พวกเราทั้งหลายที่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา พร้อมทั้งการได้บรรพชาอุปสมบทในพุทธศาสนานี้ด้วยแล้ว จัดว่าเป็นผู้มีวาสนาบารมีเป็นพิเศษไม่น้อยเหมือนกัน ถ้าเราเทียบกับโลกทั่วๆ ไปในแดนโลกธาตุนี้ เพราะพระพุทธศาสนานี้เท่านั้น ที่ทำให้โลกเย็นได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยสุดความร่มเย็น อย่าว่าแต่ความร่มเย็นเล็กๆ น้อยๆ ธรรมดาที่เป็นพื้นๆ นี้เลย แม้ความร่มเย็นที่นอกจากสมมุติไปที่เรียกว่าอนันตกาล ก็คือศาสนธรรมของพระพุทธเจ้านี้เท่านั้นเป็นผู้ให้อุบาย หรือบุกเบิกทางก้าวเดินเพื่อความสงบขั้นนั้นๆ จนถึงขั้นสูงสุด ที่เรียกว่า นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี นี่ถ้าเราหมายถึงความสงบอันราบคาบ ก็ได้แก่ความสิ้นเรื่องวุ่นวายภายในจิตใจแม้น้อยไม่มีเหลืออยู่เลยนั่นแล
แต่ในขณะเดียวกันการก้าวเดินนี่เป็นของสำคัญมาก เพราะทางที่ก้าวเดินนั้นแม้จะมีทางอยู่พอเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นถนนหนทางอย่างเตียนโล่งก็ตาม แต่ผู้ก้าวเดินมักจะเถลไถลเสมอ ยิ่งเป็นทางพอเป็นรูปเป็นร่างนี้ด้วยแล้ว ก็คอยแต่จะก้าวออกนอกลู่นอกทาง เหยียบขวากเหยียบหนาม หาบหามแต่กองทุกข์ใส่ตัวเองเพราะการก้าวเดินไม่ถูกทางนั้นเป็นส่วนมากมีอย่างนั้น เฉพาะอย่างยิ่งผู้เข้ามาบวชในพระพุทธศาสนาและได้ปฏิบัติตนโดยเจตนามุ่งหวังอย่างแรงกล้า ก็ยังไม่พ้นที่จะถูกหลอกถูกหลอนต้มตุ๋นจากสิ่งจอมปลอมทั้งหลายจนได้ทุกระยะนั้นแล ถ้าไม่ตั้งท่าตั้งทางจริงๆ แล้วจะผิดพลาดไปได้โดยไม่ต้องสงสัย
เวลานี้ศาสนธรรมของพระพุทธเจ้าในตำรับตำรานั้น ไม่ขาดตกบกพร่อง มีโดยสมบูรณ์ ใครก็เขียนใครก็แต่งแทรกขึ้นมาไม่น้อยอีก นอกจากตำรับตำราที่เป็นต้นฉบับเดิมแล้ว แต่เราขอพูดถึงต้นฉบับเดิมคือตำรับตำรา เช่นอย่างพระไตรปิฎกซึ่งท่านแสดงไว้แล้วนั้น มีอยู่โดยสมบูรณ์ แต่ผู้ปฏิบัติที่จะก้าวเดินไปตามแถวทางที่ท่านสอนไว้ตามที่ได้ศึกษาเล่าเรียนมานั้นมีน้อยมาก หากเหยียบย่ำความถูกต้องดีงามนั้นแลไปโดยดื้อด้านบ้าง ด้วยเจตนาบ้าง ด้วยความไม่เอาไหนบ้าง ด้วยความเผอเรอต่างๆ บ้าง มีแต่สิ่งที่จะให้ขาดทุนสูญดอกไปอยู่เรื่อยๆ ของผู้ปฏิบัติเราจึงลำบาก
แม้มีครูมีอาจารย์คอยแนะนำสั่งสอนอยู่ที่พอจะได้ร่องได้รอย จิตมันยังเถลไถลไปได้เพราะสิ่งนั้นมันติดอยู่กับใจทุกเวลา การได้ยินได้ฟังจากครูจากอาจารย์นั้นมีเป็นบางกาลบางเวลา ส่วนที่แทรกสิงอยู่ภายในจิตใจ นับแต่รากแก้วของมันออกมาเป็นกิ่งเป็นแขนง มันแทรกเต็มไปหมดภายในจิตใจนั้น มันแสดงออกได้ตลอดเวลา จึงลำบากต่อการปฏิบัติถ้าไม่ตั้งใจจริง ๆ ต้องเป็นผู้ตั้งท่าตั้งทางอยู่ทุกอิริยาบถและทุกอาการเคลื่อนไหวของใจ นั่นแหละจะพอกัน แม้เช่นนั้นในขั้นเริ่มแรกก็ยังต้องมีเสียเล่ห์เสียเหลี่ยมให้มันจนได้ ยกในขั้นเกรียงไกรของสติปัญญานั้นเสีย ในขั้นเริ่มแรกจะเป็นอย่างนี้ด้วยกัน
พวกเรามาปฏิบัติศาสนธรรมนี้ ก็เท่ากับมากลั่นกรองน้ำอรรถน้ำธรรมไว้สำหรับบริโภคขบฉัน ด้วยน้ำที่สะอาดซึ่งได้ถูกกลั่นกรองมาจากข้อปฏิบัติของเรานี้เป็นสำคัญ ถ้าจะเทียบแล้วน้ำในบึงก็ดีในบ่อก็ดี ในห้วยหนองคลองบึงที่ไหนมากน้อยเพียงไรก็ดี เต็มไปด้วยน้ำที่สกปรกโสโครกแล้วเป็นอย่างไรบ้าง เพียงตาเรามองเห็นก็ไม่สบายแล้ว อย่าพูดถึงการได้ดื่มได้อาบหรือขบฉันนั้นเลย หากไปที่ไหนก็มีแต่น้ำสกปรกโสโครกนี้เต็มโลกดินแดนแล้วเป็นอย่างไรบ้าง ผิดกันกับน้ำที่สะอาดที่ไปเจอที่ไหนมีแต่น้ำสะอาดอยู่มากทีเดียว
ทีนี้จิตใจของเราก็เหมือนกัน ต่างดวงต่างเป็นเหมือนกับน้ำบึงน้ำบ่อ คือเจ้าของไม่สามารถที่จะรักษาน้ำนั้นไว้ได้ นอกจากทำลายน้ำที่มีอยู่แล้วนั้นให้ขุ่นเป็นตมเป็นโคลนไปเสียโดยเจ้าตัวก็ไม่รู้ วันหนึ่งจิตมีแต่ความขุ่นมัวมั่วสุมอยู่กับอารมณ์อันหาสาระไม่ได้ นี่เป็นการทำลายน้ำที่ควรจะใสให้เป็นน้ำขุ่นเป็นตมเป็นโคลนไปเสีย จิตแต่ละดวงๆ จึงหาความสุขความสบายไม่ได้ เพราะจิตหาความสงบไม่ได้
จิตเมื่อสงบย่อมจะมีความผ่องใส ความสุขความสบายความเยือกเย็นย่อมจะมีขึ้นมาเป็นลำดับ ให้เจ้าของได้อาศัย แม้ยังไม่มากก็ยังพอได้ยึดเหนี่ยวเกี่ยวเกาะความสงบเย็นใจนั้น พอเป็นทางก้าวเดินหรือพอเป็นปากเป็นทางแห่งการก้าวเดินต่อไป ไม่มีแต่ความรุ่มร้อนแผดเผาโดยถ่ายเดียวในการปฏิบัติ ซึ่งจะทำให้อ่อนกำลังลงไปโดยลำดับอีกเช่นเดียวกัน
พวกเราทั้งหลายที่มาศึกษาอบรมกับครูกับอาจารย์ ก็น่าจะคิดให้มีความหนักแน่นแม่นยำเข้าไปโดยลำดับในข้ออรรถข้อธรรมและการประพฤติปฏิบัติของตน ไม่ควรจะผิดๆ พลาดๆ คลาดๆ เคลื่อนๆ ให้เห็นอย่างที่เป็นอยู่เวลานี้เลย เพราะผู้ที่มานี้มาใหม่ก็มี อยู่เก่าก็มี ความผิดพลาดนั้นมักจะมีอยู่ด้วยกันทั้งผู้มาใหม่และผู้อยู่เก่า นี่ก็เป็นเครื่องส่อให้เห็นถึงความไม่จริงจัง ไม่คิดอ่านไตร่ตรอง ไม่มีท่าทางแห่งความเป็นผู้มีสติติดแนบอยู่ในกิริยาอาการและการกระทำนั้นๆ บ้างเลย จึงทำให้วิตกวิจารในเรื่องธรรมทั้งหลายที่ละเอียดยิ่งกว่านี้ และวิตกวิจารเกี่ยวกับสิ่งที่เป็นภัยต่อธรรมทั้งหลาย ซึ่งยิ่งแนบสนิทติดกับใจของเรายิ่งกว่าธรรมเสียอีก นั่นแลที่จะทำให้เราเสียความมุ่งหวัง เสียความตั้งใจ เสียผลเสียประโยชน์ที่ตนมุ่งหวังไว้อย่างแรงกล้าให้ล้มละลายไปได้โดยไม่ต้องสงสัย เพราะฉะนั้นหมู่เพื่อนที่มาศึกษาอบรม จึงควรพิจารณาให้ดีเรื่องเหล่านี้
