงขึ้นให้เห็นในแนวรบ คือภาคปฏิบัติของผู้นั้น ๆ นั่นแลโดยไม่ต้องสงสัย กิเลสจะมีอยู่ในคัมภีร์หรือไม่มีในคัมภีร์ แต่เป็นสิ่งที่แน่ที่สุดก็คือมีอยู่ในหัวใจของคนมีกิเลสทุกประเภททุกรายไป การปฏิบัติเพื่อถอดถอน เพื่อแก้กิเลส เพื่อชำระกิเลส เพื่อรบกับกิเลส ด้วยสติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียรประโยคพยายามต่าง ๆ จึงต้องได้เจอกันกับกิเลสประเภทต่าง ๆ โดยไม่คำนึงถึงว่ากิเลสประเภทนี้มีในตำราหรือไม่ สติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียรของเราที่ก้าวเข้าสู่การต่อสู้กับกิเลสนี้มีในตำราหรือไม่ จึงไม่ได้คำนึงกัน

คำนึงหรือจดจ่อตั้งแต่วิธีปฏิบัติ วิธีต่อสู้ วิธีแก้ไข วิธีถอดถอนกัน ด้วยสติปัญญาที่จะให้ทันกันกับข้าศึกในเวลานั้น ๆ เท่านั้น นี่คือภาคปฏิบัติ แต่เวลาผลปรากฏขึ้นแล้วนั้นถึงไม่บอกก็รู้เอง ส่วนภาคปฏิบัตินี้เราจะไปคำนึงแต่ตำรับตำราอย่างเดียวนั้น เป็นการปฏิบัติตามตำรา เป็นการปฏิบัติตามคำบอกเล่า เป็นการปฏิบัติด้วยสัญญาความจดความจำ ซึ่งไม่ผิดอะไรกันกับที่เราท่องบ่นสังวัธยายจากตำรับตำรา มาจำเอาไว้ภายในหัวใจของเรา

แต่ทางภาคปฏิบัติเพื่อความจริงนี้ดำเนินลงไป เช่น สติ หลักใหญ่ท่านบอกไว้แล้วว่า สติ สพฺพตฺถ ปตฺถิยา สติจำต้องปรารถนาในที่ทั้งปวง นี่คือหลักใหญ่เป็นพื้นฐานอันใหญ่โตอยู่แล้ว ทีนี้ผู้ที่จะแยกแยะสติไปปฏิบัติต่อความเพียรของตน ที่เกี่ยวข้องกับกิเลสประเภทใดบ้างนั้น เป็นเรื่องที่ตนจะแยกจะแยะออกไปแก้ไขถอดถอน หรือต่อสู้กับกิเลสประเภทนั้น ๆ เป็นแขนง ๆ ไปนี้ท่านไม่ได้แจงเอาไว้

ปัญญาก็เหมือนกัน ท่านก็อธิบายไว้เป็นกลาง ๆ ปัญญาคือความรอบรู้ในกองสังขาร ท่านว่าอย่างนั้น ทีนี้ปัญญาที่พิจารณาในทางด้านปฏิบัตินี้ ไม่เพียงจะรอบรู้ ไม่เพียงจะพิจารณา ไม่เพียงจะแก้ไขถอดถอนกับสังขารเพียงเท่านั้น อาการใดที่เกิดขึ้นปรากฏขึ้นมาซึ่งเป็นเรื่องของกิเลสแล้ว เรื่องของปัญญาจะต้องจดจ่อต่อสู้กัน แก้ไขถอดถอนกัน จนกระทั่งผ่านไปได้ด้วยความประจักษ์ใจว่า ได้ผ่านไปแล้วในกิเลสประเภทนี้ประเภทนั้น ด้วยปัญญาประเภทนี้ปัญญาประเภทนั้น ซึ่งเราไม่ต้องไปคำนึงถึงเรื่องตำรับตำราเลย แต่จดจ่อต่อเนื่องกันกับความจริง คือระหว่างกิเลสกับธรรมต่อสู้กันนี้เท่านั้น นี่เรียกว่า ภาคปฏิบัติ ท่านเรียกว่าความจริง

คือความจริงนี้มีอยู่ในหัวใจนี้ ไม่ว่ากิเลสประเภทใด ใครจะให้ชื่อให้นาม บัญญัติบัญญังไว้มากน้อยเพียงไรก็ตาม ไม่สำคัญ สำคัญที่กิเลสประเภทต่าง ๆ จะมีหรือไม่มีในตำรา ต้องมีในหัวใจของคนมีกิเลสด้วยกันนี่สำคัญ สติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียรใด ที่จะนำมาแก้ไขถอดถอนเรื่องกิเลสซึ่งมีอยู่ในหัวใจนี้เต็มไปหมดนั้น ก็จะต้องทุ่มลงเต็มสติกำลังวังชาของตนเช่นเดียวกัน ไม่เช่นนั้นแก้ไม่ได้ ไม่เช่นนั้นไม่รอบ ไม่เช่นนั้นชำระไม่ได้ ไม่เช่นนั้นไม่เห็นความจริงระหว่างกิเลสกับปัญญาต่อสู้กัน และได้ชัยชนะซึ่งกันและกัน

วันนี้ได้อธิบายถึงเรื่องปริยัติ-ปฏิบัติที่ครูบาอาจารย์พาดำเนินมาในอุบายวิธีการความรู้ต่าง ๆ ดังที่กล่าวมาเพียงย่นย่อนี้ เป็นเรื่องของท่านรู้ท่านเห็นเอง ท่านจะนำมาชี้แจงบอกสอนเราทุกแง่ทุกมุมในวิธีการต่าง ๆ ที่ท่านได้รบได้ต่อสู้กับกิเลส จนกระทั่งได้ชัยชนะมาเป็นพัก ๆ นั้น ท่านไม่สามารถที่จะบรรยายให้เราทั้งหลายได้ฟังทุกแง่ทุกมุมไป เหมือนกับที่ท่านต่อสู้กับกิเลสนั้นเลย อันนี้เป็นสิ่งที่พวกเราทั้งหลายจะพึงทราบเอง จะพึงขวนขวายเอง ด้วย สติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียรของเรา

ตั้งแต่ขั้นพื้น ๆ ของสติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร จนก้าวขึ้นสู่ความแกล้วกล้าสามารถแล้ว เราจะได้รู้ได้เห็นธรรมทั้งหลายที่กล่าวมานี้ ทั้งฝ่ายกิเลสประเภทต่าง ๆ ไม่ว่าส่วนหยาบ ส่วนกลาง ส่วนละเอียด ทั้งปัญญาประเภทต่าง ๆ ไม่ว่าส่วนหยาบ ส่วนกลาง ส่วนละเอียด ตลอดความเพียรที่เราว่าเพียรพยายาม ๆ จนกระทั่งถึงหมุนตัวเป็นธรรมจักร เลยความเพียรนั้นไปเสียทุกด้านทุกทางทุกแง่ทุกมุม ถ้าจะเรียกว่าความเพียรก็กลายเป็นความเพียรกล้า หมุนตัวอยู่อย่างอาจหาญอย่างนี้ ก็เป็นไปอย่างนั้นไปเสีย นี่ละความเพียรตั้งแต่พื้น ๆ จนกระทั่งถึงความเพียรประเภทที่กล่าวนี้ ก็ให้เป็นขึ้นภายในจิตใจของผู้ปฏิบัติเอง จึงเรียกว่าเป็นความจริง จึงเรียกว่าเป็นสมบัติของเรา

การที่เราได้ยินได้ฟังจากครูจากอาจารย์นั้นเพียงเป็นแนวทาง ยังไม่จัดว่าเป็นสมบัติของตนโดยแท้ ต่อเมื่อเราได้ยึดอุบายวิธีการต่าง ๆ ที่ท่านแนะนำสั่งสอนเรามาประพฤติปฏิบัติต่อตัวของเรา การประพฤติปฏิบัติต่อตัวของเรานั้น ก็คือมาชำระกิเลส มาลบล้าง หรือมารบฟันหั่นแหลกกันกับกิเลสทุกประเภท ให้สิ้นไปสูญไปโดยลำดับลำดานั้นแล จึงเรียกว่าเป็นสมบัติของเรา

