พุทธศาสนานี้รู้สึกว่าละเอียดอ่อนมากที่สุดเลย ปฏิบัติไปเท่าไรยิ่งเห็นความละเอียดลึกซึ้ง ถ้าพูดให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยก็ปฏิบัติไปเท่าไรรู้เท่าไร ก็เหมือนเราท่องเที่ยวในอากาศ หาที่สิ้นสุดยุติไม่ได้ นั่นละศาสนธรรมของพระพุทธเจ้า เป็นความละเอียดสุดซึ้ง หาความยุติแห่งความละเอียดไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงเรียกว่า โลกุตรธรรม คือเหนือโลก เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะคำว่าโลกก็หมายถึงสมมุติทั้งมวลนั่นแล
ธรรมที่ว่าเหนือโลกเหนือสมมุตินี้ เหนือจริงๆ ไม่มีที่สิ้นสุดยุติ ผู้มาตรัสรู้ก็ต้องเป็นผู้มีความสามารถในธรรมทั้งหลายที่จะรู้จะเห็นได้ จึงรู้ได้เห็นได้ ไม่ใช่ตาสีตาสาก็มารู้ได้เห็นได้ และเครื่องยืนยันของพระพุทธศาสนานี้และเครื่องยืนยันของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ ตลอดถึงพระอรหันต์ที่เป็นพระสาวกของพระพุทธเจ้าทุกๆ องค์นั้น ยืนยันกันที่อริยสัจ ๔ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค นี้เป็นเครื่องยืนยันในความหลุดพ้นของพระพุทธเจ้าและพระสาวกทุกๆ พระองค์และองค์ จะต้องหลุดพ้นกันที่ตรงนี้
เพราะฉะนั้น อริยสัจ ๔ จึงเป็นเครื่องยืนยันกลั่นกรองจิตของพระพุทธเจ้าและพระสาวกทุกพระองค์ให้บริสุทธิ์สุดส่วน อริยสัจนี้จึงไม่มีกาลสถานที่หรือเรียกว่า อกาลิโก ทนต่อการพิสูจน์ได้ตลอดมาและตลอดไป เป็นเครื่องยืนยันอยู่ตลอดเวลา ผู้ปฏิบัติจึงไม่ควรคิดถึงอดีตอนาคต เช่น ศาสนาล่วงมาเป็นเวลานานแล้วและเรียวแหลมไปแล้ว อะไรอริยสัจเรียวแหลมที่ตรงไหน นี่เราไม่คิดมาเป็นข้อเทียบเคียงกัน และต่อไปนี้ศาสนาก็ยิ่งจะเรียวแหลมไปเป็นลำดับลำดา นั่นหมายถึงอนาคต ทั้งที่อดีตผ่านมาแล้วก็เป็นเครื่องตัดทอนกำลังแห่งความอุตส่าห์พยายาม และความเชื่อถือซึ่งเป็นจุดสำคัญของเราให้ด้อยลงเป็นลำดับๆ และเรื่องอนาคตที่ว่าเรียวแหลมไปโดยลำดับลำดา นี้ก็เป็นเครื่องตัดทอนเข้ามาสู่ความจนตรอกจนมุม จนหาที่ก้าวเดินไม่ได้ สุดท้ายก็ไม่พ้นที่กิเลสจะเอาขึ้นเขียงสับยำแหลก ถ้าพูดเป็นอาหารก็เรียกว่าเป็นลาบไปเลยไม่ได้ นี่ละไม่พ้นที่จะเป็นชิ้นเนื้อให้กิเลสสับยำแหลกเป็นจุณวิจุณไปจนได้
สิ่งที่กล่าวมานี้เราทั้งหลายไม่เคยคำนึง เพราะไม่เคยคิดว่ามันเป็นอุบายของอันใด เราจะคิดแต่เพียงว่าเป็นความคิดของเรา คิดมาอย่างนี้แล้วคิดไปอย่างนั้น เราหาได้ทราบไม่ว่าฉากหนึ่งหรือเครื่องหนุนจะให้คิดและให้พูดออกมาอย่างนี้ ให้คิดและให้พูดออกไปอย่างนั้น ทั้งอดีตทั้งอนาคตนั้น เป็นเครื่องจักรเครื่องยนต์ของสมุทัยตัวสำคัญหมุนติ้วอยู่ภายในจิตใจ ให้คิดให้พูดอย่างนั้น สุดท้ายก็ตัดทอนเข้ามาให้หาทางก้าวเดินไม่ได้ นี่ที่ว่าปิดทางก้าวเดินก็คือเรื่องของสมุทัย นี่ละอริยสัจอันหนึ่ง
สิ่งนี้เมื่อมีกำลังมากอยู่ในหัวใจดวงใด ครองอยู่ในหัวใจดวงใด จะไม่ทำใจดวงนั้นให้มีช่องว่างพอจะคิดอรรถคิดธรรม คิดหาทางออกพ้นอำนาจหรือวิสัยของมันไปได้เลย ท่านจึงกล่าวว่าผู้หนาแน่น เช่น ปทปรมะ นี่หมายถึงผู้หนาแน่นอย่างนี้เอง ไม่เชื่อทั้งบุญทั้งบาปทั้งนรกสวรรค์นิพพาน ทั้ง ๆ ที่ธรรมเหล่านี้ปราชญ์ทั้งหลายท่านครองมากี่กัปกี่กัลป์นับไม่ถ้วน และยังจะครองธรรมเหล่านี้ด้วยความรู้แจ้งเห็นจริงและรับทราบในพระทัยไปโดยลำดับ นับตั้งแต่พระพุทธเจ้าที่ผ่านมาทางอดีต และจะเป็นไปในอนาคต จะพ้นจากที่จะทรงรู้ทรงเห็นทรงธรรมเหล่านี้ไปไม่ได้ คือไม่พ้นที่จะรู้จะเห็นจะทรงธรรมเหล่านี้ในพระทัยไปไม่ได้ ว่างั้นเลย
นี่ละธรรมกับโลกหรือว่าสมุทัยกับมรรค มีเป็นคู่เคียงเป็นคู่ปรับกันมา เช่นเดียวกับโรคและยาและหมอ ในเวลาหรือในสมัยที่มีแต่โรคล้วนๆ เต็มหัวใจเต็มร่างกายของโลกของสัตว์ ไม่มียา สัตว์ก็ได้รับความทุกข์ความทรมานมากหาทางออกไม่ได้ ด้วยยาขนานใดหมอคนใด ใครเป็นแล้วก็มีแต่คอยจะจมลงไปๆ คอยลมหายใจที่จะดับจะสุดจะสิ้นไปเท่านั้น สมัยเช่นนี้เป็นสมัยที่คนไข้ได้รับความทุกข์มาก และไม่มีหวังเป็นจำนวนมาก ถึงกับไม่มีหวังเลย เพราะไม่มียาไม่มีหมอ