ผมเคยแนะนำสั่งสอนและเคยได้พูดให้ฟังในปฏิปทา ไม่ใช่นำมาโอ้อวดหมู่เพื่อนได้ทำอย่างที่พูดนั้นจริงๆ และเคยพูดเสมอว่ากิจการงานใดๆ ก็ตาม ที่เราเคยได้ผ่านมาในโลกนี้ ทั้งหนักทั้งเบาหยาบละเอียด รวมแล้วก็เป็นทุกข์ ทุกข์มากทุกข์น้อย แต่เมื่อนำมาเทียบกับภาคปฏิบัติในการต่อสู้กับกิเลส หรือการประกอบความเพียรเพื่อต่อสู้กับกิเลสนี้แล้ว ไกลกันลิบลับ ประหนึ่งว่าเป็นคนละโลกนั้นเลย นั่นฟังซิ
ตั้งแต่วันก้าวออกปฏิบัติไม่ปรากฏว่าได้มีความสุขความสบาย เพราะการปล่อยใจให้อยู่สบายๆ โดยไม่มีอะไรเข้ามายื้อแย่งแข่งดีกันเลย แต่มีตั้งแต่สิ่งที่เป็นข้าศึกคอยเหยียบคอยย่ำทำลายอยู่ตลอดเวลาซึ่งจะทำให้นอนใจไม่ได้ นี้แลอันเป็นสาเหตุที่จะให้หนักแน่นในความเพียรโดยท่าต่อสู้ต่างๆ นี่ก็เคยได้พูดว่าตั้งแต่วันหยุดเรียนหนังสือออกมา ตั้งหน้าตั้งตาเพื่อจะ
.พูดง่ายๆ ให้เต็มตามความรู้สึกที่มีอยู่เต็มหัวใจนั้นว่า ให้ได้ครองธรรมขั้นยอดเยี่ยม ได้แก่อรหัตธรรม มีความมุ่งหวังอย่างเต็มหัวใจ มีความมุ่งหวังอย่างแรงกล้า เพราะฉะนั้นการประกอบความพากเพียรจึงต้องหมุนไปตาม ๆ กัน นี่แหละเรื่องความลำบาก ทำให้เกิดความลำบากมากเป็นลำดับลำดา
ทุกข์แสนทุกข์ก็ต้องทนเมื่อผลพอปรากฏขึ้นจากความทุกข์ประเภทนั้น ที่เรียกว่าความเพียรในท่านั้น เช่น อดอาหาร หาความสะดวกสบายไม่ได้เลยในวันหนึ่ง ๆ ใครจะอยากอด เพราะความอดความหิวนี้เป็นเรื่องของทุกข์ทั้งนั้นก็ต้องทน ถ้าไม่ทนจะปล่อยให้ฉันไปตามอำเภอใจ ร่างกายมีกำลังก็เป็นเครื่องเสริมกิเลสตัณหามีราคะเป็นสำคัญ ให้ดีดให้ดิ้นอยู่อย่างลึกลับภายในจิตใจ แม้จะไม่แสดงออกมาในอวัยวะต่างๆ ก็ตาม ก็เป็นสิ่งรำคาญและเป็นสิ่งกีดขวางจิตใจให้เห็นอย่างชัดเจนอยู่นั้นแล
เมื่อได้อดลงไปดัดสันดานกันลงไป การประกอบความเพียรค่อยสะดวก สติสตังค่อยมีขึ้น สิ่งเหล่านี้ก็ไม่แสดงตัวรบกวนภายในจิตใจโดยเฉพาะ เราไม่ต้องพูดถึงเรื่องร่างกายเลย มันเป็นอยู่ภายในจิตใจให้รำคาญอยู่นั้นแล เมื่อได้ฝึกทรมานกันอย่างนั้น สิ่งเหล่านี้ก็สงบยุบยอบลงไป บางครั้งประหนึ่งว่าไม่มีอะไรเหลือเลย เงียบไปหมด เพราะอำนาจแห่งการทรมานขนาดหนักๆ คือการอดอาหารนี่ละเป็นเครื่องช่วย สติก็ดี พินิจพิจารณาทางด้านปัญญาก็คล่องตัว เมื่อผลเห็นอยู่ คือสติก็ดีเพราะการอดอาหาร ปัญญาก็ดีเพราะการอดอาหาร มีความคล่องตัว จิตก็สงบเย็นไม่มีอะไรรบกวนใจ แม้ร่างกายจะทุกข์แต่จิตใจเย็นสบาย สงบเงียบ นอกจากนั้นยังมีลักษณะที่ให้เกิดความกระหยิ่มยิ้มย่องภายในตัวเองอยู่ลึกๆ
เมื่อผลเป็นเช่นนี้เราจะปล่อยตามอำเภอใจ ให้กินสบายฉันสบายนอนสบายได้อย่างไร เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นภัยต่อความเพียรให้เห็นอย่างชัดเจนอยู่แล้ว จึงต้องได้ฝ่าได้ฝืน การฝ่าฝืนการต่อสู้ ไม่ใช่เรื่องที่จะให้เกิดความสุข มีแต่เรื่องความทุกข์ทั้งนั้นทีเดียว ทุกข์มากทุกข์น้อย บางครั้งเดินเข้ามาในหมู่บ้านจะไม่ถึงหมู่บ้านก็มีเพราะกำลังไม่อำนวย ก็ทน แต่จิตใจเหมือนจะเหาะเหินเดินฟ้า ฟังซิผิดกันไหม นี้ละสิ่งที่จะให้เราตะเกียกตะกายมันเด่นอยู่ภายในจิตใจ ยิ่งอดไปหลายวันเท่าไร เพราะอดด้วยความเพียรไม่ใช่อดเฉยๆ ทนเฉยๆ อดด้วยความเพียร ทนด้วยความเพียร สติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียรมี หมุนกันเข้าไปตลอดเวลา อันนี้ไม่ถอยไม่ลดละมีแต่เพิ่มขึ้น
จิตเมื่อได้รับการอบรมศึกษาหรือบำรุงอยู่ไม่ขาดวรรคขาดตอน ย่อมมีความปลอดภัยไร้กังวลทั้งหลาย ปรากฏเป็นผลแห่งความสงบเย็นใจขึ้นมาเรื่อยๆ จนถึงกับเป็นความสว่างไสวภายในตัวเอง บางครั้งให้อดนึกวิตกไม่ได้หรือวิจารไปต่างๆ ในทางที่ดี คือเป็นความอัศจรรย์ในความสว่างไสวของใจ ทั้งๆ ที่ร่างกายจะก้าวไม่ออก เดินจงกรมนี้ไม่ได้กี่ตลบแหละจะก้าวไม่ออก เหนื่อยเอามากมายก่ายกองต้องได้ยืนต้องได้นั่ง แต่จิตไม่ได้เป็นอย่างนั้น มีแต่ความสว่างไสวเต็มอยู่ภายใจหัวอกนี้พูดง่ายๆ เป็นของอัศจรรย์อยู่ภายใน
นี้ละพาให้ตะเกียกตะกาย พาให้อดพาให้ทนพาให้ต่อสู้เรื่องความทุกข์ทั้งหลาย และไม่ใช่เป็นอยู่เพียงวันหนึ่งวันเดียว ตั้งแต่วันก้าวออกเพื่อการปฏิบัติ มีแต่ได้รับความทุกข์ความทรมาน เพราะการฝืนความต้องการของธาตุของขันธ์อยู่เรื่อยมาจนถึงกับท้องก็เสีย แต่ไม่เคยวิตกวิจารในเรื่องสิ่งเหล่านี้ นอกเหนือไปจากจุดมุ่งหมายที่เราต้องการ คือความพ้นทุกข์เท่านั้น ทั้งๆ ที่ต้นทุนของเราไม่มีกี่บาทกี่สตางค์ก็ตาม แต่ความมุ่งเป็นมหาเศรษฐีนั้นล้นหัวใจ นี้แลทำให้ความเพียรเป็นแบบอัศจรรย์