การต่อสู้ก็เป็นวิธีการของเราเอง การได้รับชัยชนะจนกิเลสขาดวรรคขาดตอนไป ก็เป็นความจริงที่ปรากฏขึ้นกับใจของเรา จนกระทั่งกิเลสมุดมอดไปหมดไม่มีกิเลสตัวใดเหลืออยู่ภายในจิตใจนี้เลย กลายเป็นมหาสมบัติที่เรียกว่าวิสุทธิจิต ก็เป็นสมบัติของเราเอง นี่ให้เป็นเรื่องของแต่ละราย ๆ ที่จะพึงประพฤติปฏิบัติ

ได้พูดถึงภาคปริยัติกับภาคปฏิบัติมีความต่างกันอย่างนี้ ผู้ไม่ปฏิบัติไม่อาจจะทราบได้ ไม่ว่าท่านว่าเราเรียนมาได้มากได้น้อยเพียงไร ก็จดจำได้มากได้น้อยเพียงนั้น แต่ความจริงที่จะปรากฏขึ้นให้เป็นที่หายสงสัยจากการศึกษาเล่าเรียนมานั้น ไม่ค่อยปรากฏหรือไม่ปรากฏ ดีไม่ดีแบกแต่ความสงสัยสนเท่ห์จากธรรมที่เรียนไปนั้น มีจำนวนมากมายขนาดไหน จนเป็นกังวลภายในจิตใจ เพราะหาทางออก หาทางแก้ไขตามที่ท่านสอนไว้นั้นไม่เป็นหรือหาไม่ได้

นี่ละเรื่องครูบาอาจารย์จึงเป็นของสำคัญมากเมื่อได้เห็นท่านพาดำเนิน แม้แต่เดินจงกรมเท่านี้เราก็เห็นแล้ว อ๋อ นี่เดินจงกรมท่านเดินกันอย่างนี้ ประจักษ์แล้ว ทั้ง ๆ ที่ในตำรามีอยู่ไม่น้อยเต็มไปหมด เรื่องเดินจงกรมของพระสาวก นับแต่พระพุทธเจ้าลงมาทรงเดินจงกรมและเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาก็มีในตำรับตำราเต็มไปหมด แต่เราเมื่อไม่เห็นวิธีการที่ท่านพาดำเนิน ทั้งที่เราก็เรียนจำมาได้ ว่าเดินจงกรม ว่านั่งสมาธิ แต่เราก็ทำไม่เป็น ว่าเดินจงกรมเดินยังไง เดินวิธีใด นั่งสมาธินั้น นั่งอย่างไร นั่งวิธีใด การสำรวมจิตในเวลาต่าง ๆ อิริยาบถต่าง ๆ สำรวมอย่างใด เราไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น เป็นแต่ได้ยินได้ฟังจากตำรับตำรา

ต่อเมื่อมาได้ยินได้ฟังจากครูจากอาจารย์ว่า การตั้งสติ การระมัดระวังจิตใจของตนที่จะคิดจะปรุงไปในแง่ต่าง ๆ ให้มีสติระมัดระวังอย่างนั้น ๆ ไม่ว่าแต่เพียงอิริยาบถ ทุกเวลาของจิตที่เคลื่อนไหว เพราะความเคลื่อนไหวของจิต เคลื่อนไหวออกสู่ความเป็นกิเลส นำกิเลสเข้ามาเผาผลาญจิตใจ เพราะฉะนั้นจึงต้องได้มีความเพียร ที่เรียกว่า สติธรรม ปัญญาธรรม วิริยธรรม เข้าต่อกรกันอยู่โดยสม่ำเสมอ จึงจะปรากฏเป็นความจริงขึ้นมาแล้วหายสงสัยไปเป็นพัก ๆ นี่เรียกว่าการศึกษาเล่าเรียนจากครูจากอาจารย์ต่อหน้าต่อตา ได้เห็นได้ยิน

เอ้า การเดินบิณฑบาต ท่านเดินอย่างไรนี่เราก็เห็น ทุกสิ่งทุกอย่างอันเป็นอุบายแก้ไขถอดถอนกิเลส เราได้เห็นด้วยตาของเราในบรรดากิริยาที่พอจะสัมผัสทางตา ในบรรดาเสียงที่จะสัมผัสทางหู ท่านแสดงว่าอย่างไร เพราะออกมาจากความจริงของท่านที่เคยพาดำเนินมา เราก็นำความจริงอันนั้น นำเหตุผลหรือเนื้อความอันนั้นเข้ามาสู่ใจของเรา เป็นที่เข้าใจแล้วหายสงสัย นี่ละเรียกว่าภาคปฏิบัติ เป็นอย่างนี้ จึงต้องมีครูมีอาจารย์คอยแนะนำสั่งสอน

อย่างครูบาอาจารย์สมัยปัจจุบันนี้ พ่อแม่ครูอาจารย์มั่นก็ล่วงลับไปแล้ว ผู้ได้ศึกษาอบรมกับท่านก็ได้ยึดมาเป็นหลักเป็นเกณฑ์ ทั้งภายนอกคือข้อวัตรปฏิบัติหลักธรรมหลักวินัย ทั้งภายในคือการประกอบความพากเพียร เพื่อศีล เพื่อสมาธิ เพื่อปัญญา เพื่อวิมุตติหลุดพ้น ท่านก็พาดำเนินและได้ชี้แจงแสดงให้พวกเราทั้งหลายได้ยินได้ฟัง จนเป็นที่พอใจเป็นที่จุใจ แล้วนำมาแจกจ่ายซึ่งกันและกันจนกระทั่งปัจจุบันนี้ จึงเป็นที่แน่ใจในปฏิปทาของท่านที่พาดำเนินมา

หากว่าเรายังไม่สามารถที่จะประพฤติปฏิบัติตัวได้ด้วยปฏิปทาเหล่านี้ ก็แสดงว่าเราใช้ปฏิปทาอันเป็นเครื่องมือสำคัญนี้ยังไม่เหมาะกับเรา ท่านสอนไว้ให้ขยันหมั่นเพียร เรากลับเป็นคนขี้เกียจขี้คร้านเสีย ท่านสอนให้มีความพินิจพิจารณา สอนให้มีสติสตัง สอนให้พินิจพิจารณาทางด้านสติปัญญา เราก็เป็นผู้เผอเรอไปเสีย ไม่มีสติสตัง ท่านว่าให้คิดให้อ่านไตร่ตรองในทางดำเนินอันจะเป็นไปเพื่อถอดถอนกิเลส เราก็คิดอ่านไตร่ตรองไปทางกิเลสเพื่อสั่งสมกิเลสขึ้นมาเสีย มันก็ขัดก็แย้งกันอย่างนี้ตลอดไป จึงหาผลไม่ได้ แต่เราจะไปตำหนิติเตียนปฏิปทาของท่านที่พาดำเนินและแนะนำสั่งสอนมาแล้วนั้น ว่าไม่ถูกต้อง ไม่ดี อย่างนี้ไม่ถูก มันไม่ดีอยู่กับเราผู้มาดำเนินต่างหาก นี่ให้เราคำนึงถึงจุดนี้ให้มาก

เวลานี้เรามาศึกษาอบรมกับครูบาอาจารย์อยู่นานเท่าไร มากเท่าไรแล้ว ผลที่จะพึงได้ตามที่ท่านอบรมสั่งสอนมาแล้วจากหัวใจท่าน มาปรากฏในหัวใจของเราอย่างไรบ้างหรือไม่ นี่นักปฏิบัติควรคำนึงให้มาก

เราอย่าตื่นเต้นเรื่องโลกเรื่องสงสาร เคยเป็นมาอย่างนี้ตั้งกัปตั้งกัลป์ การได้การเสีย การสุขการทุกข์ การนินทาสรรเสริญ ที่เรียกว่า โลกธรรม ๘ นี้ เป็นพื้นเพอยู่ในหัวใจของโลก หัวใจของเราของท่านทุก ๆ รูปทุก ๆ นาม ไม่ปรากฏว่าให้ความวิเศษเลิศเลออันใดแก่เราเลย เพราะฉะนั้นท่านจึงสอนให้รู้เท่า ไม่ให้ตื่นเต้นตามสิ่งที่ได้ที่เสียเหล่านี้