โรคกิเลสซึ่งแสดงอาการกำเริบ เมื่อห่างเหินจากธรรมจากหมอ และไม่มียาคือธรรมและหมอด้วยแล้ว ก็ย่อมเป็นโรคที่มีอำนาจใหญ่ที่สุดที่จะแผลงฤทธิ์ขึ้นมาภายในจิตใจของสัตว์โลกแต่ละรายๆ ให้แสดงอาการหรือลวดลายแห่งความฉิบหายฆ่าตัวหรือทำลายตัวโดยถ่ายเดียวเท่านั้น ถ้าเป็นโรคร่างกายก็เรียกว่า กินแต่ของแสลง ทานแต่ของแสลง หยูกยาหมอไม่สนใจ นี่จิตก็มีแต่ทางที่จะคิดในสิ่งที่ปิดตันตัวเองให้ก้าวเดินออกไม่ได้ และเป็นทางโล่งลงในทางความล่มจมโดยถ่ายเดียว ก้าวก็ก้าวลงทางล่มจมฉิบหายแก่ตัวเองโดยถ่ายเดียว ด้วยความคิดความปรุง ด้วยอาการขวนขวายทุกกิริยาที่แสดงออกภายในจิตใจและร่างกายของตน
นี่เป็นวาระของจิตที่มีสมุทัยแน่นอยู่ภายในจิตใจ แผลงฤทธิ์ให้สัตว์ทั้งหลายได้รับความทุกข์ความเดือดร้อน กาลเช่นนี้เวลาเช่นนี้จะมีอยู่ในจิตดวงใดก็ตาม เราวาดภาพเอาก็ได้ว่า ความทุกข์นั้นเราเคยผ่านมาด้วยกันทุกคน ทำไมจะวาดภาพความทุกข์ที่หายาแก้หาธรรมแก้ หาครูหาอาจารย์หาศาสดามาแก้มาถอดมาถอนไม่ได้ แน่ะ ทำไมเราจะคาดไม่ถูก เรื่องความทุกข์ความทรมานถึงขั้นมหันตทุกข์ต้องเป็นไปจากอำนาจของกิเลสที่มีความรุนแรง กดขี่บังคับสัตว์ทั้งหลายให้ล่มจมลงไปถึงขนาดที่ว่า ถ้าหากเป็นคู่เคียงกันกับพระนิพพานได้แล้ว เป็นคู่แข่งกันแล้วก็เรียกว่า ไม่มีทางได้เกิดเลย แต่นี้เกิดวันยังค่ำก็คือเรื่องของกิเลสฝังอยู่ภายในหัวใจสัตว์ ไม่มีการเกิดไม่มีการตาย ทุกข์ก็หายไปนั้นเป็นเรื่องของศาสนธรรมคู่ปรับกันกับกิเลส เมื่อสังหารกิเลสสิ้นไปจากหัวใจแล้ว จิตย่อมหมดทางเกิดตาย และหมดเรื่องความทุกข์ทั้งหลาย ไม่มีอีกเลยตลอดอนันตกาล นี่เป็นคู่เคียงกัน
สัตว์โลกผู้ที่ถูกอำนาจของสมุทัยบีบบังคับ ย่อมจะทำความชั่วได้ทุกสิ่งทุกอย่างโดยไม่มีที่จะเลือก ไม่มีโอกาสจะเลือก ไม่มีความรู้ความสามารถจะเลือกได้ เพราะความรู้ของเราไม่มี มีแต่ธรรมชาติที่มันเหนือเรา เป็นธรรมชาติที่ผลักดันและกดขี่บังคับให้ก้าวให้เดินให้ทำ ให้คิดให้สร้างในสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายโดยถ่ายเดียวเท่านั้น เราจึงไม่มีโอกาสที่จะปลีกตัวหรือหลบหลีกจากสิ่งเหล่านี้ไปได้
ก็นี่เรามาบวชในพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นศาสนาเอกไม่มีอะไรเสมอแล้วในโลกนี้ และได้เป็นผู้ประพฤติปฏิบัติอรรถธรรม คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าอยู่อย่างเต็มหัวใจ และเป็นโอกาสที่เหมาะสมที่สุด ไม่มีโอกาสใดที่จะเสมอเหมือนโอกาสของนักบวชและผู้ปฏิบัติของเรา เหล่านี้ได้อยู่ในเงื้อมมือเราแล้วทั้งนั้น แต่การที่จะสละหรือการที่จะก้าวเดินตามเครื่องหมายตามโอกาสที่อำนวยอยู่แล้วนี้ มันขึ้นอยู่กับเราแต่ละท่านๆ จึงไม่ควรนอนใจในการประพฤติปฏิบัติ เพื่อกำจัดสิ่งที่กล่าวมาเหล่านี้ให้เหือดแห้งหรือหมดสิ้นไปจากใจ ทุกข์อันเป็นเงาเทียมตัวหรือตามตัวนั้น ก็จะได้ห่างเหินหรือจืดจางว่างเปล่าหมดไปจากจิตใจของเรา เพราะอำนาจแห่งข้อปฏิบัติอรรถธรรมซักฟอกจิตใจให้มีความสะอาดสว่างกระจ่างแจ้ง เห็นบาปเห็นบุญเห็นสิ่งมัวหมองคือสมุทัยไปโดยลำดับ นับตั้งแต่ขั้นหยาบๆ จนถึงขั้นละเอียดและละเอียดสุด ด้วยอำนาจของปัญญาธรรม หรือจะเรียกว่าญาณวิถีที่สำคัญอันละเอียดยิ่งกว่านี้เข้าไปอีกก็ไม่ผิด
สิ่งเหล่านี้พร้อมอยู่แล้วในหัวใจของแต่ละดวงๆ เฉพาะให้เห็นอย่างชัดๆ ก็คือเราๆ ท่านๆ ที่นั่งฟังการอบรมอยู่เวลานี้ พร้อมแล้วทุกสิ่งทุกอย่างที่จะก้าวเดินตามอรรถธรรม อันเป็นทางเบิกกว้างออกเพื่อความพ้นทุกข์โดยถ่ายเดียวเท่านั้น อย่างเต็มสติกำลังความสามารถของเรา ไม่ควรจะนอนใจ อันความทุกข์ความทรมานนี้ เราไม่สามารถที่จะคิดย้อนหลังไปได้ถึงภพชาติ ที่เคยเป็นมาแล้วกี่ภพกี่ชาติกี่ปีกี่เดือนกี่กัปกี่กัลป์ แต่เรายังพอสามารถคิดย้อนหลังไปได้ในชาติแห่งความเป็นมนุษย์ อันเป็นชาติที่สูงกว่าบรรดาสัตว์ทั้งหลายนี้ว่า มีความทุกข์มากน้อยเพียงไร และสิ่งที่เราได้เคยผ่านมาทางตาหูจมูกลิ้นกายใจนี้ มีความวิเศษวิโสเลิศเลออย่างไรบ้าง พอที่จะให้เราได้มีความติดพัน ให้เกิดความทุกข์ผันจิตใจของเราอยู่ไม่หยุดไม่ถอย เช่นเดียวกับความไม่อิ่มพอในเชื้ออันที่ทำให้เกิดทุกข์ สิ่งที่ดีเลิศกว่านี้มีอะไรบ้างที่พอจะให้เรามีความติดพันในสิ่งเหล่านั้นไม่จืดจาง