จนกระทั่งที่ว่าลืมไม่ได้ ถึงกับต้องมาพูดให้หมู่เพื่อนฟังว่าเราเป็นเช่นนั้นนิสัยของเรา บางครั้งถึงขั้นจะเป็นจะตายจริงๆ แต่ก็อันหนึ่งที่พอฟัดพอเหวี่ยงพอเป็นเครื่องระลึกอย่างฝังลึกที่สุด ก็คือหัวใจดวงนั้นไม่ได้เป็นเหมือนอย่างร่างกาย ที่แสดงออกมาด้วยความอ่อนแอท้อแท้ แต่เป็นความขึงขังตึงตัง เป็นความสง่างามสว่างไสวเต็มหัวใจและมีความหวังอยู่ภายในนั้นอีกด้วยว่า จะต้องก้าวจะต้องเดิน จะต้องขยับขยายตัวให้มีกำลังมาก ถ้าพูดถึงเรื่องว่าความสว่างยังจะสว่างมากกว่านี้ พูดถึงเรื่องกำลังของใจยังจะมีกำลังมากกว่านี้ พูดถึงความอัศจรรย์ยังจะอัศจรรย์มากกว่านี้ นี่ละสิ่งที่พาให้ดึงดูด
ทำให้ลืมในเรื่องความทุกข์ความลำบากทั้งหลายในการอด หรือในการทนทรมานทางร่างกาย และเป็นเรื่อยไปอยู่ตลอด จนกระทั่งถึงขั้นของสติปัญญาที่ก้าวตัวออกทำงานอย่างเราไม่เคยรู้เคยเห็นไม่เคยเป็น ก็ก้าวออกแล้ว ๆ เป็นไปแล้ว ไอ้เรื่องความพากเพียรหรือเรื่องการอดก็ต้องอดไปอยู่อย่างนั้น เพื่อความรวดเร็วของสติปัญญาให้ได้ทันกับเหตุการณ์ และตัดขาดกันในไม่ช้าพูดง่ายๆ ว่ายังงั้น เมื่อเป็นเช่นนั้นความสุขในร่างกายนี้จะเอามาจากไหน ก็มีแต่เรื่องความทุกข์
แต่ความสุขในใจนั้นสุข ถึงขั้นที่สุขแล้วสุข ถึงขั้นอัศจรรย์ ๆ ไปโดยลำดับลำดานี้แลเป็นสิ่งที่ให้ดึงดูดให้ก้าว ให้ไม่เสียดายชีวิตยิ่งกว่าธรรมที่เราหวังอยู่นั้นอย่างเต็มหัวใจ มีวันหนึ่งจะเอาให้ได้ ๆ นี่เรียกว่าความหวัง หวังอย่างเต็มหัวใจ ความเพียรจึงหมุนไปตามความหวังนั้น ไม่มีคำว่าย่อหย่อนอ่อนกำลัง มีแต่หมุนเรื่อยๆ เป็นก็เป็น ตายก็ตาย ไม่ได้คิดถึงเรื่องอะไรทั้งนั้นนอกจากความหลุดพ้นจากทุกข์โดยถ่ายเดียว ให้เห็นประจักษ์ภายในใจของตัวในวันใดวันหนึ่งนี้เท่านั้น นี่ถึงได้เป็นความทุกข์ความลำบากมากในการประกอบความพากเพียร
จนกระทั่งเต็มสติกำลังความสามารถ เอ้า พูดให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยว่า ไม่สงสัยในการก้าวเดินแห่งความเพียรทั้งหลายว่าจะก้าวไปที่ไหนอีก สิ่งที่ต้องการก็ไม่สงสัยว่าจะต้องการอะไรอีก ความหลุดพ้นภายในจิตใจก็ไม่ต้องการว่าจะหลุดพ้นไปเพื่ออะไรอีก เต็มหัวใจแล้ว จึงเป็นเหมือนกับว่าได้ปลดปล่อยเครื่องทัพสัมภาระอันเป็นแนวรบเครื่องรบออกจากตัวของตัว อยู่ด้วยความผาสุกเย็นใจไร้กังวล หมดอดีตอนาคต ไม่มีสิ่งใดปรากฏเลยว่าจะหวังอะไรอีกต่อไป พระพุทธเจ้ามีกี่พระองค์กราบราบหมด พระสาวกท่านมีกี่องค์ในบรรดาที่เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ๆ กราบราบหมด ไม่สงสัยว่าพระพุทธเจ้ามีหรือไม่มี พระอรหัตอรหันต์ทั้งหลายมีหรือไม่มี ศาสนธรรมนี้เป็นธรรมที่ยอดที่สุดในสามแดนโลกธาตุนี้ไม่มีอะไรเสมอ ก็เต็มหัวใจหาที่สงสัยไม่ได้ เมื่อถึงขั้นที่เต็มแล้วมันเต็มอย่างนั้น
ไอ้เรื่องภพเรื่องชาติก็คือตัวของจิตตามร่องรอยเข้ามาตั้งแต่เริ่มแรก ตั้งแต่ตัวพยศมันครอบหัวใจ พาให้ดิ้นรนกระวนกระวายกวัดแกว่งต่อสู้กับอรรถกับธรรมเรื่อยมา ก็ฟัดกันไปฟัดกันมาแล้วค่อยจางไป ๆ จนกระทั่งถึงไม่มีอะไรเหลือภายในจิตใจ เหลือแต่ความบริสุทธิ์ล้วน ๆ พระพุทธเจ้าท่านบริสุทธิ์อย่างไรไม่สงสัย พระสาวกอรหัตอรหันต์ท่านบริสุทธิ์อย่างไรไม่สงสัย หาความสงสัยไม่ได้ แม้ที่สุดท่านว่านิพพานเป็นอย่างไรไม่สงสัย ทั้ง ๆ ที่อยากเต็มหัวใจในขณะบำเพ็ญ แต่เมื่อไปเต็มขีดเต็มแดนเต็มสติกำลังความสามารถแล้วหมดความอยากโดยประการทั้งปวง อยู่โดยหลักธรรมชาติแห่งความเป็นจริงที่เลิศเลอก็ได้ หรือเรียกว่าที่ไม่เหมือนอะไรทั้งนั้นในสามแดนโลกธาตุนี้ ธรรมชาตินั้นไม่ได้เหมือนอะไรทั้งนั้นก็ถูก ถ้าว่าอยู่ก็อยู่กับธรรมชาตินั้น
ทีนี้เป็นยังไงเรื่องจิตใจที่เคยถูกจองจำ ถูกบีบบังคับอยู่ตลอดเวลามากี่กัปกี่กัลป์นับไม่ถ้วนเลย ตามร่องรอยของภพของชาติแห่งจิตนี้มาโดยลำดับจนกระทั่งเข้าถึงตัว อะไรเป็นสาเหตุอันสำคัญให้จิตนี้หมุนไม่หยุดไม่ถอย เกิดนี้ตายนั้น เกิดนั้นตายนี้ ที่ไหน ๆ ที่จิตดวงนี้ไม่ได้ไปเกิดไม่ปรากฏว่ามี เกิดได้ทั้งนั้นไปได้ทั้งนั้นตายได้ทั้งนั้น ในสามแดนโลกธาตุนี้เป็นที่เกิดที่ตายของจิตดวงนี้ จิตดวงเดียวนี้แหละ เพราะนานแสนนานที่เคยเป็นมามากน้อยเพียงไร ตามจนกระทั่งเข้าถึงตัว แล้วมีอะไร ก็มีอันเดียวเท่านั้น ที่ว่า อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา เมื่อถอนธรรมชาติที่เป็นเชื้ออันสำคัญหรือเป็นตัวเสนียดจัญไรของภพของชาติอันสำคัญออกโดยสิ้นเชิงแล้ว หาอะไรอีก นั่น จิตนี้จะก้าวไปไหนอีก หมุนไปไหนอีก ก็ไม่มีอะไรหมุน จะเอาอะไรไปหมุนอีก ความไม่หมุนนั้นแลคือความสุขที่สุดในโลก ความหยุดอยู่โดยหลักธรรมชาติแห่งความบริสุทธิ์ของตนที่หมดเหตุหมดปัจจัยแล้ว นั้นแลคือความสิ้นสุดหรือวิมุตติหลุดพ้นหรือความประเสริฐสุดแดนแห่งโลกธาตุนี้ไม่มีอะไรเหมือน