มีลาภเสื่อมลาภ แน่ะ ก็คือได้มาเสียไป เป็นของคู่เคียงกันนั้นเอง มียศเสื่อมยศ แน่ะ ก็ได้มาเสียไป นินทาสรรเสริญ แน่ะ ได้มาเสียไป ดีแล้วชั่ว อันหนึ่งเสริมอันหนึ่งทำลาย สุดท้ายก็สู้ฝ่ายทำลายไม่ได้ สุขทุกข์ มีเท่านี้จะว่าอะไรโลกธรรม ๘

สุขเกิดขึ้นก็หลงเสีย เพลินในความสุข ทุกข์เกิดขึ้นก็เสียใจเสีย โศกเศร้าโศกาอาลัย มีแต่เรื่องความลุ่มหลงเต็มหัวใจ ถ้าเราหลงไปตามโลกธรรม ๘ แล้ว ก็เรียกว่าหลงไปทั่วโลกธาตุดินแดนนั่นเอง ไม่มีชิ้นดีเลยในหัวใจของเราวันหนึ่ง ๆ จึงไม่ควรจะตื่นกับสิ่งทั้งหลายเหล่านี้

อะไรจะมีมากจะผลิตขึ้นมามากขนาดไหน สัมผัสสัมพันธ์กับตา หู จมูก ลิ้น กาย นี้ทั้งนั้น ตา หู จมูก ลิ้น กาย ของเราที่ได้รับการกลั่นกรองอยู่ด้วยสติอยู่ด้วยปัญญาตลอดเวลาแล้ว อันไหนที่จะเล็ดลอดสติปัญญานี้ไปได้ ที่จะไม่ให้รู้เท่าทันกับมัน

นอกจากเราเปิดโล่งไว้สำหรับความโง่เขลาเบาปัญญา ความทะเยอทะยาน ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม อันเป็นทางของกิเลสจะไหลเข้ามาอย่างง่ายดาย แล้วเข้ามาทับถมโจมตีหัวใจเราให้แหลกละลายไป ไม่มีชิ้นดีไม่มีเหลือนี้เท่านั้น เราจึงไม่เกิดประโยชน์อะไรกับสิ่งที่สัมผัสสัมพันธ์ แล้วก็ไปตำหนิว่าสิ่งนั้นไม่ดีสิ่งนี้ไม่ดี ตัวเองเป็นผู้ไม่ดี ตัวเองเป็นผู้โง่เขลาเบาปัญญา ไม่รู้เท่าทันกับสิ่งที่มาสัมผัสสัมพันธ์ ไม่ได้คำนึง ไม่ได้ตำหนิ นี่เรามาเสียที่ตรงนี้

เพราะฉะนั้นจึงให้ผลิตสติปัญญาขึ้นให้เพียงพอกับเหตุการณ์ ในวันหนึ่ง ๆ อิริยาบถหนึ่ง ๆ ความเคลื่อนไหวของจิตที่ประกอบด้วยความเพียร เคลื่อนไหวไปอย่างไรบ้าง แก้แบบนี้ไม่ทัน หาอุบายแก้แบบนั้น ต่อสู้แบบนี้ไม่ทัน หาอุบายต่อสู้แบบนั้น แก้ไขถอดถอนแบบนี้ไม่ทัน หาอุบายแก้ไขถอดถอนแบบนั้น ทำอุบายวิธีแบบนี้ไม่สงบ หาอุบายแบบนั้นมาเพื่อความสงบ ปัญญาพิจารณาไม่คล่องแคล่วในอุบายนี้ หาอุบายใหม่มาพิจารณา นั่นจึงเรียกว่าผู้มีสติผู้มีปัญญา ผู้ที่จะบำรุงสติปัญญาของตนให้มีความแก่กล้าสามารถ แล้วแตกแขนงออกไปในแง่ต่าง ๆ ให้ทันกับเหตุการณ์

เหตุการณ์คืออะไร ก็คือกิเลสประเภทต่าง ๆ นั้นแล มันสร้างเหตุการณ์ไว้ตลอดเวลาบนหัวใจเราโดยเฉพาะ แล้วกระจายออกไปสู่เครื่องสัมผัสสัมพันธ์ทั้งหลาย เพื่อส่งเสริมไปอีกแขนงหนึ่ง ๆ ให้เป็นเรื่องของกิเลสทั้งนั้น แล้วไหลเข้ามาสู่หัวใจเราดวงเดียวนี้ยังจะทนไหวเหรอ ถ้าไม่มีสติปัญญาเป็นเครื่องคัดค้านต้านทาน หรือต่อสู้หรือกลั่นกรองกันไว้บ้างแล้ว ยังไงก็จมไปได้นักบวชเรา เราไม่ต้องพูดถึงฆราวาสญาติโยมที่ไหน เพราะนักบวชเราเป็นผู้ต่อสู้ เป็นเพศที่ต่อสู้ เป็นท่าต่อสู้อยู่แล้ว ทำไมจะต้องเหลวไหลโลเลไปกับสิ่งทั้งหลาย

นี่ละ ผู้ปฏิบัติต้องใช้อุบายวิธีการต่าง ๆ พลิกแพลงเปลี่ยนแปลงหลายสันพันคม เพราะกิเลสนี่ฉลาดที่สุดเร็วที่สุด ไม่ทัน ธรรมดาแล้วไม่ทัน ออกจากใจนั้นแลแต่ไม่ทัน ใครจะทันกิเลสถ้าไม่ใช่สติกับปัญญา ก็นี่สติปัญญาของเราไปอยู่ที่ไหน หรือไม่เคยเจอไม่เคยมีสติปัญญาเลยก็ได้ แล้วจะเอาอะไรมาทันกิเลส กิเลสมันออกตลอดเวลาที่เคลื่อนไหวของใจ

ท่านว่าสังขารความปรุง เหตุที่มันจะปรุง มันปรุงได้โดยหลักธรรมชาติแห่งความคล่องตัวของมันก็มี ปรุงออกไปด้วยอารมณ์ต่าง ๆ ที่มันยึดมันหมายเอาไว้แล้ว เป็นเครื่องดึงดูดให้มันคิดมันปรุงออกไปก็มี ไม่ว่าอดีตไม่ว่าอนาคต สัญญาอารมณ์ มันวาดภาพหรือหมายไปได้ทั้งนั้น ที่จะเป็นเครื่องดึงดูดจิตใจให้คิดให้ปรุงในเรื่องนั้น ๆ เพื่อความเป็นกิเลสของตัวมันปรุงได้ทุกเวลา แต่สติปัญญาของเราไม่ทัน มันก็ไม่รู้ว่ากิเลสออกทำงาน นี่ละที่เราไม่ปรากฏผลประการใด

เพราะฉะนั้นจึงต้องได้ใช้อุบายต่าง ๆ เช่นอย่างอดหลับอดนอน ก็เพื่อที่จะให้ติดต่อสืบเนื่องกันในทางความเพียร และให้ร่างกายของเราลดกำลังลงไป เพราะร่างกายนี้ก็เป็นเครื่องมืออันสำคัญ ที่จะส่งเสริมกิเลสมีราคะตัณหาเป็นสำคัญ ให้เพิ่มกำลังขึ้นโดยลำดับ แล้วก็มาเหยียบย่ำทำลายจิตใจของเรานั้นแล การผ่อนอาหาร อดอาหารก็เหมือนกัน ไม่ใช่อดอาหารเพื่อฆ่ากิเลส ไม่ใช่ผ่อนอาหารเพื่อฆ่ากิเลส การฆ่ากิเลสฆ่าด้วยความเพียร มีสติปัญญาเป็นสำคัญต่างหาก ไม่ได้ฆ่าด้วยการอดอาหาร

การอดอาหารพระพุทธเจ้าก็ทรงอดมาแล้วเท่าไรวันเราก็รู้ นั่นท่านมุ่งต่อการฆ่ากิเลสด้วยการอดอาหารล้วน ๆ ไม่มีความเพียรทางด้านจิตใจ ทางด้านจิตตภาวนาเข้าแทรกเลย จึงไม่สำเร็จประโยชน์ นั่นเราก็ทราบแล้วว่า การอดอาหารโดยลำพังนั้นไม่ใช่เป็นวิธีการฆ่ากิเลส แต่การอดอาหารเพื่อเป็นอุปกรณ์เป็นเครื่องหนุนเครื่องช่วยความเพียรของเราให้ดีขึ้น นั้นเป็นความถูกทาง