เพียงเท่านี้ก็เป็นสิ่งที่เราจะเอามาเทียบเคียงกับภาคปฏิบัติธรรมะ ที่ท่านประกาศอย่างโจ่งแจ้งมาโดยลำดับลำดา ว่าเป็นของประเสริฐเลิศเลอมาแต่กาลไหนๆ อยู่แล้ว พอให้ได้เหตุได้ผลระหว่างกิเลสกับธรรม ว่ามีคุณค่าหนักเบาต่างกันอย่างไรบ้าง แล้วพยายามประกอบความพากเพียรอย่างไม่ลดละ และควรใช้ความพินิจพิจารณาในอากัปกิริยาแห่งการเคลื่อนไหวของตน เป็นสำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด ไม่เช่นนั้นจะไม่มองเห็นอากัปกิริยาของกิเลสที่แสดงออกมา จะด้วยการบีบบังคับด้วยวิธีการใดก็ตามในหัวใจของเราได้เลย ถ้าไม่ใช้ความพินิจพิจารณาแม้กิเลสหยาบๆ เราก็จะทราบไม่ได้ ส่วนมากมักจะเห็นว่าไม่สำคัญ อันนี้เป็นสิ่งที่จะให้เรานอนใจนอนจม นี่เราก็ไม่ทราบว่าเป็นอะไรมันถึงเห็นว่าสิ่งทั้งหลายไม่สำคัญ จะสำคัญแต่พระนิพพานคือความหลุดพ้นอย่างเดียว การประกอบตนเพื่อก้าวเดินไม่ให้ปลีกออกนอกลู่นอกทาง เพื่อธรรมอันสูงส่งโดยลำดับ จนกระทั่งถึงพระนิพพานนั้น ไม่เป็นเรื่องสำคัญอะไรบ้างเหรอ นี่มันน่าคิด
ข้อวัตรปฏิบัติที่พระพุทธเจ้าประทานไว้ทุกแง่ทุกมุม ดังครูบาอาจารย์ทั้งหลายได้นำมาแจง นำมาคลี่คลายเปิดเผยให้เราทั้งหลายทราบนี้ ไม่เป็นแง่แห่งธรรมที่สำคัญๆ อะไรบ้างเหรอ มันถึงได้เกิดความคลาดเคลื่อนอยู่เสมอ เฉพาะพระที่มาอยู่กับผมนี้ก็เห็นอย่างประจักษ์เรื่อยมา ถึงกับได้พูดหรือนำมาเทศน์ให้หมู่เพื่อนฟังอยู่เสมอ ไม่ใช่พูดครั้งหนึ่งครั้งเดียว นี่ก็เพราะความไม่เห็นความสำคัญในสิ่งทั้งหลายยิ่งกว่ามองเลยเมฆเลยหมอก เรียกว่ามองพระนิพพานนี้ว่าเป็นของสำคัญ แต่พระนิพพานอยู่ที่ใด อาการที่จะก้าวเดินให้ถึงพระนิพพานนั้นก้าวอย่างไรปฏิบัติอย่างไร
ปราชญ์ทั้งหลายท่านประมาทในอากัปกิริยาทุกสิ่งทุกอย่าง ที่แสดงออกกับตัวนี้อย่างนั้นเหรอ อากัปกิริยาที่แสดงออกเหล่านี้มีอะไรเป็นหัวหน้า มีอะไรเป็นสิ่งผลักดันให้แสดงออก ในข้อเหล่านี้เราไม่ได้คิดบ้างเหรอ เราจึงไม่ได้จดจ่อเรื่องของสติปัญญากับอากัปกิริยานั้นๆ ของเราและครูอาจารย์ท่านอบรมสั่งสอน ตลอดถึงหมู่เพื่อนที่เป็นอรรถเป็นธรรม แสดงอาการใดออก พอที่จะยึดเป็นคติตัวอย่างได้ก็ไม่ยึดเสีย โดยเห็นว่าไม่สำคัญ หรือนอนใจนอนจมไปเสีย
ครูบาอาจารย์พูดสิ่งใดก็ไม่เข้าถึงใจ พอที่จะยึดเป็นคติเครื่องเตือนใจและพร่ำสอนตนเองเพื่อก้าวเดินสู่สันติสุขโดยลำดับลำดา เพราะเห็นความสำคัญในสิ่งทั้งหลายอันเป็นอุปกรณ์ของการก้าวเดินเพื่อธรรมขั้นสูงต่อไปนั้นน้อยไป นี่ถ้าหากว่าเราคิดอย่างนี้แล้ว ก็เหมือนกับคนที่มุ่งแต่ความเป็นเศรษฐี แต่ความขี้เกียจหมาตายยังสู้ไม่ได้ คือหมาตายมันนอนอยู่เฉยๆ คนนี้ยังดิ้น เวลาหิวมันดิ้น หิวอยู่หิวกินหิวหลับหิวนอน ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้หลับได้นอน ไม่มีที่อยู่ที่พักมันดิ้น คนขี้เกียจขี้คร้านความทุกข์มันบีบบังคับถึงกับดิ้น ไม่ได้เหมือนหมาตาย นี่มันเก่งกว่าหมาตายนะ ให้พิจารณา
ควรใช้ความพินิจพิจารณาให้มาก ตำรับตำราตลอดถึงพระไตรปิฎกผมก็เชื่อแน่ว่าหมู่เพื่อนต้องได้ผ่านไม่มากก็น้อยมาด้วยกัน และธรรมเหล่านั้นท่านแสดงว่าอย่างไรบ้าง ไม่ได้ยึดมาเป็นคติเครื่องเตือนใจของเจ้าของและเพื่อการดำเนินอะไรบ้างเหรอ มันถึงไม่มีอะไรพอเป็นเครื่องอบอุ่นภายในจิตใจและหนุนกันไปเรื่อยๆ เพื่อความเย็นอกเย็นใจ จากการปฏิบัติด้วยความสนใจของเรา ในตำรับตำราท่านแสดงไว้นั้น มีแต่เรื่องการปฏิบัตินี้มากที่สุดยิ่งกว่าเรื่องอื่นใด ถ้าพูดถึงเรื่องพระแล้วอยากจะพูดว่า ร้อยทั้งร้อยแสดงแต่ภาคปฏิบัติแทบทั้งนั้น ภาคปฏิบัติ-ปฏิบัติอย่างไร นั่น ทีนี้ก็กระจายไปแล้ว สถานที่อยู่ของผู้ปฏิบัติ-ปฏิบัติอย่างไร การอยู่การกินการหลับการนอน การเหลือบซ้ายมองขวาเป็นสังวรธรรมประจำตนอยู่ตลอดเวลา นั่นละภาคปฏิบัติท่านเป็นอย่างนั้น
ในสถานที่อยู่ก็สอนแต่ให้อยู่ในที่สงบสงัด ปราศจากความพลุกพล่านวุ่นวาย ให้อยู่ในป่าในเขา ในร่มไม้ชายป่า ที่ไหนที่เป็นความสงบเยือกเย็น ที่ไม่มีอะไรรบกวนสถานที่เช่นนั้นแล ความรู้สึกของเราจะได้เด่นกับความเพียรสัมปยุตกันไป ไม่ใช่ไปเด่นกับรูปกับเสียงกับกลิ่นกับรส อันเป็นเหยื่อของสมุทัยหลอกลวง แล้วเอามาขวางหน้าไว้แล้วอย่างนั้น นั่นเป็นเหยื่อของสมุทัยคือกิเลสราคะตัณหา มันชอบเกิดอยู่ตามรูปตามเสียงตามกลิ่นตามรสเครื่องสัมผัสต่างๆ มีล้วนแล้วแต่เหยื่อของสมุทัยที่มันปักเสียบเอาไว้ เช่นเดียวกับเหยื่อที่เขาล่อปลาในปลายเบ็ดนั้นแล