นั่นคุ้มค่ากันหรือไม่ในการประกอบความพากเพียรสละเป็นสละตาย ชีวิตนี้ไม่มีความหมายในเวลาไม่ให้มี เป็นก็เป็น ตายก็ตาย เป็นยังไงก็จะเอาให้ได้นี้เท่านั้น นี่พูดถึงเรื่องความทุกข์ความลำบาก แต่อันหนึ่งที่ทำให้พาตะเกียกตะกายก็คือกำลังของใจ ไม่มีคำว่าถอย เป็นก็เป็น ตายก็ตาย ถึงไหนถึงกัน พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ไม่ได้หลอกลวงโลก และสิ่งที่เห็นประจักษ์ที่เป็นผลของการปฏิบัติก็เห็นมาโดยลำดับลำดา นั่นละที่เป็นเครื่องหนุนอยู่ตลอดเวลา นี่พูดถึงเรื่องความทุกข์ ทุกข์ขนาดนั้นแหละ
หากเราจะนำความทุกข์ทั้งหลายในการฝึกทรมาน หรือในการสังหารกิเลสต่อสู้กับกิเลสนี้ มาเทียบมาเคียงกับการแนะนำสั่งสอนโลกทั่ว ๆ ไปไม่ว่าผู้หนึ่งผู้ใดก็ตามแล้ว เหมือนกับว่าเราจะสอนไม่ได้สอนไม่ลง ลำบากลำบนไม่อยากจะยุ่งเลย ประหนึ่งว่ามันสุดเอื้อม
ผู้ที่จะปฏิบัติตาม พูดแล้วเหมือนกับมาโกหกกัน จะทำยังไง ก็อยู่ไปกินไปพอถึงวันแล้ว จะไปเมื่อไรก็ไปเถอะ เมื่อมันหมดเหตุหมดปัจจัยที่มาเกี่ยวข้องกันกับจิตนี้แล้ว อยู่ไหนก็อยู่ได้ ไปไหนก็ไปได้ เป็นก็เป็นได้ ตายก็ตายได้ มันมีน้ำหนักเท่ากันหมดเมื่อหมดสิ่งเกี่ยวเกาะแล้ว สิ่งเกี่ยวเกาะคืออะไร ก็กิเลสเป็นตัวเหตุ จึงทำให้เกี่ยวเกาะกับสมมุตินั้นนี้ยั้วเยี้ยไปหมด สามแดนโลกธาตุนี้มีความเกี่ยวโยงกับจิตดวงเดียวนี้ทั้งนั้น พอตัดธรรมชาตินั้นออกแล้ว อะไรมาเกี่ยวโยง อะไรมาเกี่ยวข้องกับธรรมชาตินั้น ไม่มีเลยจะว่าไง นั่นเห็นไหมเรื่องมันพลิกตาลปัตรกัน
ความรู้นั้นรู้นี้อะไร ๆ ที่เวลาทรงธาตุทรงขันธ์นี้ มีแต่เรื่องของสมมุติที่เกี่ยวข้องกันอยู่ธรรมดา ๆ ยิบแย็บ ๆ นี้ เหมือนกับหางจิ้งเหลนขาดหางจิ้งจกขาดนี้เท่านั้นเอง พอหมดเหตุหมดปัจจัยแล้วมันก็ขาดสะบั้นลงไปตามสภาพเดิมของตน แล้วธรรมชาตินั้นไปคิดไปอ่านหาอะไรให้เสียเวล่ำเวลา เพราะเป็นหลักธรรมชาติเป็นหลักปัจจุบันอยู่แล้ว ถ้าจะพูดว่าปัจจุบันก็เป็นปัจจุบันอยู่แล้วเกี่ยวข้องกับอะไร นี่การปฏิบัติ
พวกเรามันพวกลำบาก เราจะทำอย่างสะดวกสบายเอาตามความต้องการอย่างนั้น ยังไงก็ไปไม่รอดนะ ต้องฝืนต้องสู้ ความอยากเต็มหัวใจทำไมจะไม่ระบายออกมาทางตาทางหูทางจมูกทางลิ้นทางกาย อันเป็นทางระบายของความอยาก มันก็ต้องอยากดูอยากเห็นอยากได้ยินได้ฟัง อยากทุกสิ่งทุกอย่างเต็มไปหมด เพราะหัวใจนั้นเป็นตัวอยาก เมื่อหัวใจนั้นเป็นตัวอยากก็ต้องกระจายออกมาตามทางที่มันจะออกได้ เป็นอย่างนี้ตลอดไป แล้ววันไหนมีความอิ่มพอในความอยากนี้ ไม่มี ถ้าไม่มีธรรมห้ามล้อ ไม่มีธรรมเป็นเบรกห้ามเอาไว้แล้ว จะเป็นอย่างนี้ตลอดไป
คำว่าตลอดไปนั้นมีกี่กัปกี่กัลป์เรานับได้ไหม นับไม่ได้เลย เป็นมาอย่างไรก็เป็นไปอย่างนั้น อย่างที่เป็นอยู่เวลานี้กับที่เป็นมาแล้วมันก็เท่ากัน จะเป็นไปอีกข้างหน้านานสักเท่าไรก็กำหนดไม่ได้ ถ้าไม่แก้ธรรมชาตินี้ ถอดถอนธรรมชาตินี้ออกให้หยุดกึ๊กลงไปเสียเท่านั้น จะหมุนตัวอยู่ตลอดเวลา
ความหมุนตัวนั้นหมุนธรรมดาค่อยยังชั่ว หมุนไปด้วยความทุกข์ความลำบากความทรมานนี่ซีมันสำคัญ ท่านจึงว่า ทุกฺขํ นตฺถิ อชาตสฺส ทุกข์ย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่เกิด จิตที่หมดเรื่องความเกี่ยวข้องที่เรียกว่าเกิดตายนั้นแล้ว จะเอาอะไรไปยุ่ง ทุกข์จะมาจากไหน ทุกข์ก็มาจากสิ่งเกี่ยวข้องคือความเกิดในภพนั้นภพนี้นั่นแล จะมีอะไรเข้าไปเกี่ยวข้อง ก็มีอันนี้แหละเป็นสำคัญ เมื่อแก้อันนี้ลงไปให้สิ้นสุดแล้ว ปัญหาก็หมดโดยประการทั้งปวง นั่นละพระพุทธเจ้าท่านเป็นอย่างนั้น พระสาวกอรหัตอรหันต์ท่านเป็นอย่างนั้น จิตของท่านเป็นอย่างนั้น รู้แบบเดียวกันหมด
แต่ไม่รู้แบบใคร รู้แบบวิมุตติ รู้แบบความบริสุทธิ์ ไม่ได้รู้แบบที่เคยเป็นมา ความรู้นั้นรู้นี้ที่เจือปนไปด้วยกิเลสเป็นมิตรเป็นสหาย เป็นข้าศึกศัตรูอยู่ตลอดเวลานั้น ท่านไม่มีนี่ เป็นความรู้ในหลักธรรมชาติแท้ๆ ที่มีอยู่ในขันธ์นี้ก็รู้ว่าความรู้นี้เกี่ยวกับขันธ์เท่านั้นเอง ยิบๆ แย็บๆ ที่เป็นไปอยู่ทางตาทางหูทางจมูกทางลิ้นทางกายอย่างนั้น ก็เป็นไปตามหลักธรรมชาติของขันธ์ที่มีที่ครองตัวอยู่ แต่ธรรมชาติอันหนึ่งที่นอกเหนือจากขันธ์ไปแล้วและครองตัวอยู่ในเวลาขันธ์ยังอยู่นั้น ไม่ได้เหมือนอะไรนี่ อันนั้นจึงเอามาเทียบกับสิ่งใดไม่ได้ เพราะฉะนั้นพระอรหันต์ท่านเป็นท่านตายในแบบใดก็ตามท่าใดก็ตาม จึงไม่เป็นปัญหาเข้าไปกระทบกระเทือนกับธรรมชาตินั้นเลย นั่นผิดกันที่ตรงนั้น
ใครเป็นเข้าก็รู้เอง ไม่ต้องบอกใครเลยละนี่ จะเป็นหมื่นๆ แสนๆ ล้านๆ องค์ก็ตาม ไม่มีแม้รายเดียวที่จะมาสงสัยในเรื่องความเป็น เพราะธรรมชาตินั้นเหมาะสมทุกสิ่งทุกอย่าง พอดิบพอดีแล้ว สิ่งใดไม่พอดีรู้ทันที ธรรมชาตินั้นพอดิบพอดีทุกสิ่งทุกอย่างหาที่ต้องติไม่ได้แล้ว อันใดที่นอกเหนือไปจากนั้นแม้นิดหนึ่งก็รู้ทันทีๆ ว่าไม่ใช่อันนั้น มันก็เป็นไปเองตกไปเอง ไม่ต้องบังคับไม่ต้องสลัด เป็นตกไปเองๆ