เช่นกำลังของเรามีมาก ฉันได้มาก นอนได้มาก ร่างกายมีกำลังมาก กิเลสมีกำลังมากขึ้นตาม ๆ กัน เฉพาะอย่างยิ่งราคะตัณหา เป็นสิ่งที่ได้รับการหนุนหลัง หรือว่าได้รับการบำรุง หรือได้รับการอุดหนุนจากความมีกำลังในธาตุในขันธ์นี้เป็นอย่างดี ผู้ปฏิบัติจะทราบเรื่องเหล่านี้ผู้อื่นไม่ทราบ ต้องผู้ปฏิบัติเท่านั้น

ทีนี้เวลาเราลดอาหารลงไป ๆ ก็เท่ากับลดกำลังทางร่างกาย อันเป็นเครื่องส่งเสริมกิเลสราคะตัณหาให้น้อยลงไปโดยลำดับ ทีนี้การก้าวทางความเพียรคือสติ ถ้ากำลังของร่างกายมีมาก สติล้มเหลว กำลังของร่างกายมีน้อย ตั้งสติได้ง่าย สืบต่อกันได้ง่ายและสืบต่อกันได้เป็นลำดับลำดา ถ้าจะพูดถึงทางด้านปัญญาก็คล่องตัว ในขณะที่กำลังวังชาของร่างกายมีมาก ปัญญาก็ก้าวไม่ออก พิจารณาอะไรก็เหมือนกับมีดที่หาคมไม่ได้นั่นเอง ราวกับว่าเอาทางสันลงฟันตุ๊บตั๊บ ๆ ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร นั่น

พออดอาหารลงไปผ่อนอาหารลงไป ทั้ง ๆ ที่เราก็พยายามตั้งสติ พิจารณาด้วยปัญญามาแล้วตั้งแต่ก่อนนั้นแล แต่พอได้เครื่องส่งเสริมเครื่องช่วย คือผ่อนกำลังทางร่างกายนี้ลง สติก็ตั้งได้ติด สติก็ตั้งได้ง่าย ปัญญาก็ค่อยไหวตัวขึ้นมา นี่เราเห็นได้อย่างชัด ๆ อย่างนี้เอง การหลับการนอนก็น้อย คนเราไม่ได้ฉันอาหาร ไม่ได้รับประทานอาหารไม่ค่อยง่วง และไม่รับประทานไป ๓ วัน ๔ วันแล้วไม่ง่วง นั่นฟังซิ ความไม่ง่วง-สติก็ดีขึ้น-ถ้าพิจารณาทางด้านปัญญา-ปัญญาก็ดีขึ้น นี่เห็นอย่างชัด ๆ ในวงปฏิบัติของผู้ปฏิบัตินั้นแลจะเป็นของผู้ใด ผู้ไม่ปฏิบัติไม่ทราบ ต้องผู้ปฏิบัตินี้เท่านั้น

เราจะหวังให้ผู้ใดมาทราบเรื่องของเรา เวลากิเลสเหยียบย่ำทำลายหัวใจเรามีใครมาทราบ ไม่มีใครมาทราบ เราเป็นผู้รับเคราะห์รับกรรมเอง จากกิเลสประเภทต่าง ๆ ที่มันย่ำยีตีแหลกภายในหัวใจ เพราะฉะนั้นการแก้ไขถอดถอนกิเลส ใครจะทราบไม่ทราบก็ตาม วิธีการใดที่จะทำกิเลสให้ค่อยหมดค่อยสิ้นค่อยอ่อนกำลังลงไป วิธีการนั้นเป็นวิธีการที่ถูกต้องในการชำระกิเลส ไม่ใช่การส่งเสริมกิเลส เราก็รู้ภายในตัวของเรา

ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น การตั้งสติสตังพิจารณาด้วยปัญญา โดยการอดอาหารโดยการผ่อนในส่วนร่างกายไม่ให้มีกำลังมากเกินไปนั้น จะผิดไปที่ตรงไหน นั่น เราต้องนำมาคิด นำมาใช้ ผู้ปฏิบัติจะต้องใช้สติปัญญาให้รอบตัว นี้เป็นภาคปฏิบัติโดยทางความจริง

เราไม่ต้องไปหวังหาอะไรจนมากมาย แบบแผนตำรับตำราเราก็เรียนมาแล้ว ส่วนใหญ่จำมาได้แล้ว ส่วนย่อยส่วนแขนงต่าง ๆ ที่เป็นทางเดินของกิเลสนั้นน่ะเรายังไม่เข้าใจ ทางเดินของธรรมก็เหมือนกันเราก็ยังไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นจึงต้องได้ใช้วิธีการต่าง ๆ หลายสันพันคม คำนึงคำนวณไม่ได้อุบายที่เราจะนำมาใช้ เพื่อแก้เพื่อถอดถอนกิเลส เพราะกิเลสนี้เป็นธรรมชาติที่เฉลียวฉลาดแหลมคมมากที่สุดไม่มีอะไรเกิน ถ้าสติปัญญาไม่เหนือแล้วจะไม่ทราบ สติปัญญาไม่มีกำลังมากกว่าแล้วจะแก้กันไม่ลง มีแต่สิ่งเหล่านี้เหยียบย่ำทำลายจิตใจตลอดเวลา มีความวิเศษวิโสอะไร

ไอ้เรื่องเกิดเรื่องตายเพราะความโง่เขลาเบาปัญญาของตนนั้น เคยเป็นมาแล้วด้วยกันทุกรูปทุกนามสงสัยอะไร นอกจากจะถอดถอนกิเลสที่ฝังจมอยู่ด้วยยาพิษของมันออกไปโดยลำดับ ด้วยความเพียรโดยวิธีการต่าง ๆ ของเราที่จะพึงหาได้นี้เท่านั้นไม่มีอย่างอื่น

เราอย่าหวังพึ่งอะไรให้มากยิ่งกว่าพึ่งความเพียร พึ่งสติ พึ่งปัญญา พึ่งอุบายต่าง ๆ ที่เราพยายามผลิตขึ้นมานี้ อันนี้เป็นของสำคัญ เป็นสิ่งที่เราจะพึ่งได้โดยแท้ เอ้า ทำให้เจ้าของพึ่งเจ้าของด้วยความเพียรได้ สติให้พึ่งได้ ปัญญาให้พึ่งได้ อย่าให้กิเลสมาตีมาต่อยให้แหลกเหลวไปทุกเวล่ำเวลาดังที่เคยเป็นมานั้นเลย

นี่เราจะตั้งตัวได้ นี่เรียกว่าเราทำความรู้จักกับเรา เพราะกิเลสอยู่กับเรา ทุกข์มากน้อยเพราะกิเลสย่ำยีตีแหลกเราก็รู้ วิธีการที่จะแก้ไขถอดถอนกิเลส ด้วยอุบายวิธีใดสติปัญญาใด ก็ต้องเป็นผู้คิดผู้ค้นผู้หามาผู้ต่อสู้กับกิเลส ให้รู้ว่ากิเลสนี้มีกำลังมากน้อยเพียงไรแล้วต่อสู้กัน จนกระทั่งถึงกิเลสม้วนเสื่อลงไป ๆ ก็ให้รู้อยู่ภายในของผู้ปฏิบัตินี้แล

อย่าไปหวังพึ่งกับผู้ใด อย่าไปหวังให้ใครรู้ นอกจากตัวของเรารู้นอกจากตัวของเราเห็น นอกจากตัวของเรานี้ละ นอกจากตัวของเรานี้บริสุทธิ์พุทโธขึ้นที่หัวใจดวงนี้เท่านั้น ไม่มีอะไรจำเป็นยิ่งกว่าเราจะรู้เรื่องของเรา ทั้งฝ่ายกิเลสและฝ่ายธรรม ทั้งการต่อต้าน ทั้งการต่อสู้ ทั้งการแพ้การชนะ เราต้องรู้ทุกระยะทุกเวลาของการต่อสู้ จึงเรียกว่าเรามีสติปัญญา แพ้ตรงไหนตามแก้กันตรงนั้น หาอุบายพลิกมาเปลี่ยนแปลงมาจึงเรียกว่าปัญญา