นี่ถ้าเราไปอยู่ในสถานที่ตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้แล้ว สิ่งเหล่านี้มีน้อยมากที่สุด หรือไม่มี ป่าคนกับป่าไม้นั้นต่างกันอยู่มาก ป่าสิ่งของป่าสมบัติบริวารเงินทองข้าวของทั้งหลายนี้ เป็นข้าศึกสำหรับจิตใจ และเป็นเหยื่อล่อได้เป็นอย่างดีของสมุทัยคือกิเลส แต่เมื่อก้าวเข้าไปสู่ในป่านั้น สถานที่หรือสิ่งต่างๆ ที่เราจะเห็นนั้น เป็นเรื่องของธรรม เป็นภาพของธรรม เป็นสนามรบกิเลส แน่ะ ตรงกันข้ามกลับเป็นอย่างนั้นขึ้นมาแล้ว มองเห็นทัศนียภาพ มองไปตามทัศนียภาพต่างๆ มีแต่ภาพโดยหลักธรรมชาติหลักธรรมดาของตน ซึ่งตรงกับจิตต้องการหาความจริงตามหลักธรรมชาติอย่างแท้จริง มองเห็นต้นไม้เป็นอย่างไร กับมองเห็นคนหญิงชายรูปของบุคคลหญิงชาย สมบัติพัสถานเงินทองข้าวของกองสมบัติต่างๆ กับต้นไม้ในป่าในเขาเป็นอย่างไร นี่ละคำสอนของพระพุทธเจ้า
การดำเนินของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ท่าน ท่านก้าวเดินอย่างนี้ ท่านดำเนินอย่างนี้ ในตำรับตำราท่านจึงสอนให้อยู่ในป่าในเขาก็เพราะอย่างนี้เอง ป่าเขาลำเนาไพรกับป่าผู้ป่าคนป่าสมบัติเงินทอง ป่าหญิงป่าชาย ป่าเครื่องรื่นเริงบันเทิง ต่างกันอยู่มากราวฟ้ากับดิน อันนี้เป็นป่าช้าผีดิบของภิกษุหรือของใครก็ตาม ที่ลืมเนื้อลืมตัวไปคลุกเคล้ากับสิ่งเหล่านี้ ทำให้จมไปๆ หาวันรู้สึกตัวไม่มีเลย เพราะความเพลิดเพลินย่อมไม่พาใครให้อิ่มพอได้ จากสมบัติหรือวัตถุต่างๆ ป่าต่างๆ ดังที่กล่าวมานี้
แต่เมื่อแยกตัวเข้าไปอยู่ในป่าในเขาลำเนาไพรแล้ว ความรู้สึกอย่างนี้ที่ติดไปภายในจิตใจ ก็จะค่อยลดน้อยถอยลงไป เพราะอำนาจแห่งทัศนียภาพซึ่งเป็นหลักธรรมชาติกล่อมหัวใจอยู่ตลอดเวลาเพื่ออรรถเพื่อธรรม มองดูใบไม้ ใบไม้ร่วงก็เห็นความเป็น อนิจฺจํ ของสภาพทั้งหลาย ใบไม้ไม่ไหวติงก็เห็นความสงบเงียบของจิตที่ไม่ดิ้นรนกระวนกระวาย สงบตัวอยู่เช่นเดียวกับใบไม้ที่ไม่มีลมมาพัดมาโชยอะไร มีความสงบตัวอยู่เช่นนั้น สิ่งต่างๆ มองไปตรงไหน มีความสงบตัวเพราะไม่มีอะไรรบกวน
ใจของเราเมื่อไม่มีรูปเสียงกลิ่นรสเครื่องสัมผัสซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นภัยรบกวน ก็ย่อมมีความสงบตัวเช่นนั้น แล้วยิ่งก้าวเข้าไปสู่สถานที่ลึกเข้าไปเท่าไร ยิ่งเป็นการปลุกจิตใจให้มีความสง่างาม เยือกเย็นเป็นสุข และมีความสว่างกระจ่างแจ้งขึ้นไปโดยลำดับลำดา เพราะสิ่งเหล่านั้นเป็นหินลับสติปัญญาให้คมกล้าหรือคล่องตัว ท่านจึงสอนให้ไปอยู่ในที่เช่นนั้น บรรดาพระสาวกทั้งหลายอันเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าท่านดำเนินอย่างนั้น แม้พระองค์เองก็ทรงบำเพ็ญอยู่ในป่า ดังที่เราทราบกันมาแล้วนี้
ในตลาดไหนที่พระพุทธเจ้าพระองค์ใดไปสำเร็จ ไปบำเพ็ญในตลาด พระสาวกองค์ใดไปกางกลดอยู่ในตลาด แข่งกันกับป่าช้าผีดิบผีตายอยู่ในนั้นจนได้บรรลุธรรมออกมา เราอย่านำมาอวดถ้าไม่อยากให้กิเลสหัวเราะ เพราะเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องของกิเลสล้วนๆ ว่าการบำเพ็ญธรรมบำเพ็ญที่ไหนก็ได้ บำเพ็ญที่ใดก็ได้ไม่มีใครมาบีบบังคับ ถ้าเจ้าของจะโง่ถึงขนาดเป็นหนอนจมอยู่ในมูตรในคูถแล้ว พิจารณามูตรคูถให้ได้ตรัสรู้ธรรมนั้น ก็เข้าไปอยู่ในถานก็ไปอยู่ได้นี่ แต่ใครจะทำได้อย่างนั้นล่ะ พิจารณาซิ
ใครจะมีความเฉลียวฉลาดแหลมคมยิ่งกว่าพระพุทธเจ้า ที่ทรงสั่งสอนสาวกหรือผู้บวชในพระพุทธศาสนา ให้ไปอยู่ในสถานที่ที่เหมาะสมอย่างแท้จริง ตามหลักธรรมชาติแห่งธรรมที่ทรงสอนไว้แล้ว และทรงดำเนินมาแล้วเช่นเดียวกัน ว่า รุกฺขมูล เสนาสนํ นิสฺสาย ปพฺพชฺชา. ตตฺถ เต ยาวชีวํ อุสฺสาโห กรณีโย. นี่ใครเป็นคนสั่งสอนไว้ ใครเป็นผู้ประกาศสอนไว้แก่บรรดาภิกษุทั้งหลาย เราทำไมจะไปอวดดิบอวดดีว่าบำเพ็ญที่ไหนก็ได้บำเพ็ญธรรม ถ้าเราไม่อวดเก่งกว่าศาสดาด้วยอำนาจของกิเลสความรู้ที่โง่ๆ ของตัวเองนี้ และประกาศความเลวทรามของตัวให้โลกเขาเห็นเท่านั้น ก็ไม่เห็นมีอย่างไรพอที่จะออกตลาดให้เป็นราค่ำราคาได้ สู้ปลาในตลาดก็ยังไม่ได้อุบายอย่างนี้ นั่นพิจารณาซิ