อย่างที่ท่านว่าอะไรในบาลีก็ลืมเสีย ว่าน้ำตกลงบนใบบัวย่อมกลิ้งตกไป โดยที่ว่าใบบัวก็ไม่ได้สลัด น้ำก็ไม่ได้ตั้งใจจะซึมในใบบัว หากเป็นธรรมชาติที่กระทบกันแล้วตกไปๆ นี่อารมณ์แห่งสมมุติทั้งหลายก็เป็นอย่างนั้น หลักธรรมชาติของจิตซึ่งเป็นเหมือนใบบัวก็เป็นเช่นนั้นเอง เพราะฉะนั้นการเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นความทุกข์ขนาดไหนถึงล้มถึงตายก็ตาม จะไม่มีแง่ใดส่วนใดเลยที่จะเข้าไปกระทบกระเทือนใบบัวคือจิตที่บริสุทธิ์ของท่านให้มีความด่างพร้อยไป ดังที่โลกสงสัยกันหรือสำคัญกัน ไม่มี เพราะนั้นเป็นอฐานะ เป็นอะไรอีกไม่ได้แล้ว จะให้เป็นแบบสมมุติทั้งหลายเป็นไปไม่ได้แล้ว เพราะไม่ใช่สมมุติ
นี่พูดถึงเรื่องความเพียรเพื่อให้เป็นคติแก่หมู่เพื่อนทั้งหลายที่มาประพฤติปฏิบัติอย่าเห็นแก่หลับแก่นอนแก่อยู่แก่กินแก่ความอยาก อะไรอยากเข้ามาก็คว้าๆ มันเป็นเรื่องของคนธรรมดา ไม่ใช่ผู้ปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นจากทุกข์ ถ้าไม่มีการฝืนการดัดแปลงกันบังคับบัญชากันบ้าง ก็ไม่มีเครื่องหมายว่าผู้ปฏิบัติผู้ต่อสู้ มันก็จะเป็นเรื่องลอยลมไปเสีย อะไรก็ลอยไปๆ ก็ไหลไปเสียตามลมตามแล้งหาเหตุหาผลหาหลักหาเกณฑ์ไม่ได้ ปัจจุบันก็เป็นอย่างนี้ วันต่อไปก็เป็นอย่างนั้น วันไหนก็เป็นอย่างนั้น เดือนไหนก็เป็นอย่างนั้น จนกระทั่งวันตายก็เป็นอย่างนี้ และภพใดก็เป็นอย่างนั้นไปอีก นี่ละถ้าปล่อยให้เป็นไปตามมันจะเป็นอย่างนั้นตลอดไป ไม่มีคำว่าจืดจางว่างเปล่า ไม่มีคำว่าสุกว่างอมแล้วยุติกันเสียที ไม่มี เรื่องการเกิดการตายไม่มีคำว่าสุกว่างอม ไม่มีคำว่าล่าว่าสาย มีเกิดมีตายอยู่ตามหลักธรรมชาติของเชื้อที่พาให้เป็นนั้นแล ถ้าไม่ถอนออกเสียให้สิ้นซากไม่มีอะไรเหลือแล้ว นั้นแลถึงจะรู้ในวงปัจจุบันของตัวเอง
เวลานี้นักปฏิบัติของเรากำลังเหลวๆ ไหลๆ นี่เขาก็เขียนหนังสือมาเหมือนกับบัตรสนเท่ห์มาหาเรานี้ ก็เรื่องพระปฏิบัติเรานั้นแหละ เราไม่ได้ตำหนิเขาที่เขียนมา เป็นสิ่งที่เขาควรจะปรึกษาปรารภหรือควรที่จะบอกจะกล่าวในเรื่องเหล่านี้ ฟังแล้วก็อย่างว่านั่นแหละ พิจารณาเอง มันเหลวๆ ไหลๆ เป็นอย่างนั้นไปละ สิ่งใดที่ไม่ควรให้เกิดมันเกิด ทำให้เกิด สิ่งใดที่ควรให้เกิดไม่ยอมสนใจที่จะให้เกิดนี่ซิ มันกีดมันขวางศาสนธรรมของพระพุทธเจ้าจะเป็นใคร ถ้าไม่ใช่ผู้ปฏิบัติเรานี้ ท่านสอนว่าอย่างนั้นมันกลับเป็นอย่างนี้ไปเสีย มันชอบอย่างนี้ให้ทำอย่างนี้ไปเสีย หาที่จะเป็นสาระแก่นสารไม่ได้เลย และเป็นไปๆ ต่อไปก็จะไม่มีอะไรเหลือละนะ
ผู้ปฏิบัติทางจงกรมก็จะไม่มี ต่อไปจะไม่มีทางจงกรม ไม่มีสถานที่ทำงานสังหารกิเลสของพระปฏิบัตินะ มันจะมีแต่สถานที่กิเลสสังหารธรรมสังหารตัวของผู้ปฏิบัติให้ล่มจมฉิบหายไปด้วยแบบไม่เอาไหนนั่นละพูดง่ายๆ นี่จะทำยังไงพวกเรา แล้วเวลามาก็มามากมายอย่างนี้ ก็เคยประกาศลั่นกันอยู่ นี่มันเท่าไรแล้ว ตั้ง ๕๐ กว่ามันไม่ใช่ข้องไม่ใช่อึ่ง พอที่จะมาบรรจุเป็นปลากระป๋องอยู่ในกระป๋อง ก็ควรขยับขยายกันซิ จะให้พูดอะไรมากมายนักหนา มากแล้วเป็นยังไง มันเหลวๆ ไหลๆ อย่างนี้มันน่าดูไหมล่ะ ดูซิเป็นยังไง
การอบรมสั่งสอนก็สั่งสอนเต็มภูมิ ไม่มีอะไรที่เหลืออยู่แล้วในการสั่งสอนหมู่เพื่อน หากจะยึดไปเป็นข้อปฏิบัติกำจัดสิ่งที่เป็นภัยแก่ตัวเอง เราก็ไม่สงสัยว่าอุบายที่นำไปนั้นผิดไป เพราะการสอนไม่ได้สงสัยว่าได้สอนผิดไปจากหลักธรรมและจากหลักผู้ปฏิบัติทั้งหลายที่ได้ปฏิบัติและรู้เห็นมา มันควรจะได้แล้วนี่
นี่ยิ่งหนาแน่นขึ้นทุกวันๆ แล้วสิ่งใดที่มันแสลงหูแสลงตามันเป็นอยู่เสมอมีอยู่เสมอ อันนี้ซิทำให้วิตกวิจารเกี่ยวกับเรื่องหมู่เพื่อน ของไม่ละเอียดเลย ของหยาบๆ ก็ได้พูดได้ว่ากันอยู่ เพราะจิตไม่จดจ่อจิตไม่จริงไม่จัง ฟังก็ฟังแบบผิวๆ เผินๆ สักแต่ว่าฟัง เวลาปฏิบัติมันก็เป็นไปตามนิสัยที่เหลวๆ ไหลๆ นั้นแหละ ให้เห็นความเหลวๆ ไหลๆ แสดงออก ไปทำอะไรมันก็เห็นความเหลวไหลของการทำอยู่โดยดีปิดไม่อยู่ ทำให้เห็นอยู่อย่างนั้นแหละ อย่างที่พูดเมื่อ ๒-๓ วันมานี้ เราพูดทุกสิ่งทุกอย่างด้วยเหตุด้วยผลด้วยความจงใจ เกี่ยวกับเรื่องความเป็นอาจารย์สอนหมู่เพื่อนนั่นเอง จึงพูดตรงไหนจับไว้ตรงนั้นๆ เพื่อเอาความสัตย์ความจริงกับหมู่กับเพื่อนว่าเป็นยังไง ผู้มาศึกษาอบรมมาด้วยเลื่อนๆ ลอยๆ ดังที่เป็นอยู่ที่นี้ประกาศอยู่เวลานี้หรือมายังไง มันเห็นแล้วนะนี่ มันรู้แล้วนี่เป็นยังไง มันไม่มีอะไรจริงๆ จังๆ เลยสักนิดเดียว มีแต่ความเหลวๆ ไหลๆ
คำพูดของครูบาอาจารย์ที่เรามาเพื่อการศึกษาอบรม น่าจะเป็นเหตุเป็นผลเป็นที่สะดุดใจ แต่นี่ไม่นะ ถ้าสะดุดใจมันทำไมจึงจะจับผิดไป นี่แสดงว่าความไม่สังเกตไม่พินิจพิจารณา ไม่เจาะจง จิตกับสติไม่อยู่ด้วยกันเลย มันเหลวไหลอย่างนี้จะว่าไง นี่ยกขึ้นมารายหนึ่ง แล้วเป็นยังไง ในวัดนี้มีกี่องค์แล้วเป็นยังไงบ้าง ได้พากันคิดหรือเปล่าล่ะ นี่เป็นเรื่องของกิเลสหรือเรื่องของธรรม เรื่องของสติของปัญญาหรือเรื่องของกิเลส เรื่องเหลวๆ ไหลๆ ที่เคยเป็นมาแล้วนั้น มันน่าคิดอยู่มากนะ จึงทำให้อดคิดไม่ได้นะนี่
ผู้แนะนำสั่งสอนหมู่เพื่อน เป็นผู้น้อยเราก็เคยเป็น ไม่ใช่มาเป็นผู้ใหญ่เอาเสียทีเดียวนี่ เป็นผู้น้อยก็เคยเป็น ครูบาอาจารย์พูดอะไรนี้มันเป็นยังไง จึงมาเทียบกันเวลานี้น่ะ ถ้าหากว่าเราไม่เคยเป็นผู้น้อย เราไม่เคยศึกษากับครูบาอาจารย์มาก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง นี้เราก็เคยศึกษามา ท่านพูดในแง่ใดอันใด ควรจะเป็นคติตัวอย่างอะไรได้บ้าง หรือคำพูดที่พูดเหล่านี้ไม่มีสาระอะไรเลยเหรอกับหมู่กับเพื่อน มันถึงไม่เป็นที่ให้สนใจพอที่จะยึดไปประพฤติปฏิบัติให้เป็นสารคุณแก่ตนบ้าง มันเป็นอะไร
นี่กุดเข้ามาด้วนเข้ามานะเวลานี้พระกรรมฐาน โห ทุเรศแล้วนะ ในวัดหนึ่งๆ จะไม่มีทางจงกรมนะ มีแต่การก่อการสร้างยุ่งไปหมด อันนี้เป็นเรื่องของโลกเขา เรื่องการก่อการสร้างอันนี้ไม่ใช่เรื่องของธรรม เรื่องของธรรมดูซีในตำรับตำรา สำหรับพระเราไปสร้างอะไรหาอะไร อยู่ที่ไหนมีตำรับตำราบอกไว้อย่างชัดเจน มีแต่เรื่องเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา อยู่ป่านั้นเขาลูกนี้มีแต่อย่างนั้นทั้งนั้นละ มันตำตากันอยู่นี่จะว่าไง เอาอุตริมาพูดได้ยังไง ก็มันตำตาอยู่นี่ เห็นอยู่ในตำรับตำรารู้อยู่นี่ เอาสิ่งที่รู้ที่เห็นที่ได้เรียนมานี้มาพูดให้หมู่เพื่อนฟัง โกหกไปตรงไหน ตำรับตำรามีอยู่นี่ การก่อการสร้างเอาเป็นคู่แข่งของศาสนธรรมมีที่ตรงไหน ไม่เห็นมี
ท่านแสดงไว้บ้างก็มีที่นางวิสาขาสร้างวิหารหรือสร้างศาลาใหญ่ ที่ว่าใหญ่นั่นใหญ่ขนาดไหนไม่รู้ละ ให้พระโมคคัลลาน์เป็นผู้บัญชางาน เป็นผู้ดูแลในงานนั้น ทีนี้พระโมคคัลลาน์ท่านก็เป็นพระอรหันต์ นั่นฟังซิ นอกนั้นยังไม่เห็นมีที่ไหน เห็นแต่อยู่ในเขานั้นในป่านี้ เดินจงกรมนั่งสมาธินี้ เป็นยังงั้นละ ไม่เห็นเอาอะไรมาแข่งตลาดเขามาแข่งโลกเขา สร้างนั้นสร้างนี้ยุ่งไปหมด เวลานี้พระเรามีแต่อย่างนั้นนะ อยู่เฉยๆ ไม่ได้ ต้องไปหาเกาในที่ไม่คัน ทำนั้นป๊อกๆ แป๊กๆ ในวัดนี้อย่ามายุ่งนะถ้าไม่อยากอยู่ให้หนี ไล่หนีเลย อย่าเอามายุ่งเอามาเกี่ยวข้อง อย่ามาเป็นข้าศึกกัน
เราไม่ได้เห็นสิ่งเหล่านี้วิเศษวิโสอะไร ไม้มันวิเศษอะไร ไม้ อิฐ ปูน หิน ทราย มันวิเศษวิโสอะไร มันเกลื่อนแผ่นดินอยู่นี่ วิเศษวิโสอะไร ธรรมต่างหากที่วิเศษ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม ไม่ได้ตรัสรู้หินทรายปูนว่าเป็นของวิเศษ ไม่ได้ยกขึ้นว่าหินปูนทราย สรณํ คจฺฉามิ นี่นะ แล้วทำไมเราถึงได้นับถือเอานักหนา ถึงสนใจเอานักหนา มันดิ้นบ้าเอานักหนานี่ ไปที่ไหนมีแต่ยุ่งไปหมด กวนบ้านกวนเมืองยุ่งเหยิงวุ่นวาย มองเห็นหน้าญาติหน้าโยมไม่ได้ คอยแต่จะเอาห้าเอาสิบกับเขา กวนบ้านกวนเมืองมันเป็นยังไงยังงั้น นี่ละถ้ามันดิ้นแล้วเป็นอย่างนั้นนะ
หาความสงบซิ ทำยังไงจิตตัวไหนมันดิ้นอยู่เดี๋ยวนี้น่ะ ถ้าไม่ใช่จิตจะอันไหน คนตายแล้วมันดิ้นที่ไหน จิตตัวนี้ละตัวมันดิ้น ดูตัวมันดิ้นนั้นซิ มันจะดิ้นไปไหนตั้งหน้าตั้งตาดูมัน ตั้งหน้าตั้งตาพิจารณา ตั้งหน้าตั้งตาฆ่ามันอยู่ตลอดเวลามันจะไปไหนกิเลส กิเลสเป็นของที่ฆ่าได้ทำลายได้ ไม่อย่างนั้นพระพุทธเจ้าไม่สอนให้ทำลายกิเลสให้ฆ่ากิเลส นี้มันไม่สนใจนี่ ว่าทำแก้รำคาญๆ มันแก้รำคาญอะไรมันเพิ่มรำคาญอันนี้ อยู่ที่ไหนมีแต่เรื่องการก่อการสร้าง ทำนั้นทำนี้ปุ๊กๆ ปิ๊กๆ อยู่ไม่หยุดไม่ถอย เป็นบ้าไปหมดนี่จะทำยังไง เราพูดจริงๆ เราไม่เห็นสาระอะไรกับสิ่งเหล่านี้เลย ขอให้จิตมันสง่าผ่าเผยอยู่ในหัวใจเจ้าของเถิด ถ้าพูดถึงเรื่องสมาธิก็สงบแน่ว เอา ถ้าพูดถึงเรื่องสมาธิขั้นใดได้ทรงไว้ ๆ ซี จะเป็นยังไง มันต่างกันไหมกับอิฐปูนหินทรายนี่น่ะ สมาธิความสงบใจมันต่างกันไหมกับอิฐกับปูนกับหินกับทรายเหล่านี้
ปัญญาเป็นยังไงต่างกันไหมกับสิ่งเหล่านี้ ตลอดถึงวิมุตติหลุดพ้นที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้อย่างแท้จริงนี้ ต่างกันไหมกับสิ่งเหล่านี้ พระพุทธเจ้าเลิศด้วยอันใด สาวกเลิศด้วยอันใด ธรรมที่ว่าธรรม ๆ มันอิฐปูนหินทรายนี้เหรอธรรม กราบอันนี้เหรอ สั่งให้โลกกราบอันนี้เหรอ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ คือหินคือทราย ให้กราบตรงนี้เหรอ มันทำไมถึงดิ้นเอานักหนาพระเรานี่น่ะ แล้วนับวันไปแล้วนะเวลานี้ ใครอยู่ที่ไหนยุ่งแต่เรื่องการก่อการสร้าง ไม่ได้สนใจกับเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนาที่จะฆ่ากิเลสตัวมันคึกมันคะนอง ตัวมันดิ้นรนเป็นหมาขี้เรื้อนอยู่ภายในหัวใจนั้นบ้างเลย แล้วจะทำยังไงนี่
มันจะหมดแล้วนะศาสนา มีแต่ในคัมภีร์มีแต่ในตู้ในหีบเฉย ๆ ในหัวใจของพระของเณรผู้ปฏิบัติเรามันไม่มีแล้วนะเวลานี้ มันมีแต่ความดิ้นบ้าอยู่นั่นน่ะ พิจารณาซิ เดี๋ยวนี้ได้ฟังกันแล้วยังล่ะที่พูดเหล่านี้ หรือยังจะว่าพูดเล่นหรือนี่ มันวิเศษวิโสอะไรอย่างนี้ ความสนใจอยู่ในจุดใดเวลานี้ อยู่ในปูนในอิฐในหินในทรายในไม้ในต่ออะไรไปอย่างนั้นเหรอ ไม่ได้อยู่ในอรรถในธรรมเหรอ ไม่ได้อยู่กับศีล ไม่ได้อยู่กับสมาธิ ไม่อยู่กับปัญญา ไม่อยู่กับการฆ่ากิเลสตัวมันเป็นภัยนั้นเหรอ มันเป็นยังไงถึงได้ดิ้นเอานักหนา โห สลดสังเวชแล้วนะนี่นะจะว่าไง
ว่ายังไงก็แบบเก่า ๆ ถ้ามันไม่เป็นท่าแล้วให้ไปกันเสียให้หมด เราอยู่คนเดียวเราอยู่ได้นะ ทำไมจะอยู่ไม่ได้ เอ้าลองดูซิ หมู่เพื่อนไปผมจะอยู่ได้ไหม ถ้าพูดแล้วไม่ฟังเสียงกันอย่างนี้อยู่ทำไม พูดกันทำไมให้หมดลมปากไปเปล่า ๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไร อยู่คนเดียวไม่ได้พูดมันแสนสบายนี่นะ เราจะหวังเอาอะไร เอ้า ลองดูซี หมู่เพื่อนไปแล้วเราจะเป็นยังไง เราจะมีที่พึ่งไหม เราจะอยู่ได้ไหม พิจารณาซิ อยู่ด้วยกันมันไม่เป็นประโยชน์อะไรเลย มีแต่เรื่องยุ่งเรื่องเหยิงเรื่องนั้นเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลา ไม่มองดูหัวใจเจ้าของบ้างเลย
สอนเท่าไรมันก็ไม่สนใจ แล้วออกจากนี้ก็แสดงลวดลายเท่านั้นแหละ พอไปจะไปเริ่มสร้าง ไปอยู่ที่ไหนเอาละนะ ขึ้นหอปราสาทราชมณเฑียรไปแล้วนะ แข่งบ้านแข่งเมืองเขา นั่นเป็นนักแข่งไปแล้ว แล้วกวนบ้านกวนเมืองไปในขณะเดียวกันด้วย แหม มันน่าทุเรศนะ ไม่ได้เห็นคุณค่าของธรรมที่ท่านสอนไว้เพื่อความเลิศโลกเลิศในหัวใจนี้บ้างเลยจะทำยังไง เอ้าลองดูซิ เพียงสมาธิเฉย ๆ ก็พอ พออยู่พอกินพอเป็นพอไป สงบสบายไม่ดิ้นไม่รนเลย เคยเป็นมาแล้วนี่นะไม่ใช่พูดเฉย ๆ เราไม่ได้อวดใคร เป็นมาแล้ว
เอ้า จะให้เป็นสมาธิสักกี่ชั่วโมงก็ได้ แน่วอยู่นั้น ไม่มีอากัปกิริยาของจิตที่จะคิดปรุงไปในเรื่องอะไรเลย นั่นละสมาธิที่แนบแน่นที่สุด มีเหลือแต่ความรู้ที่ดิ่งอยู่เท่านั้น ไม่มีอะไรอาการใดที่จะยิบ ๆ แย็บ ๆ มา แม้แบบอย่างแสงหิ่งห้อยก็ไม่มี นั่นละถึงเรียกว่าสมาธิที่แนบเนียนที่สุด จากนั้นมาก็เอาให้ลงให้เต็มที่ ร่างกายนี้หายเงียบไปหมดเลย นั่นฟังซิไม่ได้มาอวดนะ นี่เป็นแล้ว
ผมอวดหมู่เพื่อนยังไง ผมสอนหมู่เพื่อนเพื่ออรรถเพื่อธรรมแท้ ๆ ทุ่มลงหมดทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อหมู่เพื่อเพื่อน อวดหาอะไร นี่ก็พูดแล้ว เป็นยังไงเพียงเท่านี้ก็พออยู่พอกินแล้ว เพราะฉะนั้นถึงได้ติด ติดสมาธิไม่อยากออกมันแสนสบาย อยู่นั้นไม่ยุ่งอะไรเลย สุดท้ายก็ถึงกับว่าความรู้ที่ดิ่งอยู่อันเดียวนี้ไม่มีอะไรเจือปนเลย เหลือความรู้อันเดียวเท่านี้ นี้ละคือจะเป็นนิพพาน อันนี้เอง ๆ มันก็ยิ่งติดแน่นเข้าไปซิ จนพ่อแม่ครูจารย์สับเขก ไล่ขนาบ ออกจากนั้นมันถึงได้ออก เราไม่ได้ลืมสิ่งเหล่านี้ เพราะอันนี้ว่าดี แต่ความจริงมันไม่ได้ดี เมื่อมีธรรมขั้นสูงกว่านี้เข้ามาเปรียบเทียบหรือมาเป็นคู่แข่งกันแล้วจึงได้ออกไป ออกไป พอก้าวเข้าไปถึงขั้นปัญญาแล้ว เอาละนะที่นี่นะ มันก็ย้อน มันไม่พอดีอย่างว่าน่ะ โอ๊ย สมาธินี้นอนตายอยู่เฉย ๆ ไม่เห็นได้เรื่องได้ราวอะไร ปัญญาต่างหากทำให้เกิดความเฉลียวฉลาดรอบตัว กิเลสกับจิตก็เบาลง ๆ แสงสว่างกระจ่างแจ้งที่เกิดขึ้นจากทางด้านปัญญานี้ ผิดกับทางด้านสมาธิเป็นไหน ๆ
นั่นที่นี่มันต่างกันไหม พิจารณาเอาซิ มันต่างกับอิฐกับปูนกับหินกับทรายนี้ไหม พิจารณาซิ อันนี้ใคร ๆ เขาก็ทำได้ โลกเขาก็ทำได้ มันวิเศษวิโสอะไร เขามากราบพระเณรเหล่านี้ เขาไม่ได้มากราบเพราะพระเณรมีปูนมีอิฐมีทรายมัดติดคอแบกอยู่บนบ่านะ เขามากราบด้วยความเป็นผู้ว่าเคร่งครัดในศีลในสมาธิในปัญญา ในวิมุตติหลุดพ้นในธรรมทั้งหลายต่างหากนี่นะ เขาไม่ได้มากราบเพื่อเอาอิฐปูนหินทรายที่มัดติดคอพระอยู่แล้วทับหัวพระอยู่นี่นะ เรามาสนใจอะไรนักหนา สิ่งอย่างนี้มันวิเศษวิโสอะไร
นี่พูดอย่างเต็มที่แล้วนะนี่นะวันนี้ เพราะพูดมามากต่อมากแล้ว ได้พิจารณาหมดแล้ว เอามาเทียบกันเพียงสมาธิมันก็เป็นคนละโลกแล้ว อิฐปูนหินทรายนี้เทียบกับความสงบ ผลของสมาธิแห่งการบำเพ็ญของตัวเองเพียงเท่านั้น มันก็รู้แล้วว่าเด่นกว่ากันมากขนาดไหน เลิศกว่ากันขนาดไหน ออกจากนั้นก็ก้าวถึงขั้นปัญญา ปัญญาเป็นขั้นที่ฆ่ากิเลสที่นี่ เอ้า กิเลสมีอยู่ชนิดไหน มีอยู่ภายในจิตใจเท่าไร พังลงไป ๆ ด้วยอำนาจของปัญญา ยิ่งดิ้นยิ่งดีดทางด้านปัญญาถึงขนาดที่ว่าไม่รู้จักเวล่ำเวลา เลยเถิดท่านว่า อุทธัจจะ นี่ก็เป็นมาแล้ว มันเพลินขนาดนั้นซี เป็นตายไม่ได้สนใจอะไรเวลาถึงขั้นมันเพลิน มันไม่มีรสมีชาติให้เพลิน-เพลินได้ยังไง
เอาจนกระทั่งถึงฟาดมันม้วนเสื่อลงหมดไม่มีอะไรเหลือแล้ว เป็นยังไงที่นี่ ต่างกันไหมกับสามแดนโลกธาตุนี้ เอามาเปลี่ยนกันได้ไหม จิตดวงนั้นกับเอาสามแดนโลกธาตุนี้มอบถวายหมดทั้งสามแดนโลกธาตุนี้ ให้เป็นสมบัติของบุคคลผู้เดียว กับจิตดวงที่บริสุทธิ์นั้น จะเอาอันไหน พิจารณาซิ ให้มันเห็นอย่างนั้นซิ
ธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นธรรมะที่สอนอย่างแท้จริง ให้เห็นอย่างชัดจริง ของวิเศษวิเศษจริง ๆ นี่นะ ไม่ได้มาพูดมาเสกมาสรรปั้นยอเฉย ๆ เป็นอยู่ในหัวใจจริง ๆ ใครเป็นก็เป็นเถอะ ถ้าลงได้เป็นแล้วไม่กราบพระพุทธเจ้าไม่มี จะนิพพานไปกี่ปีกี่เดือนมันสำคัญอะไรกับเรื่องนิพพาน ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นเรือนร่างของพุทธะต่างหาก สลายลงไปได้ทุกกาลสถานที่ทุกเวล่ำเวลา ทุกสัตว์ทุกบุคคลนั่นแหละสิ่งเหล่านี้ แต่ธรรมชาตินั้นเป็นยังไงใครเหมือนไหม เอาลงไปซิ แล้วจะมาหาวิเศษวิโสอะไรกับสิ่งเหล่านี้ พูดแล้วพูดเล่าสอนแล้วสอนเล่า ไม่ได้ฟังเสียงกันเลยทำไง
ทางจงกรมนี้ไปที่ไหนวัดไหนมันจะไม่มีแล้วนะเดี๋ยวนี้ มีแต่พระหากินล่ะซิ ว่าเขานับถือ เขาว่าสายหลวงปู่มั่นเคร่งครัด ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ยิ่งเห่อเป็นบ้ากันแล้วนี่ แล้วไปก็ไปกวนบ้านกวนเมืองทุกสิ่งทุกอย่างลืมเนื้อลืมตัวไปหมด ว่าเราเป็นลูกศิษย์ท่านอาจารย์มั่น จะเหาะจะบินไปแล้วทั้ง ๆ ที่ไม่มีปีก มันเป็นแล้วนะเดี๋ยวนี้ โห น่าทุเรศจริง ๆ
นี่ละเรื่องของกิเลสอยู่ในหัวใจคนมันทำให้เป็นอย่างนี้ ถ้าธรรมแล้วไม่ตื่นไม่ลืมตัว เขาติก็ตามเขาชมก็ตาม จะนำมาเป็นคติทุกอย่าง มาพินิจพิจารณาทุกอย่าง ความติความชมเป็นประโยชน์ด้วยกันทั้งสองอย่าง นั่นละจิตเป็นธรรมไม่ลืมตัว แต่นี้ไม่เป็นอย่างนั้นซิ พอเขายกยอบ้างแล้วเป็นบ้าไปเลย นี่เขากำลังยกย่อง เห็นไหมภาคกลางอุตส่าห์พยายามมานี่ ตะกี้นี่ก็ไป เมื่อเร็ว ๆ นี่ ตอนเย็นนี่ อุตส่าห์พยายามมาวัดนั้นวัดนี้ทางภาคอีสาน ภาคอีสานมันเป็นบ้าหรือ จมูกมันยิ่งกว่าหวูดโรงสีแล้วเหรอเวลานี้ พอเขายกยอเข้าเท่านั้นมันเป็นบ้าลืมเนื้อลืมตัวไปหมดแล้วเหรอภาคอีสาน
ท่านอาจารย์มั่นท่านไม่ได้ลืมตัวนี่นะ ลูกศิษย์ท่านอาจารย์มั่นทำไมจึงเป็นอย่างนั้น มันจะเป็นบ้ากันไปหมดแล้วจะว่าไง ท่านไม่ได้สอนให้เป็นบ้านะท่านอาจารย์มั่น นี้ก็เคยอยู่กับท่านมาเต็มสติกำลังความสามารถที่ได้ศึกษากับท่าน ไม่เห็นมีจุดใดแง่ใดแม้นิดหนึ่งที่จะสอนให้พระเป็นบ้านะ แต่นี้มันมาเป็นบ้า มาทะนงตนว่าเป็นลูกศิษย์ท่านอาจารย์มั่น เห็นเขานับถือบ้าง โห เป็นบ้าอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวแล้วนะเวลานี้ ภาคอีสานนี่ละจะว่าไง
เราสงสารพวกญาติพวกโยมที่เขามาด้วยความบริสุทธิ์ใจ เห็นว่าชุ่มว่าเย็นก็มา ไม่ว่าใครแหละ ไม่ว่าเขาว่าเราเห็นว่าชุ่มว่าเย็นที่ไหนว่าดีที่ไหนก็อยากไป อยากกราบไหว้อยากบูชาเป็นขวัญตาขวัญใจ อยากทำบุญให้ทาน มีอะไรไม่เสียดาย เพราะท่านเหล่านี้เป็นลูกศิษย์ตถาคตพุทธบริษัทเสียดายอะไร อยากได้แต่บุญเท่านั้นละ ทีนี้อย่าให้เขาเสียน้ำใจซี อย่าให้เขาเสียอกเสียใจซี เขามาให้เขาได้ตักตรงไหนก็ให้มีแต่น้ำสะอาดซี ลงบึงใดบ่อใดวัดใดพระเณรองค์ใด ให้มีแต่น้ำสะอาด ๆ ให้อาบดื่มใช้สอยเต็มหัวใจกลับไปบ้าน รื่นเริงบันเทิงนั้นบ้างซี
นี่ไปที่ตรงไหนมีแต่ขี้หมูราขี้หมาแห้งเต็มไปหมด ทั้งบึงทั้งบ่อทั้งที่ตรงไหน ไม่ว่าพระว่าเณร องค์ไหนมีแต่บึงแต่บ่อที่เต็มไปด้วยขี้หมูราขี้หมาแห้ง เป็นยังไงพิจารณาซิ ไม่อายโลกเขาบ้างเหรอเรา ว่าลูกศิษย์หลวงปู่มั่น ๆ นี้อายนะนี่ โห น่าทุเรศ เราอดคิดไม่ได้เรื่องเหล่านี้น่ะ ความลืมตัวนั่นเอง
เรื่องหลวงปู่มั่นยกให้ ผู้ท่านปฏิบัติดียกให้ ผู้ที่เป็นแบบดินเหนียวติดหัวแล้วว่าตัวมีหงอนน่ะซี เวลานี้มันมากมันลืมเนื้อลืมตัว เราจึงไม่ได้ยกยอไปหมด สิ่งที่น่าติเห็นอยู่นี่ได้ยินอยู่นี่ จะไม่ให้ติได้ยังไง หูมีตามีที่เคยใช้มาตั้งแต่วันเกิดจนกระทั่งถึงบัดนี้มันปลอมที่ตรงไหน หูนี้ได้ยินว่าเป็นยังไง ภาษาเดียวกันทำไมจะไม่รู้เรื่องกัน ตาเห็นอยู่นี่ทำไมจะไม่รู้ผิดรู้ถูก มันน่าติก็ต้องติ มันน่าชมก็ต้องชมซิ เดี๋ยวนี้กรรมฐานของเราทางภาคอีสานนี่มันจะขายขี้หน้าพ่อแม่ครูบาอาจารย์ละนะ เอาครูบาอาจารย์ไปขายกินแล้วนะ ทุเรศจะตายไปนี่
ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติซิ กิเลสเป็นคุณต่อใครเมื่อไร พระพุทธเจ้าองค์ใดก็ตามตรัสมาอย่างนั้น พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนี้ท่านสอนที่ตรงไหนว่ากิเลสมีคุณต่อเราน่ะ มันเหยียบย่ำทำลายหมด อย่างที่พูดอยู่เวลานี้ก็คือพูดเรื่องกิเลสนั่นเอง มันลืมเนื้อลืมตัว เป็นอะไรถ้าไม่ใช่กิเลส ถ้าเป็นธรรมแล้วไม่ลืม รู้เนื้อรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา ใครเคารพนับถือก็พลอยยินดีไปกับเขา แต่เราไม่ลืมตัวของเรา นั่นจึงเป็นอรรถเป็นธรรม ผู้ปฏิบัติพากันจำให้ดีนะ
เราเบื่อแล้วนะเวลานี้ เอือมระอาแล้วกับหมู่กับเพื่อน สอนมาเท่าไร เกือบ ๔๐ ปีแล้ว ตั้งแต่พ่อแม่ครูอาจารย์มั่นมรณภาพไป เกาะพึ่บตั้งแต่บัดนั้นเลยจนกระทั่งบัดนี้ จำเป็นก็ต้องได้แนะนำสั่งสอนอยู่อย่างนี้จะว่าไง แล้วผลที่ได้สั่งสอนมานั้นเป็นยังไงบ้าง มันเห็นแต่ความเหลว ๆ ไหล ๆ เห็นแต่ผลลบ เหลว ๆ ไหล ๆ ไปตลอดเวลาจะไม่ให้พูดได้ยังไง ยังดีนะที่อยู่กับหมู่กับเพื่อนนี่ ยังพูดกันอยู่เดี๋ยวนี้ หนีไปไหนมันก็หนีไปได้นี่ คนไม่ตายทำไมไปไม่ได้วะ เมื่อสุดวิสัยแล้วก็จะสอนอะไรกันนักหนา
เอาละพอ