นี้แลปัญญาในสนามรบ นี้แลปัญญาในความจริงของผู้ปฏิบัติเป็นอย่างนี้ ครั้งพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ผิดกัน เป็นอย่างนี้ หากว่าท่านจะนำมาบรรยายเสียทุกสิ่งทุกอย่างโดยทางตำราแล้ว บรรยายไม่หวาดไม่ไหว ผู้ที่ศึกษาเล่าเรียนก็จะฟั่นเฝือเหลือความสามารถแล้วก็จะท้อถอยน้อยใจไปเสีย ว่าเรามีอำนาจวาสนาน้อยจำอะไรก็ไม่ได้ รู้อะไรก็ไม่ทั่วถึง ท่านจึงได้เอาส่วนใหญ่ออกมา มีแต่ส่วนที่เป็นแก่น ๆ ทั้งนั้นที่ท่านนำมา

เฉพาะอย่างยิ่งมัชฌิมาปฏิปทาในวงอริยสัจ ๔ นี้เป็นวงที่สมบูรณ์มากที่สุด ที่จะแก้กิเลสให้ม้วนเสื่อลงไปไม่มีสิ่งใดเหลือเลย ท่านก็แสดงไว้แล้วว่ามัชฌิมาปฏิปทาคืออะไร ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตรท่านก็บอก เสยฺยถีทํ คืออะไร สมฺมาทิฏฺฐิ สมฺมาสงฺกปฺโป จนกระทั่งถึง สมฺมาสมาธิ นี่คือเครื่องมือที่ทันสมัย

พระพุทธเจ้าก็ได้ทรงสังหารกิเลสให้ม้วนเสื่อลงไปด้วยเครื่องมืออันนี้ พระสาวกทุก ๆ พระองค์ไม่มีคำว่าเว้น เป็นแต่เพียงว่าผ่านช้าผ่านเร็วต่างกันเท่านั้น ต้องได้ผ่านด้วยกันทั้งหมด แล้วบริสุทธิ์ขึ้นมาจากวงอริยสัจนี้เท่านั้น นี่ท่านก็แสดงไว้แล้วอย่างเต็มภูมิ จะให้ท่านแสดงอะไรอีก

ในตำรับตำราเรายกออกมาคลี่คลายธรรมทั้งหลาย ที่ท่านจดจารึกเอาไว้นั้น เข้ามาสู่วงปฏิบัติของตนเอง แจงออกไปซิ สติปัญญาที่ท่านแสดงไว้นั้นเป็นสติปัญญากลาง ๆ เรานำสติปัญญาของท่านที่แสดงไว้นั้นมาแจงในตัวของเรา แจงกับกิเลส กิเลสมันแจงตัวของมันไปยังไง เราก็แจงสติปัญญาตามต้อนกัน

เหมือนกับเชื้อไฟ กิเลสมันกองพะเนินเทินทึกอยู่ที่ไหน ซึ่งเป็นเชื้อไฟแห่งธรรมทั้งหลาย มีสติปัญญาเป็นสำคัญทั้งนั้น ทำไมจะตามจุดตามเผากันไม่ได้ ก็จะต้องจุดต้องเผาได้ ด้วยอุบายวิธีการของผู้ปฏิบัติธรรมด้วยความเฉลียวฉลาดนั้นแล คนโง่อย่าเข้าใจว่าจะหลุดพ้นไปได้นะ

อย่าไปนับปีนับเดือนนับวันนับคืน นับความเพียรเท่านั้นชั่วโมงเท่านี้ชั่วโมง ให้นับให้ดูระหว่างกิเลสกับเราต่อสู้กันเป็นยังไง ความแพ้ความชนะ ความฉลาดแหลมคม เวลานี้ใครฉลาด เวลานี้กิเลสฉลาดหรือธรรมได้แก่สติปัญญาฉลาด หรือถูกกิเลสเหยียบย่ำทำลายตลอดเวลา ให้ดูตรงนี้ ผลิตตรงนี้ขึ้นมา พลิกแพลงเปลี่ยนแปลงหลายสันหลายคมให้ทันกับกิเลส

นี่ละเรียกว่าผู้ที่จะหลุดพ้นจากทุกข์ ต้องเป็นผู้สนใจในจุดที่เป็นข้าศึกต่อตนเองอยู่เวลานี้ คือกิเลสทุกประเภทเป็นข้าศึกต่อหัวใจเรา เราจะแก้-แก้ด้วยวิธีใด นั่น ความเพียรสติปัญญาท่านก็บอกไว้แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างจะโหมตัวเข้ามาเป็นพลังอันเดียวกัน

เช่นอย่างขันติความอดความทน ไม่ต้องบอกมันหากทนของมันไปเอง ทนไปเอง เพียร ๆ เพื่อจะรู้เหตุรู้ผลเพียรไปเอง สติปัญญาก็ค่อยคมกล้าขึ้นไปโดยลำดับ นี่คือผู้ปฏิบัติ เพราะเห็นความจริง เพื่อนำมหาสมบัติได้แก่วิสุทธิจิต หรือนิพพานสมบัติเข้าครองในหัวใจของเรา ด้วยอุบายวิธีการแห่งความเพียรของผู้ไม่ลดละท้อถอย ของผู้เฉลียวฉลาดแหลมคมโดยทางปฏิบัตินี้แล นี่เป็นสิ่งที่เราจะตายใจได้ที่ตรงนี้

เราอย่าได้หมายพึ่งวันคืนปีเดือนมืดกับแจ้ง มันมีมาตั้งกัปตั้งกัลป์ ดินฟ้าอากาศมีมาแต่ไหนแต่ไร อย่าไปหมายพึ่งผู้ใด อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ให้หมายพึ่งตนเองด้วยการชำระกิเลสซึ่งเป็นข้าศึกกับตัวของเราอยู่ตลอดเวลานี้ ให้พังลงไปเสียหมดแล้ว นี้แลคือพึ่งตัวเองโดยหลักธรรมชาติอย่างสมบูรณ์ ไม่หวังพึ่งใครอีกแล้ว

พอจิตได้ถึงขั้นบรมสุขหรือถึงความเกษมแล้ว ไม่หวังพึ่งใคร ข้าศึกทั้งหลายก็หมดไป และหมดไปตลอดเวลาด้วยนะ ไม่ใช่หมดไปวันนี้ยังจะสู้กันวันหน้า เมื่อหมดสิ้นไปจริง ๆ แล้ว ไม่มีอะไรจะมาเกิดให้เป็นข้าศึกต่อไปอีก

ท่านจึงว่า นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ หรือนิพพานเที่ยง อะไรเที่ยงให้มันเห็นนี่ซิ ชื่อท่านพูดเอาไว้ว่านิพพานเที่ยง ๆ นั้นเป็นชื่อของนิพพานที่เที่ยง ผู้ที่เที่ยง-เที่ยงจริง ๆ ที่ได้ให้ชื่อให้นามนั้นคืออะไร ให้เห็นซิ นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง นี่ก็เป็นชื่ออันหนึ่ง ส่วนผู้ที่เป็นสุขอย่างยิ่งถึงกับได้ออกชื่อออกนามว่า นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ นั้นคืออะไร ให้เห็นในหัวใจของเจ้าของนี้ซิผู้ปฏิบัติ เมื่อเห็นนี้แล้วจะไปถามใคร

พระพุทธเจ้ามีกี่ล้าน ๆ พระองค์ก็กราบราบไปหมด เพราะความจริงเป็นอันเดียวกัน รู้อย่างเดียวกันเห็นอย่างเดียวกัน ไม่มีอะไรผิดแปลกต่างกันเลย แล้วจะถามพระพุทธเจ้าทำไม พระสาวกอรหัตอรหันต์มีจำนวนมากน้อยเพียงไร บรรดาที่เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ๆ รู้แบบเดียวกัน เห็นแบบเดียวกัน จริงแบบเดียวกัน แล้วจะไปถามท่านทำไม เมื่อความจริงที่ว่านี้เต็มอยู่ในหัวใจของเราเสียดวงเดียวนี้เท่านั้น จะกระจายไปหมดในบรรดาความจริงของท่านผู้ที่ผ่านมาแล้วทั้งหลาย คือพระพุทธเจ้าและสาวกท่าน