พระพุทธเจ้าท่านทรงสอนโลกว่าอย่างไร และทรงบำเพ็ญมาอย่างไร ท่านไม่ได้อวดดิบอวดดี อวดเก่งกล้าสามารถกับฟืนกับไฟกับที่ล่มจมฉิบหาย เพราะท่านเป็นปราชญ์ ท่านฉลาดมาตั้งแต่ดั้งเดิมอยู่แล้ว ท่านย่อมหลบย่อมหลีกปลีกพระองค์ออกไปสู่สถานที่เหมาะสม ในการที่จะประกอบความพากเพียรให้ได้สมมักสมหมาย จนได้เป็นศาสดาสอนโลก คือตรัสรู้ขึ้นมาแล้วก็สอนโลกได้อย่างเต็มภูมิของศาสดา
ไอ้ผู้ที่คุยที่โอ้ที่อวดว่าบำเพ็ญยังไงก็ได้นั้น มันเก่งที่ตรงไหน เป็นครูสอนใครแม้แต่สอนตัวเองก็ยังประกาศความเลวทรามออกมาให้โลกเขาเห็นกันอยู่นี้ การประกอบที่ไหนก็ได้ใครไม่บีบบังคับ แต่ที่เหมาะสมยิ่งกว่านี้ไม่มีเหรอ ถึงได้เอาแต่อันนี้มาออกตลาด ที่เหมาะสมกว่านี้ไม่มีบ้างเหรอ ไม่พอที่จะนำมาออกตลาดให้โลกผู้ดีทั้งหลายได้ฟังกันบ้างพอหอมปากหอมคอ พออบอุ่นใจ ว่าโลกนี้ก็ยังมีธรรมแทรกอยู่ รู้จักที่สูงที่ต่ำที่ดำที่ขาว ที่เหมาะสมไม่เหมาะสมต่างกันอยู่บ้าง ว่างั้น
นี่ละการกล่างถึงสถานที่ที่บำเพ็ญของท่านผู้เลิศเลอทั้งหลาย ซึ่งได้เป็นสรณะของพวกเราทั้งสามรัตนะนี้ เกิดในที่เช่นนั้นเป็นส่วนมากที่สุด ไม่มีใครจะฉลาดยิ่งกว่าพระพุทธเจ้าที่ทรงคัดเลือกได้สถานที่ที่เหมาะสมที่สุด มาสั่งสอนภิกษุบริษัทเป็นสำคัญกว่าสั่งสอนผู้อื่นใด ว่าในป่าในเขาในที่รกชัฏในป่าช้า นั้นแลเป็นที่เหมาะสมมาก แม้ในธุดงค์ท่านก็ประกาศไว้ด้วย ว่าอยู่รุกขมูลร่มไม้ ว่าอยู่ในป่าช้า อยู่ในป่าเป็นวัตรอย่างนี้มีประจำ
ธุดงค์แปลว่าอะไร แปลว่าเครื่องขัดเกลา เครื่องสำรอกปอกกิเลสหรือเครื่องสังหารกิเลส ไม่ใช่เครื่องสั่งสมกิเลสนี่นะ นั่นเราก็ฟังเอาซิ ใครเป็นคนบัญญัติไว้ ก็จอมศาสดาท่านสอนอย่างนั้น เมื่อไปอยู่ในป่าในเขาเช่นนั้น ความรู้สึกของผู้ปฏิบัติเป็นอย่างไร เราจะรู้ในตัวของเราเองผู้ปฏิบัติ เพื่อความเอาจริงเอาจังในอรรถธรรมทั้งหลาย ทั้งการฆ่ากิเลสด้วย ทั้งการส่งเสริมธรรมให้เกิดมีขึ้นเป็นลำดับลำดาด้วย ใครจะรู้ยิ่งกว่าผู้ปฏิบัติผู้อยู่ในป่าในเขา ด้วยการประพฤติตัวเช่นนี้เล่า ผู้อยู่ในบ้านไม่มีทางรู้ พระอยู่ในบ้านก็ไม่อาจรู้ได้เหมือนกัน บรรดาสิ่งแวดล้อมในป่าที่มีมากมาย
หากรู้ได้แล้วพระพุทธเจ้าจะทรงสอนอย่างที่ว่านี้ละ เอ้า อยู่ในบ้านก็อยู่ไปเถอะสบาย ฆ่ามันได้ง่ายๆ นิดเดียวเรื่องกิเลสไม่เห็นยากอะไร ตถาคตก็เถลไถลไปอย่างนั้นละ ที่ไปอยู่ในป่าก็ไปอยู่อย่างนั้นแหละ เซ่อๆ ซ่าๆ ท่านทั้งหลายมาสอนศาสดาบ้าง อย่างนี้มีที่ตรงไหนในพระบาลีก็ดี ไม่เห็นมี เราพิจารณาซิ นี่ละพระพุทธเจ้าทรงเลือกเฟ้นธรรมสำคัญๆ อันเป็นแนวที่ราบรื่นดีงามต่อผู้ปฏิบัติทั้งหลาย มาสอนพวกเราไว้ให้ได้ดำเนินตาม
เอ้า ทุกข์ก็ทุกข์เถอะ การต่อสู้กับกิเลสใครจะเอาสุขมาจากที่ไหน เพราะกิเลสเป็นตัวทุกข์ สาเหตุแห่งทุกข์อยู่กับมันทั้งนั้น เราต้องสู้ถ้าเราอยากจะหลุดพ้นจากความกดขี่บังคับของมันแล้ว เราต้องสู้ เอ้า เป็นก็เป็น ตายก็ตาย การเกิดการตายนี้เป็นเรื่องของกิเลส เป็นผู้ผลิตเหตุปัจจัยขึ้นมา ให้เราเกิดให้เราตายให้เราทุกข์ลำบาก ธรรมท่านไม่ได้ผลิตขึ้นมาในสิ่งเหล่านี้ ทำไมมันจะไม่ทุกข์ ก็บ่อของมันคลังของมันคือกิเลสฝังอยู่ในหัวใจนี้แล้ว
การปฏิบัติฝืนก็ฝืนกันที่หัวใจ ทำไมจะไม่ทุกข์ ก็ต้องทุกข์ ยอมรับว่าทุกข์แต่ทุกข์เพื่อสุข ทุกข์เพื่อปราบกิเลสให้ราบแล้วเป็นสุขขึ้นมา เอ้า ทุกข์เถอะ ยอม พระพุทธเจ้าพาทุกข์มาแล้ว เพราะทางก้าวเดินไม่มีทางอื่นใดที่จะไป นอกจากการก้าวเหยียบไปตรงนี้ เอ้า ตรงก็ไปตรงนี้ คดโค้งก็ไปตรงนี้เพราะทางอยู่ตรงนี้เท่านั้นไม่มีที่อื่นเป็นที่ไป ให้เราเป็นที่ลงใจนอนใจกับพระโอวาทของพระพุทธเจ้า ท่านสอนให้ไปอยู่ในที่เช่นไรปฏิบัติเช่นไร เอ้า ให้ไปอยู่เราไม่ถอย อดก็อด อิ่มก็อิ่ม สิ่งเหล่านี้เป็นอุปกรณ์ที่จะก้าวเข้าสู่ความสงบราบคาบของจิต จากการปราบกิเลสให้เรียบราบลงโดยลำดับไม่เป็นอย่างอื่น ไม่ขาดทุนสูญดอก ผู้ปฏิบัติทุกข์ด้วยการประกอบความเพียรไม่มีอะไรบกพร่อง ไม่มีอะไรขาดทุน มีแต่ความรื่นเริงบันเทิงภายในจิตใจอยู่