เวลานี้ธรรมสุดเอื้อมแล้วเหรอ มันอยู่ในความเอื้อมพอดิบพอดีตั้งแต่กิเลสงั้นเหรอ อะไรก็มีแต่กิเลสเอาความพอดีเข้ามาใส่เสียหมด การหลับการนอนการกินการอยู่การใช้การสอย การประกอบความพากเพียร มีแต่กิเลสให้เอาความพอดีไปไว้ ไปปักขวากปักหนามใส่ไว้หมด ให้เหยียบแต่ขวากแต่หนามของกิเลส นั้นเหรอเป็นของดีเราพิจารณาซิ ความเพียรของเราว่าเป็นความพอดีเป็นยังไง ไม่ใช่กิเลสตกแต่งให้หรือ ไม่ใช่กิเลสตั้งโครงการให้หรือ ตั้งข้อบังคับให้หรือ เราต้องพิจารณาสิ่งเหล่านี้

ความเพียรยังไงจึงพอดี ความเพียรที่ฆ่ากิเลสได้ เห็นอุบายวิธีการต่าง ๆ ที่ต่อสู้กับกิเลส แก้กิเลสไปโดยลำดับ ๆ นั้นแลคือความเพียรดี ไอ้เรื่องกินดี นอนดี นั่งดี ขี้เกียจขี้คร้านมาก ๆ เป็นเรื่องของกิเลสทั้งมวล เป็นผู้ให้คะแนน เป็นผู้ตัดคะแนน หรือเป็นผู้ตั้งกฎเกณฑ์ให้ เวลานี้เราอยู่ในความตั้งกฎเกณฑ์ของกิเลส จึงไม่เห็นอรรถเห็นธรรมที่จะมาฆ่ากิเลสได้เพราะเหตุนี้เอง ขอให้ท่านทั้งหลายได้นำไปพินิจพิจารณา

การปฏิบัติธรรมไม่ใช่เป็นเรื่องเล็กน้อย เพราะกิเลสไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย มันเคยสังหารโลกมาสักเท่าไรแล้ว จิตวิญญาณดวงใดที่กิเลสจะไม่ได้เข้าครอง ที่กิเลสจะไม่ได้ทำลาย ที่กิเลสจะไม่ได้สังหาร ที่กิเลสจะไม่ให้ได้รับความทุกข์ทรมาน ไม่มี จิตดวงเดียวก็ไม่มี วิญญาณดวงเดียวก็ไม่มี

เว้นจิตพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์เท่านั้นที่กิเลสไม่อาจเอื้อม นอกจากนั้นมีแต่เรื่องของกิเลสครองหมด เป็นยังไงกิเลสเป็นเรื่องเล็กน้อยไหมพิจารณาซิ แล้วเวลานี้มันอยู่ในหัวใจของเรา มันเล็กน้อยขนาดไหนพิจารณาซิ มันน้อยไหม พอขยับเท่านั้นกิเลสออกทำงานแล้ว น้อยไหมพิจารณาซิ

ให้ดูความคิดความปรุงของเรา ส่วนมากมีแต่เรื่องของกิเลส ขอให้ดูด้วยความเป็นธรรม ดูด้วยความมีสติ ดูด้วยความพากความเพียร แล้วจะเห็นความเคลื่อนไหวของกิเลสทุกระยะที่จิตแสดงตัวออกมา จะได้แก้ไขกันโดยลำดับลำดา ห้ำหั่นกันเป็นลำดับลำดา แล้วเราจะได้รู้ชัดขึ้นไปโดยลำดับ จนกระทั่งถึงฆ่าไปได้ ชำระไปได้ แก้ไปได้ ถอดถอนไปได้ นั่นจึงเรียกว่าเรามีความเพียรที่เหมาะสมกับกิเลสซึ่งเป็นเรื่องใหญ่โต

ความเพียรไม่ใหญ่โตไม่ได้ เพราะกิเลสเป็นเรื่องใหญ่โตมามากแล้ว สร้างภพสร้างชาติมาตั้งกัปตั้งกัลป์ ให้สัตว์ทั้งหลายได้รับความทุกข์ทรมาน ถ้าไม่ใช่เรื่องของกิเลสเป็นตัวข้าศึกจะมีอะไร ดินฟ้าอากาศมีอะไรที่จะมาเป็นข้าศึก นอกจากกิเลสที่ฝังอยู่ในหัวใจนี้เท่านั้นเป็นตัวภัย

การแก้กิเลสทั้งหลายเราจะมาแก้อย่างเหยาะ ๆ แหยะ ๆ อย่างนั้นจะทันกันเหรอกับเหตุการณ์ ไม่ทัน ต้องเอาให้หนักแน่นในบรรดาความเพียรทั้งหลาย เราอย่ามาเสียดายความทุกข์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ เราเคยทุกข์มามากต่อมากแล้ว กี่กัปกี่กัลป์มีแต่ความทุกข์ประเภทนี้และมากยิ่งกว่านี้ ถึงขั้นตาย-ขั้นตายมาแล้วมากขนาดไหน เพียงความเพียรของเราที่จะประกอบต่อสู้กับกิเลสนี้ ทุกข์เพียงเท่านี้ไม่ตาย ต้องขยับกันเข้าอย่างนั้นซิผู้ปฏิบัติภาวนา เพื่อความเข้มแข็งของจิตใจ เพื่อพลังของใจ

อย่าเอาอุบายวิธีการต่าง ๆ ซึ่งเป็นเรื่องของกิเลสมากล่อมให้หลับให้เคลิ้ม นี้มีแต่เรื่องเคลิ้มเรื่องหลับ เป็นเรื่องของกิเลสทั้งมวล อย่านำมาใช้ ชนิดไหนที่กิเลสจะได้ม้วนเสื่อเอาชนิดนั้นลงมา ชนิดไหนที่ไม่ชอบใจชนิดนั้นแหละเป็นธรรม ชนิดไหนที่ชอบใจนั้นแลเป็นเรื่องของกิเลส ส่วนมากเป็นอย่างนั้น

ในการปฏิบัติธรรมในขั้นเริ่มแรก ถ้ายังไม่เห็นความสัตย์ความจริงภายในจิตใจของตน อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยเข้าไปโดยลำดับแล้ว ยังไงก็ไม่พ้นที่จะถูกกล่อมจากกิเลสจนได้แหละ ความชอบใจส่วนมากมีแต่เรื่องของกิเลสเสีย เมื่อธรรมได้ก้าวสูงขึ้นไปโดยลำดับแล้ว ความชอบใจอะไรมีแต่ธรรม กิเลสม้วนเสื่อ ๆ ลงไปเรื่อย ๆ ๆ นี่เป็นธรรมละที่นี่

การที่ว่าธรรมทำงานอยู่บนหัวใจ ก็เช่นเดียวกับกิเลสทำงานอยู่บนหัวใจของเรา ขยับพับเป็นกิเลสแล้ว จิตเคลื่อนไม่ได้ พอเคลื่อนออกมาเป็นกิเลสแล้ว กิเลสทำงานแล้ว ทำงานอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะยืนจะเดินจะนั่งจะนอน ไม่ว่าเวลาเราอยู่ธรรมดา และไม่ว่าที่เรากำลังประกอบความเพียรอยู่ ก็ไม่พ้นที่กิเลสจะเข้าไปทำงานอยู่ในนั้น อย่างน้อยทำให้เผลอ มากกว่านั้นลากไปให้คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ ปรุงแต่งยุ่งเหยิงวุ่นวาย ทั้งอดีตอนาคตเป็นบ้าไปหมด ก็เพราะกิเลสลากหัวใจของเราให้ไปเป็นบ้าตามมันนั้นแล มันไม่ได้เป็นบ้า มันหลอกให้เราเป็นบ้าต่างหาก แน่ะ อย่างนี้ก็มีแต่เรื่องของกิเลสทั้งนั้น

แต่เมื่อความพากเพียรของเรามีเต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะการส่งเสริม เพราะการหนุนอยู่ตลอดเวลานี้แล้ว เราก็จะได้เห็นเรื่องของกิเลสที่ว่ามันทำงานบนหัวใจเราทำงานอย่างไร ที่กล่าวมาเหล่านี้ และเห็นไปโดยลำดับ แก้กันโดยลำดับ จนกระทั่งสติปัญญามีความสามารถแก่กล้าแล้ว ทีนี้ก็จะเข้าทำงานแทนที่กิเลส เอ้า ขยับออกเป็นธรรม แน่ะ ขยับออกไปเป็นสติ ขยับออกไปเป็นปัญญา ขยับออกไปมีเป็นความพากความเพียร มีแต่เรื่องเป็นข้าศึกกับกิเลส ฆ่ากิเลส ๆ

สุดท้ายธรรมขึ้นบนหัวใจ ขึ้นทำงานบนหัวใจ กลายเป็นอัตโนมัติ เช่นเดียวกับกิเลสที่ขึ้นครองหัวใจ แล้วสร้างผลประโยชน์ของตนโดยอัตโนมัติของมันนั้นแล กิเลสสร้างผลประโยชน์ของมันโดยอัตโนมัติฉันใด สติปัญญาซึ่งเป็นฝ่ายธรรมที่มีอำนาจมาก ก็สามารถขึ้นไปสร้างอรรถสร้างธรรมขึ้นสู่ตัวของตัวภายในจิตใจของเรา และสังหารกิเลสไปโดยลำดับ ๆ ในขณะเดียวกันนั้นแลฉันนั้นเหมือนกัน นั่น ให้นำไปพินิจพิจารณาซิ

เมื่อถึงขั้นธรรมมีกำลัง ก็ต้องเป็นอย่างกิเลสเคยมีกำลังมาก่อนและครองหัวใจเรานั่นแล เมื่อธรรมมีกำลังครองหัวใจเราก็เช่นนั้น กิเลสพังลงไป ๆ มีแต่ธรรมทำงาน สติทำงาน ปัญญาทำงาน ทุกสิ่งทุกอย่างมีแต่เรื่องของอรรถของธรรมทำงานอยู่บนหัวใจ ชะลงไป ล้างลงไป ไม่มีอะไรที่จะมาติดมาเปื้อนจิตได้ สลัดลงไป สลัดออกไป จนกระทั่งหมดไม่มีอะไรเหลือ นั้นแหละที่นี่ท่านว่าบรมสุข นั่นละท่านว่าจิตบริสุทธิ์

จากนี้ไปแล้วจะไปชำระอะไรที่นี่ ทุกข์ที่มีมากน้อยประมวลกันมาตั้งแต่วันประกอบความเพียรถึงวันนี้ เราตายไหม ไม่เห็นตาย เห็นแต่กิเลสนั่นแหละตาย ถ้าเอาจริงเอาจังแล้วกิเลสตายเราไม่ตาย เราเป็นผู้ครองจิตที่บริสุทธิ์นี้ล้วน ๆ ให้ท่านทั้งหลายได้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติซิ

มาหึงมาหวงมาห่วงมาใยอะไร กับสิ่งที่เคยเกิดเคยตายเคยเผาเรามาตลอดเวลานี้ เรายังไม่เข็ดไม่หลาบอยู่หรือ แล้วใครจะเข็ดหลาบ เราต้องต่อสู้เพื่อเรา อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ให้เห็นประจักษ์ภายในจิตใจ ระหว่างธรรมกับกิเลสฟัดกันนั่นซิ มันถึงจะได้เห็นชัด ว่านี้ละเราพึ่งตัวเองพึ่งอย่างนี้ พึ่งความพากความเพียร พึ่งสติปัญญาของเราซึ่งเป็นอาวุธทันสมัย ฆ่ากิเลสให้แหลก ๆ ๆ ไป แหลกลงไปโดยลำดับ นี่ละชื่อว่าเราพึ่งเราได้โดยลำดับลำดา จนกระทั่งเป็น อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ เต็มภูมิไม่ต้องพึ่งอะไร แน่ะ พอ นั่นการปฏิบัติธรรมต้องเป็นอย่างนั้นนะ

ได้พูดถึงเรื่องปฏิปทาที่ครูบาอาจารย์พาดำเนินมา แล้วร่อยหรอไป ๆ สุดท้ายจะเหลือแต่ชื่อแต่นาม จะไม่มีนะปฏิปทาเครื่องดำเนินเพื่อฆ่ากิเลส จะมีแต่เรื่องกิเลสฆ่าพระฆ่าเณรเราเต็มวัดเต็มวาเต็มศาสนา นี้มันทุเรศนะ ชาวพุทธเรานี่น่ะ ให้กิเลสทำลายเอาเสียแหลกไปหมดนี้น่าทุเรศมาก ศาสนาก็มีแต่ชื่ออยู่ที่ปาก หัวใจมีแต่กิเลสทำงานเผาไหม้อยู่ตลอดเวลา ทั้งพระทั้งโยมชาวพุทธของเรานี้ เรียกว่าพุทธบริษัทนี้แล ประชาชนญาติโยมก็เป็นอีกแบบหนึ่ง สร้างอีกแบบหนึ่ง เผาอีกแบบหนึ่ง พระเณรเราก็เป็นอีกแบบหนึ่ง เผาอีกแบบหนึ่ง

มีแต่เรื่องของกิเลสเผา ๆ หัวใจคน เป็นอย่างนี้ แล้วก็เผาหัวใจเราเป็นยังไง เผาหัวใจใครก็พอทำเนา เพราะไม่ร้อนเหมือนเผาหัวใจเจ้าของ เผาหัวใจเจ้าของนี่ร้อนเต็มส่วน เผาหัวใจคนอื่นถึงหากจะมีร้อนบ้าง ก็ได้จากคำระบายซึ่งกันและกัน ว่าเป็นทุกข์อย่างนั้น ๆ แค่เพียงเท่านั้นไม่มากนัก แต่ที่เผาหัวใจเรานี้ซิ เผาทั้งวันทั้งคืนยืนเดินนั่งนอน เผาด้วยความคิดความปรุง ด้วยการเสาะแสวงหาไฟมาเผาเราเองนี้แหละ เพราะอำนาจของกิเลสเป็นของสำคัญมากที่สุด

ให้พากันขวนขวาย ให้พากันพินิจพิจารณา ล้างป่าช้าที่หัวใจของเราได้แล้ว ไม่ต้องไปเกิดที่ไหนอีก ล้างที่ไหน อย่างที่เขาล้างป่าช้า ๆ ที่ว่านั้น นั่นเป็นการไปเที่ยวหาเก็บกระดูกคนตายแล้ว เจ้าของไปไหนก็ไม่รู้ เก็บกระดูกมาฝังมาเผากันก็ว่าล้างป่าช้า

ล้างป่าช้านี่ คือฟาดกิเลสให้ม้วนเสื่อลงไป กุสลากิเลสด้วยความฉลาดของเรา นี้เรียกว่าล้างป่าช้าบนหัวใจเรา ซึ่งเคยมีกิเลสครองตัวอยู่ ให้มันหมดสิ้นไปไม่มีเหลือภายในจิตใจแล้ว นั่นเรียกว่าล้างป่าช้า ดังพระพุทธเจ้าและสาวกท่านท่านล้างหมด ป่าช้าแห่งกิเลสทั้งหลายไม่มีเหลือเลย แล้วอะไรจะพาไปเกิดไปตาย ก็มีแต่ความบริสุทธิ์พุทโธนี้เท่านั้น นั่นละท่านล้างป่าช้า

นี่เพื่อนฝูงก็มามาก พระเณรทั้งหลายก็มามาก ให้ศึกษาอบรม ดูเอานะตัวอย่างเป็นยังไง ๆ ให้ดู อย่ามาเพ่น ๆ พ่าน ๆ เก้ง ๆ ก้าง ๆ ตามีให้ดู หูมีให้ฟัง ใจมีให้คิด จึงชื่อว่าเป็นผู้มาศึกษาอบรมธรรมโดยแท้ อย่ามาสักแต่ว่ามา อยู่สักแต่ว่าอยู่ ฟังสักแต่ว่าฟัง ดูสักแต่ว่าดู อย่างนี้ใครก็ดูได้เพราะเราไม่ใช่คนตาบอด ไม่ว่าฆราวาสญาติโยม คนทั้งโลกดูได้ฟังได้ทั้งนั้น แต่ฟังเป็นอรรถเป็นธรรมนี้เป็นของสำคัญมาก