นี่ละพระพุทธเจ้าท่านสอนโลกท่านสอนไว้อย่างนี้ เฉพาะอย่างยิ่งคือภิกษุบริษัท ท่านเน้นหนักเอามากเพราะเห็นว่าท่านเหล่านี้พร้อมแล้ว ถ้าเป็นทหารก็ก้าวเข้าสู่แนวรบแล้ว ยื่นศาสตราอาวุธที่ทันสมัยให้ สถานที่ก็บอก นั่นละสถานที่เป็นชัยสมรภูมิ เอ้า อยู่นะบำเพ็ญนะ นั่นฟังซิ อย่าขี้เกียจขี้คร้าน อย่าเป็นผู้เซ่อๆ ซ่าๆ ใช้สติปัญญาซึ่งเป็นศาสตราอาวุธติดตัวอันสำคัญ อย่าให้พรากจากสติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียรเหล่านี้ ซึ่งเป็นอาวุธที่แนบสนิทติดอยู่กับตัวเพื่อชัยชนะทั้งนั้น ให้ก้าวเดินให้ปฏิบัติ นี่ละธรรมของพระพุทธเจ้าท่านทรงสั่งสอนไว้
สถานที่อยู่ดังกล่าวมานี้เป็นยังไงบ้าง พวกเราทั้งหลายผู้ที่ไม่ได้อยู่ก็ให้ยึดไว้เป็นคติตัวอย่างอันดี ไปอยู่ในสถานที่เช่นนั้นให้สร้างแต่สติปัญญา สร้างแต่ศรัทธาความเพียรขึ้น ดูอากัปกิริยาของกิเลสมันเคลื่อนไหวไปมาอยู่เกี่ยวกับเรื่องอะไรบ้าง เรื่องรูป รูปอะไร เสียงๆ อะไร กลิ่นอะไร รสอะไร เครื่องสัมผัสอะไร มันปรุงขึ้นเป็นธรรมารมณ์ภายในจิตใจ ซึ่งนำไปจากอารมณ์อดีตที่เคยได้เห็นได้ยินได้ฟังมาแล้วเข้าไปเผาหัวใจเราอยู่นั้น เราจะแก้มันด้วยวิธีใด พิจารณาเข้าไป
ถ้าลงได้สติติดตามแนบอยู่ตลอดเวลา ความคิดความปรุงมันก็ยอมเหมือนกันมันก็หมอบเหมือนกัน นอกจากว่าที่สติตายไม่มีวันฟื้นนั่นซี มันถึงได้สนุกเหยียบหัวใจเราๆ บรรดาของกิเลสสมุทัยทั้งหลาย นี่ละเราได้รับความทุกข์เพราะผลของมันแสดงเพราะเหตุแห่งเราเซ่อซ่ากว่ามันนั้นเอง
ถ้าสติของเราก็ดี ปัญญาของเราก็ดี สถานที่ก็เหมาะสม ตั้งหน้าตั้งตาหรือตั้งท่าต่อสู้อยู่แล้ว ทำไมกิเลสนี้เคยเรียบราบไปเพราะอำนาจแห่งธรรม มันจะไม่เรียบราบไปได้ยังไงถ้านำมาใช้ ธรรมของพระพุทธเจ้านี้เคยย่อหย่อนอ่อนข้อต่อกิเลสที่ตรงไหนไม่เห็นมี นอกจากผู้นำไปรบไปต่อสู้กับข้าศึกนั้นยื่นทางด้ามให้เขา ถ้าเป็นดาบก็ให้เขาฟันย้อนกลับมาเท่านั้น มันถึงได้ฉิบหายตายไปโดยไม่เป็นท่าทั้งนั้นนักปฏิบัติเรา ถ้าได้ใช้สติปัญญา ทำไมธรรมอันนี้ สติธรรม ปัญญาธรรม ตั้งแต่ขั้นเริ่มแรกจนกระทั่งมหาสติมหาปัญญา เป็นธรรมที่เกรียงไกรมากที่สุดไม่มีอะไรเสมอ แม้กิเลสที่เคยครองหัวใจมานี้นานแสนนานก็ตาม พังลงได้โดยไม่อ้างกาลอ้างเวลา ว่าข้าเคยครองหัวใจบีบหัวใจของเธอทั้งหลายมานานเท่าไรแล้ว ข้าไม่ยอมลงอย่างนี้เป็นไปไม่ได้ พังทันทีไม่มีอะไรเหลือ นั่นเห็นไหม สติปัญญาที่พระพุทธเจ้าทรงสอนและทรงบำเพ็ญมาแล้วเป็นอย่างนี้
นำมาใช้ซีพวกเรา สิ่งที่ผ่านมาเพียงแต่เกิดมาจนกระทั่งถึงบัดนี้ เราก็พอนำมาชั่งมาตวงกันได้แล้วแหละ ความสุขความทุกข์ที่เคยผ่านทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย การอยู่การกินการหลับการนอน การสัมผัสสัมพันธ์กับสิ่งใดที่โลกเขาสัมผัสสัมพันธ์ เราก็เคยผ่านมาเช่นเดียวกัน มีแต่เพียงผ่านมากับผ่านไปเป็นขณะเดียวกันๆ มีแต่อารมณ์ของใจเท่านั้นคิด หรือเขาเรียกว่าคิดย้อนหลังหรือว่าเป็นคำหลังความหลังไปเท่านั้น ให้เกิดความเสียอกเสียใจในเรื่องอารมณ์ของตัวเอง เรื่องมันผ่านไปแล้วไม่มีความหมายอะไร แต่จิตนี้มันสร้างความหมายขึ้นมาเผาตัวเองโดยเจ้าตัวไม่รู้ นี่สำคัญมาก
เราย้อนกลับคืนไปซิ ตั้งแต่วันเกิดมาจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ เราปรากฏว่าได้สิ่งวิเศษวิโสจากสิ่งที่เคยสัมผัสสัมพันธ์มามากน้อยเพียงไร เราได้อะไรบ้างไหมและเป็นที่อบอุ่นไหม เวลาเราอยู่ที่นี่เป็นยังไง จิตใจของเราสงบเย็นไหม เพราะได้สิ่งเหล่านั้นมาเป็นเครื่องกล่อมจิตกล่อมใจมาเป็นอาหาร เป็นปุ๋ยอันดีงามของใจ ใจได้รับความสงบร่มเย็นหรือมีความสบายด้วยวิธีการใดเราเห็นยังไงบ้างหรือไม่ ก็ไม่เห็นมี มันเหมือนๆ กันทั้งนั้น มีแต่ความหลังๆ ดังที่ว่านี้นะ
ส่วนธรรมไม่ได้เป็นอย่างนั้น เมื่อเราเทียบสิ่งเหล่านั้นแล้ว การเทียบเหล่านั้นเพื่อจะกระตุ้นหัวใจเราให้หยุด อย่ายุ่ง พูดง่ายๆ ทุกข์เคยทุกข์มาแล้ว ปล่อยให้ผ่านไปเสีย ให้ทำความเข็ดหลาบไว้ด้วยความทุกข์ที่เคยเป็นมาผ่านมา ที่ว่าของดิบของดีของพึงใจก็ผ่านไปแล้ว นั่นคือ กฎ อนิจฺจํ ให้รู้ว่าเป็นอย่างนี้ เรื่องของโลกหาความแน่นอนไม่ได้ เอาความแน่นอนจากธรรมทั้งหลายตามพระพุทธเจ้าทรงสอนนี้ นั่นคือปักจิตเข้ามาตรงนี้ หรือหักห้ามจิตให้เข้ามาสู่วงปัจจุบันแห่งธรรมทั้งหลาย คือการประกอบความพากเพียร อนาคตกาลที่ตาหูจมูกลิ้นกายเคยสัมผัสสัมพันธ์ มันก็สัมผัสสัมพันธ์ในสิ่งที่เคยเป็นมานี้แหละ มันจะเอาสิ่งเลิศเลอมาจากที่ไหน เพราะใจดวงนี้ก็ไม่ได้เลิศเลอ เนื่องจากสิ่งที่เลวทั้งหลายหรือสกปรกทั้งหลายครอบหัวใจอยู่นี้ มันจะเอาความสะอาดเอาความเลิศเลอ เอาความสุขความสบายมาจากไหน ด้วยความคาดความเดาความคิดความหวังเฉยๆ
พระพุทธเจ้าไม่ใช่ผู้หวังเฉยๆ แต่เป็นผู้บำเพ็ญ จนกระทั่งได้เห็นผลประจักษ์เป็นที่พอพระทัย และการผ่านวัฏจักรวัฏทุกข์สังสารภพสังสารจักรมานี้ใครจะเกินพระพุทธเจ้าล่ะ เรากับพระพุทธเจ้าก็เป็นอันเดียวกันในเรื่องความหมุนเวียนแห่งการเกิดตายไม่สามารถที่จะนับได้ แต่พระพุทธเจ้าพระองค์ทรงนับได้ แต่ว่าในเมื่อมันผ่านไปแล้วนับมันทำไม มีแต่ทำความเข็ดหลาบกับมันที่เป็นเรื่องของกองทุกข์นี้เท่านั้น และทรงบำเพ็ญจนกระทั่งได้ปรากฏธรรมอันประเสริฐเลิศเลอ ได้มาประกาศสอนพวกเรานี้ ได้มาจากการบำเพ็ญใจ ใจบริสุทธิ์หมดจด ปัดสิ่งที่เป็นข้าศึกศัตรูทั้งหมดออกจากใจโดยถ่ายเดียวเท่านั้น ท่านจึงได้ครองธรรมอันเลิศภายในพระทัย แล้วได้นำสิ่งที่เลิศนี้แลมาสอนพวกเรา
สิ่งที่ผ่านมาเหมือนเราๆ ท่านๆ ท่านก็ทรงเคยผ่านเหมือนกัน ไม่เห็นพระองค์ได้ทรงนำอันใดมาประกาศให้พวกเราทั้งหลายได้ทราบได้ยึดได้ถือ ว่าอันนั้นประเสริฐเลิศเลอ ตถาคตเคยเกิดมากี่ภพกี่ชาตินับกัปนับกัลป์ไม่ได้ เอาความสุขความสบายมาจากการเวียนว่ายตายเกิดที่ตรงนั้นๆ ชาตินั้นๆ มาอวดท่านทั้งหลาย เพราะเราเลิศที่สุดในตรงนั้น ไม่เห็นมีที่ตรงไหน มีแต่เรื่องกองทุกข์ๆ จนผ่านมาในวงปัจจุบันจึงได้มาตรัสรู้ธรรมขึ้นมาเป็นแดนอัศจรรย์ และได้นำธรรมอัศจรรย์นี้มาสอนโลก
ธรรมที่กล่าวนี้เป็นยังไงทุกวันนี้ ถูกกิเลสบีบบังคับเอาไว้ ปิดหุ้มห่อไว้จนมิดตัวหาที่มองไม่ได้เหรอ หรือเป็นยังไง ศรัทธาพระพุทธเจ้าก็เคยเชื่อในอรรถในธรรมได้บรรลุธรรมเพราะความเชื่อ วิริยะก็เหมือนกัน ความพากความเพียร สติปัญญาทุกสิ่งทุกอย่าง พระองค์เคยได้ใช้ในธรรมทั้งหลายมาแล้วจนได้บรรลุธรรม พวกเราเป็นยังไง หากพูดถึงเรื่องการฆ่ากิเลส ท่านนำธรรมเหล่านี้ฆ่ามาจนกระทั่งกิเลสราบในพระทัยไม่มีอะไรเหลือ แล้วพวกเราเป็นยังไงมันถึงไม่ปรากฏ
ธรรมเหล่านี้ไม่มีค่ามีราคาเพราะอะไร เพราะตัวเรามันหมดคุณค่าหมดราคา ถ้าว่าศรัทธาก็เชื่อไปตามอารมณ์บ้าๆ บอๆ ของกิเลสที่มันเสกสรรปั้นยอมาตลอดไม่มีความอิ่มพอนั้นเสีย เพียรก็เพียรอยากดูอยากรู้อยากเห็นในสิ่งที่เป็นฟืนเป็นไฟ สติก็จดจ่อไปในสิ่งที่จะเป็นฟืนเป็นไฟ ปัญญาคิดอ่านไตร่ตรองไปในสิ่งที่เป็นฟืนเป็นไฟไปเสีย แล้วเป็นยังไง มันจะเอาความดิบความดีมายังไง เสาะแสวงหาอันใด อันนั้นมีอยู่มันก็ต้องเจอ แสวงหาดีก็ต้องเจอดี แสวงหาชั่วก็เจอชั่ว เพราะสิ่งเหล่านี้มีอยู่ในโลกไม่ได้เคยขาดสูญจากโลก แม้ใครๆ จะว่าไม่มีก็ตาม หลักธรรมชาตินี้เป็นอย่างนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับลมปากของผู้หนึ่งผู้ใดเลยที่จะมากล่าวอ้าง แล้วลบล้างสิ่งที่มีอยู่ทั้งหลายนั้นให้สูญไปจากโลก
ก็เมื่อมันมีอยู่อย่างนั้นทำไมจะไม่เจอ ถ้าเรายังมองไม่เห็นก็ดูหัวใจเราซิ มันคิดไปทางไหนมันร้อนไหม มันคิดไปทางใดมันเย็นไหม มันควรจะได้ทั้งสองอย่างมาเป็นข้อเทียบเคียงในหัวใจดวงเดียวนี้ เพราะเป็นสิ่งที่มีอยู่ด้วยกัน และใจเป็นผู้ที่จะรับทราบสัมผัสสัมพันธ์สิ่งเหล่านี้ด้วยกัน มันน่าจะรู้จะเห็นได้นี่นะ
นี่ได้พูดถึงทั้งวิธีการทั้งสถานที่อยู่ ท่านสอนอย่างนั้นแหละสอนพระ มีจำนวนมากต่อมากสอนแต่อย่างนี้ สอนให้มองดูหัวใจ ไปที่ใดมาที่ใดให้มีแต่ความพากเพียร เดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนาอยู่ในตัวของเรานี้ประจำ มีท่าต่อสู้ ท่ารบรากับกิเลส ท่าชำระสะสางสิ่งที่สกปรกโสมมทั้งหลายซึ่งอยู่ภายในใจของเรานี้ด้วยอรรถด้วยธรรม มีแต่ท่านี้ทั้งนั้น ฟังซิ นี่ละรากฐานของศาสนาแท้ พระพุทธเจ้าท่านทรงสอนแท้ สอนพระสอนเณรด้วยธรรมเหล่านี้เป็นส่วนมากที่สุด
ใครจะมาโกหกกันได้ก็เห็นด้วยกัน ในตำรับตำราก็เห็น พระไตรปิฎกนั้นเหนือหูเหนือตาไปไหนถึงจะไม่เห็นจะไม่รู้ เมื่ออ่านเข้าไปผ่านเข้าไป ภาษาพระไตรปิฎกเอาภาษาไหนมาพูดเอาภาษาไหนมาเขียน แล้วผู้อ่านไปตามพระไตรปิฎกทำไมจะไม่ทราบ ความหมายของพระไตรปิฎกมีอยู่เป็นภาษาเดียวกัน อ่านไปทำไมจะไม่รู้ แม้เทศนาว่าการอย่างเทศน์อยู่เวลานี้ก็เป็นภาษาเดียวกันทำไมจะไม่เข้าใจกัน พอที่จะบึกบึนเป็นบ้าไปกับกิเลสโดยไม่ลืมหูลืมตา นี่มันพิลึกนะผู้ปฏิบัติ เฉพาะอย่างยิ่งพวกเรานี่เป็นยังไงถึงไม่มีอะไรจริงจังสักอย่าง
ภาคปฏิบัติก็ได้พูดให้ฟังแล้ว พูดนี้พูดเพื่ออะไร เพื่อให้เป็นที่ลงใจ ว่าธรรมพระพุทธเจ้าสอนอย่างนี้โดยแท้ ผู้ปฏิบัติตามนี้แล้วยังไงกิเลสต้องพังโดยแท้ไม่ต้องสงสัย วิธีการก็ได้สอนได้บอกแล้วทุกแง่ทุกมุม รักษาอันใดก็ตามสู้รักษาใจรักษาอายตนะของเรานี้ไม่ได้ ให้พยายาม เพราะกิเลสอยู่ที่นี่ มันก่อเหตุอยู่ที่นี่นะกิเลส ไม่ได้อยู่กับต้นไม้ ภูเขา ดินฟ้าอากาศที่ไหน มันอยู่ที่หัวใจ มันผลักดันจิตใจให้คิดเรื่องนั้นปรุงเรื่องนี้ มีแต่เรื่องของมันที่พาให้คิดให้ปรุง เพราะฉะนั้นเราที่เป็นโล่ของมันหรือว่าเป็นหุ่นของมัน จึงเหมือนฟุตบอล กลิ้งอยู่ตลอด และก็ไม่รู้ว่ากลิ้งเพราะถูกอะไรเตะ ฟุตบอลก็มีฝ่าเท้าเขาเตะ อันนี้ก็ฝ่าเท้าของกิเลสมันเตะอยู่ตลอดเวลา เราก็ไม่ทราบจะทำอย่างไร
นี่ก็สอนแล้วสอนเล่า สอนวกไปเวียนมา สอนซ้ำๆ ซากๆ ก็เพราะกิเลสมันซ้ำๆ ซากๆ ความเชื่อกิเลสความเป็นไปตามกิเลสก็เป็นซ้ำๆ ซากๆ จนหาประมาณไม่ได้ในหัวใจของเราแต่ละดวงๆ แล้วจะสอนไปไหน ก็กิเลสมันอยู่ตรงไหนก็สอนลงตรงนั้น แก้กิเลสแก้วิธีใด ก็ต้องสอนวิธีแก้นั้น เพราะกิเลสมันทำลายคนทำลายวิธีใด ทำลายจิตใจเราให้ได้รับความทุกข์เพราะอะไร มันนอกเหนือไปจากความรักความชังความเกลียดความโกรธที่ไหนได้ นี้มีแต่กิเลสตัวสำคัญๆ ทั้งนั้นที่ทำลายจิตใจอยู่ตลอดเวลานี้ เรายังไม่เบื่อหน่ายอิ่มพออยู่แล้วทำไง ไม่เบื่อหน่ายในการรู้การเห็นอันจะเป็นสาเหตุเข้ามาเป็นฟืนเป็นไฟเผาตัวเอง เราก็ไม่เบื่อแล้วจะทำยังไง นี่ละหลักของผู้ปฏิบัติเพื่อจะให้มีชัยชนะในการต่อสู้กับกิเลส หรือผู้ปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ท่านก้าวเดินอย่างนี้ พระพุทธเจ้าพระสาวกทั้งหลายท่านก้าวเดินอย่างนี้ ให้ยึดหลักนี้ไว้ให้ดี
อย่าเถลไถลในสิ่งที่ไม่เป็นผลเป็นประโยชน์แล้วกลับกลายเป็นเรื่องสมุทัย เผาหัวใจของเราขึ้นมา ทั้งๆ ที่เราก็ภูมิใจว่าเราทำถูกต้อง ยุ่งกับสิ่งนั้นยุ่งกับสิ่งนี้ เฉพาะอย่างยิ่งนักปฏิบัติที่ชอบก่อนั้นสร้างนี้ นี้เคยพูดไม่รู้กี่ครั้งกี่หนแล้วท่านทั้งหลายจำหรือยัง ออกจากนี้ไปแล้วสร้างให้มันแข่งโลกธาตุเขานะ เขามีกี่ชั้นในแผ่นดินของโลกอันนี้ แล้วสร้างให้มันเก่งกว่าเขา ทุกสิ่งทุกอย่างยุ่งให้เก่งกว่าเขา วุ่นให้เก่งกว่าเขาทุกอย่าง นั่นแหละคือคนก่อไฟเผาตัว จะหาทางก้าวเดินไม่ได้เลย แล้วกลายเป็นด้านไปหมด ใครเตือนไม่ได้ต่อไปถ้าลงว่าได้เคยชินแล้ว หัวใจนี้เป็นกิเลสประเภทสำคัญขึ้นมาภายในตัวเอง ใครเตือนไม่ได้แหละแม้แต่ครูอาจารย์
ก็เหมือนกับสุนัข เมื่อมันเป็นบ้าแล้วกัดกระทั่งเจ้าของ อันนี้ลงมันเป็นบ้าขนาดนั้น มันเลยด้านไปแล้วมันก็ต่อสู้ครูนะ แม้ครูอาจารย์ก็สอนไม่ได้ สอนไม่ลงไม่ยอมรับ สิ่งที่มันยอมรับก็นั้นแหละ สิ่งที่กำลังจมๆ อยู่นั้น ให้พากันจำเอานะ
นี่มีน้อยเมื่อไรที่มาอยู่ที่นี่บรรดาพระเณร ตั้งแต่อบรมสั่งสอนหมู่เพื่อนมานี้มากขนาดไหน กี่ปีมาแล้ว ร่วม ๔๐ ปีแล้ว มากขนาดไหนพระเณรที่เข้ามาเกี่ยวข้อง และการแนะนำสั่งสอนนี้ ก็ไม่ได้เอานอกเหนือจากอรรถจากธรรมของพระพุทธเจ้าที่ตรงไหนมาสั่งสอนหมู่เพื่อน พอที่จะยึดเป็นคติเพื่อกำจัดสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายออกไม่ได้นี่ มันเป็นสิ่งที่เป็นคติทั้งนั้น เป็นอรรถเป็นธรรมทั้งนั้น อรรถธรรมเหล่านี้เป็นเครื่องสังหารกิเลส เป็นเครื่องชำระสิ่งที่ชั่วช้าลามกอันเป็นสิ่งสกปรกให้สะอาดแหลมคมมามากต่อมากแล้ว เราควรที่จะยึดไปเป็นหลักปฏิบัติ อย่ามาอยู่แบบเซ่อๆ ซ่าๆ นอนจมอยู่เฉยๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย
เอาละการแสดงธรรมยุติเพียงแค่นี้