เรานี้มาเพื่ออรรถเพื่อธรรม ต้องฟังให้เป็นอรรถเป็นธรรม ดูให้เป็นอรรถเป็นธรรม เป็นคติเครื่องเตือนใจเจ้าของ เวลาไปแล้วให้ได้ต้นทุนนำไปประพฤติปฏิบัติ ชื่อว่าเราได้เป็นมรดกอันหนึ่ง ๆ จากการได้เห็นได้ยินได้ฟังจากเพื่อนจากฝูงจากครูจากอาจารย์ นี่ละเป็นผู้ไม่ขาดทุนถ้าไปอย่างนี้ ให้ทุกท่านตั้งอกตั้งใจ

ศาสนาเรียวแหลมอย่าไปดูที่อื่น ดูภายนอกก็เห็นแล้วเดี๋ยวนี้จะต้องไปถามใคร ตามีหูมีเห็นด้วยกันทุกคน ว่าศาสนาเรียวแหลมหรือศาสนาเจริญ ศาสนาเจริญต้องเจริญด้วยศีลด้วยธรรมในหัวใจกายวาจาของชาวพุทธเรา นี่เรียกว่าศาสนาเจริญ กระทำอะไรออกไป ระบายอะไรออกไป พูดอะไรออกไป เป็นสำนวนที่ไพเราะเพราะพริ้งด้วยเหตุด้วยผล เพื่อการยังประโยชน์มาสู่กันและกัน นั่นท่านเรียกว่าศาสนาเจริญ

ตัวเองก็เหมือนกัน คิดเรื่องใดมุมใด ทำหน้าที่ใด พูดออกมาประโยคใด ให้เป็นอรรถเป็นธรรมเพื่อชำระสะสางกิเลส และถือเป็นประโยชน์ได้โดยลำดับลำดา ทั้งตัวเองและผู้อื่นได้เป็นคติด้วยกันหมด นี่เรียกว่าศาสนาเจริญ เอ้า เจริญเข้าไปอีก จิตมันเคยวุ่นวายเดือดร้อนเพราะอำนาจของกิเลส ชะล้างหมดไปโดยลำดับลำดา สมาธิไม่เคยมีก็มี สมาธิเป็นยังไงก็เห็นประจักษ์อยู่ในหัวใจของเรา แน่ะ ปัญญาเป็นยังไงก็เห็นประจักษ์ จนกระทั่งวิมุตติหลุดพ้นเป็นอย่างไรก็ประจักษ์ในหัวใจแล้ว นั้นเรียกว่าศาสนาเจริญที่สุดในหัวใจที่สิ้นกิเลสแล้ว นั่นละศาสนาเจริญที่สุดเจริญตรงนั้น

อย่าให้เจริญแต่กิเลสซิ เดี๋ยวนี้ศาสนาเจริญ เจริญอะไร มีแต่วัตถุ มีแต่อิฐแต่ปูนแต่หินแต่ทราย มีแต่การก่อการสร้างซึ่งโลกเขาก็ทำได้ในสิ่งนี้ แปลกประหลาดกันอะไร ไม่เห็นมีแปลก สิ่งที่แปลกตามหลักธรรมพระพุทธเจ้าที่ทรงสอนไว้ก็คือ พัฒนาจิตให้จิตมีความเจริญรุ่งเรืองภายในตัวของเราแล้ว อาการแสดงออกอันใดถูกอันใดผิด ซึ่งจิตเป็นผู้ได้รับการอบรม ได้รับการพัฒนาเจริญแล้ว ย่อมจะทราบ ย่อมจะละจะเว้นในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ทั้งแก่ตนและส่วนรวม จะบำเพ็ญประโยชน์ทั้งส่วนตนและส่วนรวม ในสิ่งที่เป็นคุณเป็นประโยชน์โดยอรรถโดยธรรมนี้เท่านั้น นั่นถ้าจิตได้รับการพัฒนาแล้วเป็นอย่างนั้น

ถ้าจิตยังไม่ได้พัฒนา อันใดที่จะทำความเสื่อมเสียแก่โลกแก่สงสารทั้งเขาทั้งเราแล้วชอบทำอันนั้น ๆ โลกมักอยากทำแต่อย่างนั้น โลกจึงเต็มไปด้วยความรุ่มร้อน เพราะทางนี้เป็นทางแห่งความรุ่มร้อน แล้วศาสนาเจริญที่ไหน ก็เห็นแต่กิเลสเจริญ เจริญทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางมารยาทการแสดงออกทุกอย่าง มีแต่เรื่องความเจริญของกิเลส แล้วนำไฟมาเผาโลกเผาคน

ไปที่ไหนมีแต่ความบ่นอื้อไปหมด หาผู้ที่จะนำความสุขความสบายมาพูดให้ฟัง ว่าข้ามีความสุขอย่างนั้นสบายอย่างนี้ไม่เคยมี เพราะไม่มีใครสนใจกับเรื่องความที่จะให้ได้รับความสุขความสบาย พอระบายให้แก่เพื่อนฝูงและที่ทั่ว ๆ ไป ให้คนทั้งหลายได้ฟังกันบ้าง พอเป็นขวัญใจขวัญตาขวัญหู มันไม่มีเวลานี้

มีแต่ฟืนแต่ไฟ เพราะกิเลสมันรุ่งเรือง กิเลสมันพัฒนาตัวเองจากจิตใจของเรานี้แล เนื่องจากเราปล่อยให้มันเสียทุกสิ่งทุกอย่าง ขึ้นชื่อว่ากิเลสแล้วมอบให้หมดเลย ให้มันเอาไปถลุงเสียจนหมด เราก็คอยรับแต่เคราะห์แต่กรรมคือความทุกข์ความทรมาน เต็มหัวใจเราหัวใจเขา เต็มไปหมด โลกอันนี้มันก็เต็มตั้งแต่กองทุกข์ละซิ ความสุขมีได้ที่ไหน เพราะเราไม่พัฒนา เราไม่ขุดไม่ค้นไม่ผลิตขึ้นมา เรื่องธรรมทั้งหลายที่จะให้เกิดความสงบร่มเย็นทั้งแก่ตนและส่วนรวมทั้งหลาย มันก็ไม่เจอละซี

นี่ศาสนาของพระพุทธเจ้าประกาศท้าทายมาสักเท่าไรแล้ว สำหรับเป็นเครื่องปราบกิเลส เป็นเครื่องปราบความทุกข์ทรมาน ปราบความประพฤติเสียหายทั้งหลาย ปราบด้วยอรรถด้วยธรรม พระองค์ประกาศมานานเท่าไร แต่เราไม่สนใจนำมาปราบละซิ ให้แต่กิเลสมาปราบเอา ๆ ก็มีแต่ความทุกข์แล้วบ่นเกิดผลประโยชน์อะไร

เราอย่าให้เป็นอย่างนั้นนะ เราเป็นนักปฏิบัติ ให้ย่นเข้ามาดูสถานที่มันผลิตฟืนผลิตไฟขึ้นคือที่ไหน ถ้าไม่ใช่ดวงใจดวงนี้จะเป็นอะไรไป ให้ดูตรงนี้ พัฒนาตรงนี้ ปราบมันตรงนี้ ปราบกิเลสปราบฟืนปราบไฟ ปราบตรงนี้ พัฒนาจิตใจให้พ้นจากฟืนจากไฟ ให้มีความร่มเย็นเป็นสุข ส่งเสริมกันตรงนี้

ปราบกิเลสลงไป ความสุขความเจริญ ความสง่างามของจิตไม่ต้องบอก จะมีขึ้นมาเอง ๆ ขัดลงไปซิขัดจิต เมื่อขัดให้ผ่องใสเต็มที่ถึงขั้นบริสุทธิ์แล้วอยู่ไหนแสนสบาย ๆ พูดไม่พูดก็สบาย คนที่หมดข้าศึกภายในจิตใจแล้ว เพราะฉะนั้นขอให้ทุกท่านนำไปประพฤติปฏิบัติ กำจัดสิ่งที่เป็นข้าศึกต่อจิตใจของเราโดยทางพัฒนาจิตใจ แล้วจะได้ประสบพบเห็นความสุขความเจริญโดยทั่วกัน ไม่ต้องบ่นให้เสียเวล่ำเวลา

เอาละ การแสดงธรรมเพียงแค่นี้


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก