ศาสนาเจริญหรือเสื่อมให้ดูที่ใจตน
วันที่ 2 เมษายน 2531 เวลา 19:00 น. ความยาว 52.19 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :

เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๓๑

ศาสนาเจริญหรือเสื่อมให้ดูที่ใจตน

พระของพระพุทธเจ้าในครั้งพุทธกาล เป็นพระที่ทรงศีลทรงธรรม ทรงสมาธิ ทรงปัญญา ทรงวิมุตติธรรมเต็มหัวใจ อยู่ที่ไหนมีแต่ความเยือกเย็นเป็นสุขภายในตัวเอง เคลื่อนไหวไปมาในสถานที่ใดเป็นประโยชน์แก่โลกโดยลำดับลำดา จนกว้างขวางไม่มีสิ้นสุด ทั้งมนุษย์และเทวดาได้รับความร่มเย็นเป็นสุขจากธรรมของท่าน ที่มีเต็มอยู่ภายในจิตใจ สำหรับพระพุทธเจ้านั้นไม่ต้องพูด ท้องฟ้ามหาสมุทรยังสู้อรรถสู้ธรรมที่บรรจุในพระทัยไม่ได้ เพราะที่ในพระทัยของพระองค์นั้นไม่มีขอบเขต ส่วนสมมุติทั้งหลายยังมี พระองค์ท่านเสด็จและพร้อมทั้งสาวกไปในสถานที่ใด ปรากฏแต่ความร่มเย็นเป็นสุขแก่ประชาชนทั้งหลายทั้งใกล้ทั้งไกล

ท่านฟังอรรถฟังธรรมฟังเพื่อความจริง ฟังเพื่อเหตุเพื่อผลและประพฤติปฏิบัติตามโดยแท้จริง เพราะฉะนั้นท่านจึงเป็นพระที่ทรงมรรคทรงผลสมบูรณ์ภายในตัวเองไปสถานที่ใด มนุษย์มนาเทวดาทั้งหลายกราบไหว้บูชาเป็นขวัญตาขวัญใจ ระลึกไว้ไม่ลืมจนถึงปัจจุบันนี้ คือ พุทฺธํ ธมฺมํ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ นี่ออกจากความถึงใจของพุทธบริษัททั้งหลาย ที่ได้เห็นได้ยินได้ฟังจากพระพุทธเจ้าและพระสาวกท่านแสดง แม้อากัปกิริยาที่แสดงออกทุกแง่ทุกมุมก็เป็นคติเครื่องยึดเหนี่ยวไว้ได้ เพื่อการประพฤติปฏิบัติให้เป็นมงคลแก่ตน

เรียกว่าศาสนาเจริญที่สุดก็เจริญในครั้งพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ เพราะผู้ทรงอรรถทรงธรรมล้วนแล้วแต่เป็นธรรม ส่วนมากมักจะเป็นอริยธรรมจนถึงธรรมขั้นสูงสุด นั่นเรียกว่าธรรมเจริญ เจริญในใจของผู้ปฏิบัติธรรม ไม่ใช่เจริญในแบบแผนตำรับตำรา ท่องบ่นสังวัธยายได้มาแล้วก็ว่าเป็นธรรมเจริญในใจ นั่นเจริญด้วยความจดความจำต่างหาก ซึ่งต่างกันกับความจริงที่ปรากฏขึ้นภายในจิตใจจากการปฏิบัติของตน

พระสาวกทั้งหลายท่านปฏิบัติด้วยความเอาจริงเอาจัง จึงได้รู้จริงเห็นจริงภายในจิตใจ แล้วทรงไว้ซึ่งธรรมเหล่านั้น ครั้นนานมาก็ร่วงโรยไปๆ จนกระทั่งเข้ามาปัจจุบันทุกวันนี้ จะหาผู้ทรงศีลทรงธรรม ทรงสมาธิทรงปัญญา ทรงวิมุตติหลุดพ้นด้วยการปฏิบัติอย่างเอาจริงเอาจังดังครั้งพุทธกาลนั้น ถ้าว่าร้อยหนึ่งได้รายหนึ่งก็นับว่าดี นี่ร้อยทั้งร้อยมักจะเสียไปเสียทั้งร้อยนั่นซิ มันจึงหาผู้ทรงมรรคทรงผลไม่ได้ และความที่ว่างเปล่าจากมรรคจากผลอันเป็นสิริมงคลแก่โลก และแก่ตัวของเราเองนี้ เป็นของดีแล้วเหรอ สำหรับผู้ปฏิบัติเพื่ออรรถเพื่อธรรมแล้ว มันควรจะน่าใจหายภายในใจของเรา

การปฏิบัติวันหนึ่งๆ ความเคลื่อนไหวไปมาของเรา ที่ได้สัมผัสสัมพันธ์กับสิ่งภายนอก ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจของเรานี้ เป็นไปเพื่อความเจริญรุ่งเรือง เป็นไปเพื่อความถอดความถอน หรือเป็นไปเพื่อความสั่งสมยาพิษให้เผาลนจิตใจ วันหนึ่ง ๆ เราได้ทดสอบจิตใจของเรามากน้อยเพียงไร ผู้ที่ต้องการจะทรงมรรคทรงผลต้องเป็นผู้เข้มงวดกวดขันในความเคลื่อนไหวของตน นับแต่กิริยาของจิตที่คิดปรุงออกมา จนกระทั่งถึงการแสดงออกทางกายวาจา ที่สัมผัสสัมพันธ์กับสิ่งใด มีความได้ความเสียเกี่ยวเนื่องกันอยู่ตลอดเวลา เราได้กำจัดด้วยความพากเพียรมีสติปัญญาเป็นสำคัญอย่างไรหรือไม่ ถ้าเราจะเป็นผู้ทรงมรรคทรงผล เราต้องวินิจฉัยใคร่ครวญความเคลื่อนไหวไปมาของเรา ซึ่งเป็นตัวเหตุสำคัญทั้งสองอย่างนี้โดยไม่ลดละ

เหตุสำคัญทั้งสองอย่างก็คือทางเสียหนึ่ง ตาเห็นรูปเป็นอย่างไร รูปอะไรก็ตามรวมแล้วอยู่ในวิสัยของตาที่จะเห็น เห็นแล้วความรู้สึกเป็นอย่างไร อะไรแสดงออกมาก่อน เมื่อได้ยินเสียงเข้ามาสัมผัสทางหูของเรา ความเคลื่อนไหวของจิตเป็นอย่างไร เป็นไปในทางได้หรือทางเสีย อะไรแสดงออกมาก่อน ส่วนมากก็ต้องเป็นเรื่องของกิเลส ซึ่งเป็นตัวชำนิชำนาญคล่องตัวที่สุดนั้นแลเป็นผู้แสดงออกมา จากการเห็นการได้ยินเป็นต้น แล้วก็นำอารมณ์ทั้งหลายที่สัมผัสสัมพันธ์กับอายตนะของเรานี้เข้าไปเผาลนภายในจิตใจ

ใจจึงได้เดือดร้อนวุ่นวาย หาทางออกไม่ได้ หาทางแก้ไม่ตก จึงมีแต่ความทุกข์ความลำบากโดยทั่วกัน เฉพาะอย่างยิ่งคือนักบวชและนักปฏิบัติของเรา ซึ่งควรจะได้เห็นเหตุเห็นผลกัน ในการสัมผัสสัมพันธ์ระหว่างอายตนะภายในกับภายนอกเกี่ยวข้องกัน แต่เมื่อไม่ได้เหตุได้ผลที่พอจะเป็นอรรถเป็นธรรมแล้ว ธรรมที่ไหนจะมาตกค้างหรือจะปรากฏขึ้นที่ใจได้ นอกจากกิเลสมันทำหน้าที่ของมันบนหัวใจเรามาตลอดเวลา แล้วเพิ่มพูนรายได้ของตนขึ้นจากการทำงานของมัน เพราะอาศัยสิ่งสัมผัสสัมพันธ์นั้นเข้ามาครุ่นคิดภายในจิตใจนี้เท่านั้น เพราะฉะนั้นจิตใจแต่ละดวงๆ ของเราเอง วันหนึ่งๆ จึงไม่เคยจืดจางจากความเดือดร้อนวุ่นวายหาความสงบเย็นใจไม่ได้ ก็เพราะสิ่งที่แก้กันมีน้อยมากหรือไม่มี นี่ละท่านนักปฏิบัติทั้งหลาย ให้สนใจในจุดนี้มากที่สุด

เราอย่าเห็นว่าโลกกว้างแสนกว้าง แล้วสนุกคิดสนุกปรุง นำมายุ่งเหยิงวุ่นวายภายในจิตใจ ตัวที่แคบที่สุดก็คือใจของเรานี้แล ไม่แคบจะเดือดร้อนอย่างไร ไม่แคบจะเป็นทุกข์อย่างไร จะได้รับความทรมานอย่างไร ไม่แคบจะหมุนวกไปเวียนมา อยู่ในของเก่านี้กี่หมื่นกี่แสนกี่ล้านครั้งได้อย่างไร สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เคยรู้เคยเห็น เคยสัมผัสสัมพันธ์มามากมายก่ายกอง แต่เราก็ไม่เคยคิดว่าเป็นสิ่งที่เคยสัมผัสและให้ผลเป็นทุกข์มาแล้ว ซึ่งควรจะเข็ดหลาบ

ทุกวันนี้ครูบาอาจารย์ที่เป็นแบบเป็นฉบับ ซึ่งเป็นที่ตายใจ เป็นที่อบอุ่น เราทั้งหลายก็ได้ทราบทั่วถึงกันแล้วว่าเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าเป็นแม่น้ำก็แทบจะหาเกาะหาดอนไม่ได้ จะไม่มีเกาะมีดอน กลายเป็นมหาสมุทรทะเลหลวงไปเสียมากต่อมากแล้วเวลานี้ ศาสนธรรมของพระพุทธเจ้าในตำรับตำราที่แสดงไว้ ไม่มีส่วนใดบกพร่อง ยังสมบูรณ์บริบูรณ์อยู่ ดังที่เราทั้งหลายได้รู้ได้เห็นอยู่นั้นแล แต่สิ่งที่บกพร่องก็คือความสนใจ ที่จะประพฤติปฏิบัติตามหลักศาสนธรรมนั้น นับวันเสื่อมลงๆ เมื่อฝ่ายหนึ่งเสื่อมลงๆ ฝ่ายหนึ่งย่อมมีกำลังมากขึ้น แล้วผลิตตัวขึ้นมาเพิ่มกำลังขึ้นมาเรื่อยๆ จนถึงกับหาขณะเวล่ำเวลาที่ธรรมจะขยับตัวออกไม่ได้เลย มีแต่โลกล้วนๆ ภายในความสัมผัสสัมพันธ์และภายในจิตใจของเราโดยลำพัง ก็เป็นอยู่อย่างนั้น

ถ้าหากว่าเราจะมองดูจิตของเราในขณะใด เป็นขณะที่กำลังชำระกิเลส เป็นขณะที่มีสติ เป็นขณะที่กำลังฟัดเหวี่ยงกันอยู่กับสิ่งที่เป็นข้าศึก และเป็นขณะที่เรากำลังละได้หรือละได้แล้วๆ เป็นลำดับนี้ ไม่ค่อยเห็นมี มีแต่เป็นขณะที่กิเลสเหยียบย่ำทำลายภายในจิตใจอยู่ตลอดเวลา นี้แลศาสนาเสื่อม ถ้ายังไม่เคยเห็นก็ให้เห็น ให้รู้ในการปฏิบัติของเรานี้ แล้วเราจะเห็นศาสนาเจริญขึ้นในจุดเดียวกันกับที่ว่าศาสนาเสื่อมนี้ไปโดยลำดับไม่สงสัย

เพราะจิตใจของเราทุกดวง ต้องเป็นภาชนะบรรจุสิ่งสกปรกโสมมเต็มไปหมดด้วยกัน แม้แต่พระสาวกท่านก็มีเช่นเดียวกับพวกเราอันคำว่าสิ่งสกปรกโสมมนี้ แต่ท่านก็ใช้ความสังเกตสอดรู้ที่เรียกว่าความเพียร เพียรดู เพียรสังเกต เพียรละ เพียรถอน เพียรระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา นี้แลจึงทำให้ท่านเห็นช่องเห็นทาง เห็นสิ่งที่ดีที่ชั่ว จากการสังเกตสอดรู้ และมีทางที่จะแก้ไขดัดแปลงตนเองไปโดยลำดับ ที่เห็นว่าบกพร่องๆ ตรงไหน แก้กันไปด้วยความพากเพียร จนถึงกับเห็นความเจริญขึ้นภายในจิตใจของตน คือเจริญด้วยความสงบเย็นใจจากความเพียร เจริญขึ้นด้วยสมาธิความแน่นหนามั่นคงของใจ เจริญขึ้นด้วยปัญญาเป็นเครื่องสังหารกิเลสเป็นลำดับลำดา เจริญขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งโล่งไปหมดภายในจิตใจ เพราะกิเลสบรรลัยไปไม่มีเหลือ จากความพากเพียรตั้งแต่ขั้นต้น ถึงขั้นวิมุตติหลุดพ้นที่เรียกว่าความเพียรกล้าที่สุด เกินกว่ากิเลสที่จะยับยั้งตัวได้ภายในจิตใจ พังทลายลงไปหมดไม่มีเหลือ นั่นเรียกว่าศาสนาเจริญ เจริญที่หัวใจของผู้ที่เคยทรงหรือเป็นเจ้าของจิตดวงที่เคยเป็นคลังกิเลสตัวสกปรกโสมมอยู่นั้นแล ไม่เจริญที่ไหน

พวกเราทั้งหลายไม่ดำเนินตามทางของพระพุทธเจ้าดังที่กล่าวมาแล้วนี้ มีแต่ความหวังเฉยๆ ความหวังนั้นจิตดวงใดก็หวังได้ด้วยกันนั่นแหละ แต่ผลที่จะให้สำเร็จตามความหวังนั้น ต้องเกิดจากเหตุคือการบำเพ็ญถูกต้องดีงามตามหลักศาสนธรรมที่ทรงสอนไว้โดยถูกต้องแล้วนั้น จึงจะเป็นไปเพื่อความสมหวังได้ หากไม่มีเหตุเป็นเครื่องหนุนในทางที่ถูกที่ดีแล้ว ความสมหวังนั้นจะเป็นโมฆะทั้งวันทั้งคืนยืนเดินนั่งนอน ตลอดกัปตลอดกัลป์ก็หาความสมหวังไม่ได้ เพราะไม่เกิดขึ้นจากความหวังเอาเฉยๆ แต่ต้องเกิดขึ้นจากเหตุคือการบำเพ็ญตามจุดมุ่งหมายของตน เพื่อความสมหวังนั้น ถึงจะเป็นไปได้ นี่ละคำว่าศาสนาเจริญ

ใครเจริญก็ตาม ใครเสื่อมก็ตาม อย่าไปคิดให้มากมาย นอกจากจะคิดมาเป็นคติเครื่องเตือนใจของตนเท่านั้น ไม่คิดเป็นเครื่องกังวลวุ่นวายแบบที่โลกๆ เขาคิดกันเขาตำหนิติฉินนินทากัน ถึงกับนำมาพูดเป็นขี้ปากกันเหล่านี้ นั่นเป็นเรื่องของโลกไม่ใช่เรื่องของธรรม อย่านำมาคิดมาเป็นอารมณ์ให้เสียเวล่ำเวลาและเสียคุณธรรมของตนที่ควรจะได้ไปต่างหาก เราอย่านำมาคิด ถ้าคิดก็ให้คิดเป็นคติเครื่องเตือนใจแล้วสรุปลงในการตำหนิติชมตัวเองเป็นสิ่งสำคัญมาก

เพราะจิตนี้วันหนึ่งๆ มันน่าตำหนิอยู่ทุกอิริยาบถและแทบจะพูดได้ว่าทุกขณะจิต ถ้ามีสติปัญญาเครื่องสอดส่องมองดูโทษของมันแล้ว เราจะเห็นโทษของมันที่แสดงตัวออกมาโดยลำดับลำดาไม่เคยหยุดยั้งเลย เว้นแต่เวลาหลับสนิทเท่านั้น มันจะทำงานของมัน ที่เป็นสิ่งที่น่าติเตียน เป็นสิ่งที่น่าตำหนิ เป็นสิ่งที่ไม่น่าให้อภัยเลย จะเป็นนักโทษทั้งดวงของจิตนั่นแล เพราะสิ่งที่เป็นโทษหมุนอยู่ภายในจิตใจ ให้แสดงโทษออกมาอยู่ตลอดเวลา นี่ให้ดูตรงนี้

เมื่อดูแล้วเราจะแก้ไขอย่างไร มันคิดวุ่นกับเรื่องอะไร ความวุ่นนั้นเกิดประโยชน์อะไร เมื่อไม่เกิดประโยชน์แล้ว ก็หักจิตจากความคิดเช่นนั้นเข้ามาสู่ความคิดที่เป็นสิริมงคล ดังที่ท่านสอนว่าผู้ที่ภาวนาเบื้องต้น ให้นำคำบริกรรมเข้าไปเป็นเครื่องกำกับจิต ให้จิตได้ทำงานกับงานอันนี้ซึ่งเป็นงานเพื่อความสงบ แม้จะเป็นความคิดความปรุงก็ตาม แต่ความคิดความปรุงของธรรมกับความคิดความปรุงของกิเลสนั้นต่างกัน ผลจึงเป็นความสงบสุขเย็นใจ ในขณะที่นำคำบริกรรมคำใดก็ตามเข้ามาประกอบกับใจ หรือเข้ามาทำงานอยู่ภายในจิตใจของตน แล้วเราจะเห็นที่ชมของเราในขณะหรือเวลาหนึ่งจนได้ ว่าน่าชมที่ตรงไหน แต่ก่อนน่าตำหนิ น่าตำหนิที่ตรงไหน ก็น่าตำหนิที่ใจของเราซึ่งเป็นตัวก่อเรื่องก่อราวหมุนอยู่ตลอดเวลา มีแต่ฟืนแต่ไฟแสดงเปลวขึ้นมาภายในจิตใจนี้นั้นแล

เมื่อมีสติเราย่อมจะทราบ แล้วมีงานที่จะเป็นการลบล้างงานของกิเลสนั้นเสียด้วยงานแห่งธรรม คือการบริกรรมภาวนาด้วยความเอาจริงเอาจัง มีสติสตังประกอบหรือประคับประคองความรู้ของตนให้ทำงานด้วยความราบรื่น โดยสม่ำเสมอในอิริยาบถต่างๆ นั่นแลความสงบเย็นใจจะปรากฏขึ้นจากงานประเภทนี้ เมื่อความสงบเย็นใจปรากฏขึ้นแล้ว เราจะได้เห็นจุดที่น่าชมว่าจิตนี้สงบจริง เราไม่เคยเห็นก็ได้เห็นแล้ว ความสงบกับความเย็นสบาย ความเบาที่สุดภายในจิตใจนี้จะปรากฏขึ้นที่ใจดวงนั้น นี่เรียกว่าเราดูด้วยการติ แล้วก็ได้เห็นการชมของเรา จากการแก้ไขดัดแปลงตนเอง แล้วจิตของเราก็จะเจริญขึ้นไปเรื่อยๆ

เราอย่าไปดูใครต่อใคร อย่าไปกำหนดเวล่ำเวลาครั้งนั้นครั้งนี้ สมัยนั้นสมัยนี้ให้เสียเวล่ำเวลาไม่เกิดประโยชน์อะไร เพราะเวลานั้นก็คือมืดกับแจ้ง ซึ่งเคยเป็นมาแล้วกี่กัปกี่กัลป์นับไม่ได้เลย นั่นคือเวลา สถานที่นั่นที่นี่ก็เหมือนกัน มันก็มีอยู่ตามสภาพของมัน ไม่เป็นสิ่งที่จะยังกิเลสให้เกิดขึ้น ไม่เป็นสิ่งที่จะยังธรรมให้เกิดขึ้นได้ หลุดพ้นจากทุกข์ไปได้เพราะกาลเวลาและสถานที่นั้นๆ ถ้าเราไม่ไปคิดให้เป็นกังวลถึงกับเกิดกิเลสขึ้นมา และไม่ไปคิดให้เป็นคติเครื่องเตือนใจให้เป็นอรรถเป็นธรรมขึ้นมา

เช่น พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ในครั้งนั้น ท่านตรัสรู้ด้วยเหตุผลกลไกอะไร และพระสาวกทั้งหลายท่านบรรลุธรรมถึงขั้นอรหัตอรหันต์ในครั้งนั้น ท่านบรรลุด้วยเหตุผลกลไกอะไร นี่เรียกว่าเป็นคติเครื่องเตือนใจ แม้จะนำสถานที่กาลเวลาและบุคคลที่ผ่านไปแล้ว เช่น บุคคลในอดีต นำมาเป็นอารมณ์ ก็เป็นอารมณ์ในวงปัจจุบัน แล้วปรับตัวให้ถูกต้องตามที่ท่านสอนหรือท่านดำเนินไปนั้น เราก็จะได้เห็นผลประจักษ์ภายในจิตใจของเราเป็นลำดับ อย่างนี้ควรคิด อย่างนี้ควรนำเข้ามาเป็นคติได้ ถึงจะเป็นอดีตอนาคตอะไรก็ตาม ถ้ามีธรรมเข้าไปแทรกอยู่แล้วก็เป็นธรรมมาด้วยกัน

แต่ส่วนมากไม่ค่อยมีธรรมและไม่มีธรรม มีแต่กิเลสทำงานล้วนๆ ครั้งนั้นท่านปฏิบัติธรรมได้บรรลุ มาครั้งนี้มรรคผลนิพพานสิ้นแล้ว หมดเขตหมดสมัยแล้ว จะปฏิบัติสักเท่าไรก็ไม่เป็นเหตุเป็นผล ไม่สิ้นจากกิเลสไปได้เหมือนครั้งพุทธกาล นี่ความคิดเช่นนี้เราก็แน่ใจของเราโดยไม่มีสติคิดบ้างเลย ว่ามันผิดหรือถูก แล้วเราก็ให้กิเลสกล่อมจนถึงกับขั้นตายใจ ทอดอาลัยตายอยากในการประกอบความเพียร และตะเกียกตะกายตนเพื่อให้หลุดพ้นจากกิเลสโดยชอบนั้นเสีย เพราะความแน่ใจที่กิเลสฝังลงอย่างลึกๆ นั้นว่า จะทำอย่างไรก็ไม่มีทางบรรลุได้ ทำอย่างไรก็ไม่มีทางสิ้นจากกิเลสอาสวะได้เหมือนครั้งพุทธกาล เพราะมรรคผลนิพพานหมดเขตหมดสมัยแล้ว นี่คือกิเลสตัวสำคัญที่กล่อมเราให้สนิทติดจม จนกระทั่งหาเวลาฟื้นไม่ได้ ถึงวันตายก็ไม่ฟื้น และกัปใดกัลป์ใดก็ไม่ฟื้น ถ้าความคิดประเภทนี้ยังฝังใจอยู่ ไม่ยอมถอนตัวเองออกมา เพราะเราไม่ถอดถอนมัน

เราถอดถอนมันถอดถอนอย่างไร ธรรมของพระพุทธเจ้าเคยถอดถอนกิเลสทุกประเภทมาแล้ว มากมายขนาดไหนถึงได้ตรัสรู้ธรรม บรรลุธรรม พระสงฆ์สาวกท่านได้นำธรรมะประเภทใดบ้างมาถอดถอนกิเลสจนไม่มีเชื้อเหลืออยู่เลย ท่านถึงได้เป็นพระอรหันต์ เรานำธรรมะที่พระพุทธเจ้าเคยปราบปรามกิเลสให้สิ้นซาก และสาวกปราบปรามกิเลสให้สิ้นซากไปจากใจแล้ว เข้ามาปราบปรามกิเลสซึ่งมีอยู่ภายในจิตใจของเรา ที่หาเวล่ำเวลาหากาลหาสมัยที่จะสิ้นสุดไปไม่ได้นี้ ให้สิ้นสุดวิมุตติหลุดพ้นจากมันภายในจิตใจนี้ ทำไมเราจะทำไม่ได้ เพราะธรรมเป็นเครื่องสอนคนให้มีความเฉลียวฉลาดอยู่แล้ว

ธรรมของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ธรรมประเภทกิเลสกล่อมนี่นะ กิเลสเป็นกิเลสธรรมเป็นธรรม ปราบกิเลสให้อยู่ในเงื้อมมือโดยไม่ต้องสงสัยแต่กาลไหนๆ มาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ และยังจะปราบกิเลสให้ราบคาบไม่มีเหลือภายในจิตใจนี้ได้ตลอดไปถ้านำมาปราบ นอกจากจะหมอบ มอบตัวเองคือจิตดวงนี้ให้กิเลสปราบเสียเอง ทั้งๆ ที่มรรคผลนิพพานมีอยู่ ธรรมของพระพุทธเจ้าเครื่องปราบมีอยู่ ไม่ยอมนำมาปราบ มอบให้ความที่ว่ามรรคผลนิพพานสิ้นเขตสิ้นสมัยนี้เข้ามาปราบหัวใจเรา จึงหาความเพียรหาความตะเกียกตะกายไม่ได้ ถ้าเป็นไม้ก็เป็นไม้ซุง ซุงทั้งท่อนทำประโยชน์อะไรได้เมื่อไร จิตเมื่อทำตัวให้เป็นซุง ให้กิเลสขี้รดเยี่ยวรดแล้วก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรเช่นเดียวกัน เรียกว่าเป็นขอนขี้ของกิเลส เกิดประโยชน์อะไร นี่ละให้พากันพินิจพิจารณาให้มาก

เรื่องของสมัยนั้นสมัยนี้นั้นเป็นเวล่ำเวลาอันหนึ่งต่างหาก กิเลสที่อยู่ในหัวใจเรานี้ อกาลิโก หากาลหาเวลาไม่ได้ มันเกิดได้ทุกเวลา ทำลายเราได้ทุกเวลา ทรมานเราให้ได้ความทุกข์ความลำบาก จนกระทั่งถึงขั้นสาหัสได้ทุกเวลา ก็ธรรมเล่า ธรรมก็เป็น อกาลิโก เช่นเดียว เมื่อนำเข้ามาปราบกิเลสปราบได้ทุกเวลาทุกอิริยาบถ ทำไมจะปราบไม่ได้ มันขี้เกียจ เราก็เอาความขยันเข้าต่อสู้กัน มันรักๆ เพราะอะไร เพราะความรักก็เป็นกิเลส ความชังก็เป็นกิเลส ความโกรธก็เป็นกิเลส ราคะตัณหาทุกสิ่งทุกอย่างเป็นกิเลส อุบายวิธีการที่จะปราบกิเลสประเภทเหล่านี้ พระพุทธเจ้าสอนไว้แล้วโดยสมบูรณ์และได้ผลเป็นที่พอพระทัยมาแล้ว ตลอดถึงสาวกท่าน ทำไมถ้าเรานำธรรมเหล่านั้นเข้ามาปราบกิเลส ประเภทที่ฝังจมอยู่ภายในจิตใจของเราดังที่กล่าวมาแล้วนี้ ทำไมจะไม่พังลงไปได้

ราคะมันหลงอะไร มันถึงได้กำหนัดยินดี ก็พูดแล้วเรื่องเหล่านี้ มีอยู่ในตำรับตำราโดยสมบูรณ์ มันหลงอะไร หลงหนัง ถ้าพูดถึงเรื่องหลงคนก็หลงหนัง แน่ะ หนังนั้นเป็นอย่างไร วิเศษวิโสอะไรบ้าง หนังหญิงกับหนังชายต่างกันอย่างไร ดูซิเนื้อของหญิงของชาย อวัยวะของหญิงของชาย ภายนอกภายในมีอันใดต่างกันเป็นพิเศษพอที่จะให้หลง ถ้าไม่ใช่ยอมรับกิเลสร้อยเปอร์เซ็นต์ ให้มันลากมันถูไปสดๆ ร้อนๆ ด้วยความโง่ที่สุดของเรานี้เท่านั้น ถ้านำธรรมะนี้เข้ามาพินิจพิจารณาตามที่ท่านสอนไว้ย่อๆ ว่า เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นี้ กิเลสตัวไหนจะทนอยู่ได้ ตัวไหนที่จะหน้าด้านที่สุด ที่หนังหนาที่สุด จะฟันไม่เข้าแทงไม่เข้า อาวุธของพระพุทธเจ้าอะไรจะคมยิ่งกว่าล่ะ เอามาพิจารณาซิ พิจารณาลงไปให้เห็นชัดเจนตามหลักธรรม

ส่วนมากมีแต่กิเลสมันฝืน มันลากออกนอกลู่นอกทางความจริงทั้งหลายเสีย แล้วเสกสรรปั้นยอสิ่งที่ไม่มีนั้นเข้ามาหลอกเรา เราก็โง่ๆ แสนโง่อีกด้วยแล้ว ก็ยิ่งเชื่อมันตลอดเวลา หาวันจืดจางหาวันอิ่มพอไม่ได้เลย เช่น ความรัก จิตมันเคยรักมากี่ปีกี่เดือนกี่วันแล้ว มันรักอะไร สิ่งที่รักนั้นมันเคยรักมากี่ครั้งกี่หน ความรักนี้เคยรักมากี่ครั้งกี่หน ทำไมจึงไม่พิจารณาโทษของมัน สิ่งที่ไปรักนั้นมันอะไร นั่นซิ ถ้าใช้อรรถให้ธรรมเข้าไปพิจารณา เทียบเคียงให้เห็นเหตุเห็นผลทุกแง่ทุกมุม แม้แต่อวัยวะของเราเท่านี้ก็พอ เพื่อความแน่นหนามั่นคงเป็นสักขีพยานซึ่งกันและกัน เอ้า ร่างกายไหน นั่นเอาเข้ามาเทียบ ร่างกายหญิงร่างกายชาย ร่างกายของเราร่างกายของเขา เอามาตรวจตราดูซิว่ามีอะไรพิเศษต่างกันพอจะให้เกิดความรัก ความรักนี้ใช้ได้แล้วเพราะรักพิเศษจากสิ่งทั้งหลาย สิ่งที่เรารักนี้ไม่เหมือนสิ่งทั้งหลาย ให้มันเห็นซิ

แต่นี้มันเหมือนกันหมดทุกสิ่งทุกอย่างในอวัยวะนี้ นี่ละคือยาแก้ราคะตัณหา ตัวนี้เป็นตัวสำคัญมาก โลกเดือดร้อนวุ่นวายอยู่เวลานี้ เพราะความส่งเสริมสิ่งเหล่านี้ว่าเป็นของมีคุณค่าและมีค่านิยมสูงส่งที่สุดเลย ในสถานที่ใดก็ไม่พ้นที่จะนำสิ่งเหล่านี้เข้าไปวางตลาดเต็มไปหมด ทั้งบ้านนอกในเมือง ทั้งคนโง่คนฉลาด ทั้งคนมีคนจน ไม่ว่าคนประเภทใดมีแต่สิ่งเหล่านี้เหยียบหัวไปหมดและภูมิใจกับมันโดยไม่รู้สึกตัว

ส่วนกองฟืนกองไฟที่ก่อเผาซึ่งกันและกันนั้น เต็มโลกเต็มสงสาร ไม่ได้คำนึงเลยว่ามันมาจากอะไร ก็มาจากความรักความเพลิดเพลิน จนกระทั่งถึงลืมเนื้อลืมตัวว่าสิ่งเหล่านี้จะพาเหาะเหินเดินฟ้าขึ้นสู่สวรรค์นิพพาน ให้หลุดพ้นจากทุกข์ได้สดๆ ร้อนๆ นั่นแล มันถึงได้ตื่นกันมนุษย์เรา นี่พูดกันทั่วๆ ไปหมด ไม่ว่าฝ่ายฆราวาสไม่ว่าฝ่ายพระ ตื่นกันทั้งนั้น ถ้าลงกิเลสตัวนี้ได้ฝังจมเข้าไปที่ตรงไหนไม่ตื่นไม่มี นอกจากเป็นผู้มีธรรม ที่จะนำธรรมเข้าแทรกเข้าแซง เข้าคัดเข้าค้าน เข้ากีดเข้าขวาง เข้าฟาดฟันกันเท่านั้น สิ่งเหล่านี้ถึงจะปรากฏระงับดับตัวลงไปได้ นี่ละเราพิจารณาดูซิ

สิ่งเหล่านี้เคยมีมากับโลกนานเท่าไร และเคยเผาผลาญโลกให้ฉิบหายวายปวงไปเป็นยุคๆ มากน้อยหนักเบามานานเท่าไรแล้ว ถ้าไม่เสริมมันก็มีของมันแต่ไม่รุนแรง ถ้าลงได้เสริมแล้วจะไม่มีที่ยับยั้งเลย เหมือนกับไฟได้เชื้อ ไสเข้าไปเชื้อ ไสเข้าไปมากเท่าไรก็ยิ่งแสดงเปลวขึ้นจรดเมฆโน่น จะให้ไฟดับลงเพราะเชื้อ จะให้ความร้อนดับลงเพราะเชื้อที่เสริมมันนั้นไม่มีทาง นี่ก็เหมือนกัน กิริยาอาการของพวกเราทั้งหลาย ที่แสดงอาการเสริมราคะตัณหานี้ เสริมเท่าไรมันก็เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นโลกถึงได้ร้อน ร้อนเพราะอะไร ร้อนเพราะเสริมไฟ

ถ้าต่างคนต่างมี ก็ทราบว่าต่างคนต่างมี ต่างคนต่างระมัดระวัง นำธรรมเข้าไปกีดกันรักษาให้อยู่ในระดับพอดีที่ละมันไม่ได้ โลกก็พออยู่พอเป็นพอไป มีฝั่งมีฝา มีสูงมีต่ำ มี หิริโอตตัปปะ ความละอาย เพราะมนุษย์เรานี้สูงกว่าสัตว์ ย่อมรู้ทั้งบาปทั้งบุญ สถานที่ควรไม่ควร สูงต่ำดำขาว รู้กันทั้งนั้นไม่เหมือนสัตว์ หากนำขอบเขต-ขอบเขตนี้ก็ไม่พ้นจากธรรมะไปได้ ซึ่งล้วนแต่ธรรมะทั้งนั้นเป็นขอบเขต อย่างอื่นมาเป็นขอบเขตของสิ่งเหล่านี้ไม่ได้

หากเรานำธรรมะมาเป็นขอบเขตเหตุผล สกัดลัดกั้นสิ่งเหล่านี้ให้อยู่พอประมาณแล้ว โลกนี้ก็เย็น ถึงมีกิเลสอยู่ก็เย็น ไม่ใช่จะร้อนเสียโดยถ่ายเดียว ดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า กามคุณ แปลว่าอะไร คุณของกามหรือว่ากามเป็นคุณ แปลออกเป็นอย่างนั้น แล้วทำยังไงมันถึงเป็นคุณ เราก็ปฏิบัติรักษาด้วยอรรถด้วยธรรม คือมีธรรมเป็นเครื่องกำกับ มีธรรมเป็นเบรกห้ามล้อ มีธรรมเป็นเครื่องพาดำเนิน เป็นพวงมาลัยหมุนไปตามอรรถตามธรรม แม้กิเลสมีก็ไม่ให้นอกเหนือจากขอบเขตจากทางแห่งสายธรรมทั้งหลาย ถ้าใครๆ พยายามปฏิบัติตามนั้นแล้ว แม้จะมีกิเลสกามราคะอยู่ภายในจิตใจก็เป็น กามคุณ ต่างคนต่างร่มเย็น

สามีภรรยาอยู่ด้วยกันก็ไม่เดือดร้อน ไว้วางใจกันได้ จะซื่อสัตย์สุจริตต่อกัน นี่คือเป็นผู้มีขอบเขต เป็นผู้มีอรรถมีธรรม กาเมสุ มิจฉาจาร ไม่ล่วงล้ำเขตแดนของกันและกัน นี้แลคือรั้วกั้นกิเลสกามเหล่านี้หรือกามคุณเหล่านี้ ไม่ให้มันออกนอกลู่นอกทางอันจะไปก่อความเดือดร้อนให้เลยขอบเขตนี้ไป ให้อยู่ในขอบเขตนี้ก็มีความสุข ลูกเต้าหลานเหลนต่างคนต่างเอาศีลเอาธรรมเข้าแนะนำสั่งสอนอบรมกัน ให้มีขอบเขตเหตุผล ให้ต่างคนต่างรักษา อย่าเป็นต่างคนต่างทำลาย จะเป็นต่างคนต่างฉิบหายไปตามๆ กันโลกนี้จะไม่มีใครดี จะมีแต่ฟืนแต่ไฟทั้งนั้น แล้วก็ไม่สมเหตุสมผล เฉพาะอย่างยิ่งที่ว่าเราเป็นชาวพุทธ มันชาวพุทธอะไรกัน ถ้าไม่มีธรรมเข้าไปกีดกันหวงห้ามหรือกั้นเป็นเขตเป็นแดน สิ่งที่เป็นฟืนเป็นไฟ ไม่ให้มันเผาไหม้จนเกินเหตุเกินผลนี้แล้ว เราจะเรียกว่าชาวพุทธที่ตรงไหน พิจารณาซิ นี่ละเรื่องธรรมมีความจำเป็นอย่างนี้ตลอดไป

ถ้าไม่มีธรรมแล้วเอาเถอะ โลกก็ต้องเป็นไฟไปได้ ธรรมคือพวกพระพวกเณรวัดวาอาวาสที่ว่าเป็นผู้ปฏิบัติธรรมๆ นี้ แต่ไม่ได้ปฏิบัติตามที่ว่านั้นก็เป็นไฟไปได้เช่นเดียวกัน เพราะกิเลสไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น กิเลสมีแต่ท่าจะทำลายโดยถ่ายเดียว ถ้าไม่มีธรรมเป็นน้ำดับไฟแล้ว จะต้องหมุนไปอย่างนี้ตลอดกัปตลอดกัลป์ เพียงแต่ดอกไฟกระเด็นมาถูกเรานี้เจ็บไหม หนามยอกเท้านิดหนึ่งเท่านั้นเจ็บไหม กระเทือนไปหมดทั้งร่าง ก็นี่ให้กิเลสมันผันทั้งดวงใจ เผาทั้งหัวใจหมดทุกดวงๆ ไปแล้วเป็นอย่างไรบ้าง มันก็เหมือนสัตว์ที่โยนลงในหม้อน้ำร้อนนั่นซิ มีความหมายอะไร เต็มไปหมดในหม้อน้ำร้อน แต่ไม่มีสัตว์ตัวใดที่จะสามารถตะเกียกตะกายให้หลุดพ้นจากหม้อน้ำร้อนนั้นไปได้ นอกจากกลายเป็นอาหารของใครก็ตามไปเสียเท่านั้น ไม่เห็นเกิดประโยชน์อะไร

นี่ใจของเราก็เหมือนกัน ถ้าไม่ตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติตัว เฉพาะอย่างยิ่งนักบวชนักปฏิบัติเรานี้สำคัญมากนะ หน้าที่การงานอะไรก็ไม่มี เขาให้ขบฉันทุกอย่าง ไม่มีใครที่จะเหลือเฟือยิ่งกว่าพระ ถ้าตั้งใจประพฤติปฏิบัติตัวดี ปัจจัยทั้งสี่มีเครื่องรับรองหมด ไม่ต้องได้ตะเกียกตะกายให้ลำบากลำบน ที่อยู่ที่อาศัยเขาก็ทำให้ เครื่องนุ่งห่มใช้สอยเขาหามาให้ๆ อาหารก็หามาให้ฉันไม่อดไม่อยาก ยาแก้โรคแก้ภัยเต็มไปหมด เราจะหาความสะดวกอะไรยิ่งกว่านี้ ใครจะสะดวกยิ่งกว่าพระ ถ้าเราไม่นอนใจเสียเอง นอนหลับทับสิทธิ์ของตัวเองเสียเท่านั้น มันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร

เรามาประพฤติปฏิบัติกันเรามาอย่างไร พิจารณาให้ดีนะท่านทั้งหลาย กิเลสมันมีอยู่ในหัวใจของทุกคนนั่นแหละ ถ้าเราไม่แก้ไม่ถอดไม่ถอนแล้วถึงวันตายก็เท่านั้น กี่กัปกี่กัลป์ก็ต้องเป็นอยู่อย่างนั้นแล อย่าเข้าใจว่าจะหมดจะสิ้นไปได้ ธรรมะก็มีอยู่อย่างที่กล่าวมาเมื่อสักครู่นี้เอง ก็เหมือนศาสตราอาวุธมีอยู่แหละ วางกองพะเนินเทินทึกเท่าภูเขานี้ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรถ้าไม่หยิบมาใช้ เครื่องไม้เครื่องมืออะไรก็ตามถ้าไม่หยิบมาใช้ก็ไม่เกิดประโยชน์ แม้ที่สุดอาหารหวานคาวที่เราเคยรับประทานอยู่ทุกวัน ฉันอยู่ทุกวันนี้ เอาทิ้งไว้เฉยๆ ไม่ต้องมาฉันมันจะเป็นยังไง ไม่ต้องมารับประทานมันจะสำเร็จประโยชน์ไหม หาความสำเร็จประโยชน์ไม่ได้ ตายทิ้งเปล่าๆ สำหรับบุคคลประเภทนั้น

นี่ก็เหมือนกัน ธรรมะมีอยู่ๆ จะนำมาแก้กิเลสถอดถอนกิเลสไม่ยอมนำมา ปล่อยให้แต่กิเลสเหยียบย่ำทำลายหัวพระหัวเณร คือหัวใจพระหัวใจเณรนั้นแล้วเป็นประโยชน์อะไร วันหนึ่งคืนหนึ่งมันได้ผลอะไร นี่ซิน่าคิดน่าทุเรศมากนะ เรายิ่งเสื่อมลงไปทุกวันๆ พระเราก็เหมือนโยม โยมเหมือนพระ วัดเหมือนบ้าน บ้านเหมือนวัดไปแล้วเวลานี้

เอ้า ถ้าว่าเราอุตริหาเรื่องหาราว ตาเรามี หูเรามีทุกคน เป็นยังไงดูซิ ดูพระดูเณร เราได้ประพฤติปฏิบัติบวชมาแท้ๆ เป็นพระแล้ว ศึกษาในอรรถในธรรมแบบฉบับของท่านมีที่ถูกต้องเป็นยังไง ไม่ถูกต้องเป็นยังไง เห็นอยู่ด้วยกันทุกคน มันขัดมันขวางต่อศีลต่อธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าอย่างไรบ้างก็เห็นกันอยู่ เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วทำไมเราจะไม่รู้ว่าการประพฤติเหล่านี้เป็นข้าศึกต่ออรรถต่อธรรมต่อศาสนา ต่อพระต่อเณร ต่อเพศของตนมากน้อยเพียงไร ต่างคนต่างสังหารทำลายเพศของตนด้วยกิเลสตัณหาอาสวะ ซึ่งเป็นเหมือนฆราวาสเขานั่น ไม่มีการหักห้ามต้านทานกันบ้างเลย มันเป็นยังไง ไม่ละอายใจเราบ้างเหรอ

นักบวชเราเป็นยังไง ให้คนอื่นเขามาอายได้เหรอ เจ้าของต้องละอายซิ หิริโอตตัปปะ อยู่กับใคร ถ้ามีในเราก็ดี ถ้าไม่มีในเราก็เลวที่สุดเหลวที่สุด สะดุ้งกลัวต่อบาปนั่นฟังซิ แต่นี้มันไม่สะดุ้งกลัว มีแต่กล้าหาญชาญชัย อยากรู้อยากเห็นแต่สิ่งที่เป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ทั้งเป็นอยู่ตลอดเวลานั้น จึงเป็นที่ชอบใจของนักบวชเรา แล้วเป็นยังไงมรรคผลนิพพานไม่สนใจ พิจารณาซิ พระเณรเราเป็นยังไง มันน่าสลดสังเวชไหม

ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วน่าสลดสังเวชที่สุดเลย ไม่มีใครที่จะเลวยิ่งกว่าพระกว่าเณรเรา เพราะโลกให้ความกราบไหว้บูชา โลกให้ความไว้วางใจ โลกถือว่าเป็นความอบอุ่น แต่กลายเป็นฟืนเป็นไฟ เผาทั้งตัวเผาทั้งโลก ตาเห็นก็เผาตา หูได้ยินอาการแสดงออกของพระของเณรก็เผาไปทั้งหู เผาไปทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นฟืนเป็นไฟแก่บ้านแก่เมืองแก่โลกแก่สงสาร อย่าว่าแก่เราเลย มันหมดเกาะหมดดอนนี้ที่จะให้เผาให้ไหม้แล้ว แล้วเป็นยังไงเราคิดไหม

สิ่งที่วิเศษวิโส ผู้พาประพฤติปฏิบัติมีอยู่ พระพุทธเจ้าก็ทรงแสดงไว้แล้ว และเป็นผู้ทรงมรรคทรงผลที่วิเศษเลิศเลอนี้มาแล้วไม่มีใครเกินพระพุทธเจ้า พระสาวกอรหัตอรหันต์ พุทฺธํ ธมฺมํ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ได้กล่าวกันจนกระทั่งถึงใจแล้วเป็นยังไง ไม่มองเห็นบ้างเหรอสิ่งเหล่านี้ จะมองเห็นแต่มูตรแต่คูถเต็มอยู่ในส้วมในถานนั่นเหรอ วันหนึ่งๆ จมอยู่ในส้วมในถาน คืออะไร ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง คืออะไรถ้าไม่ใช่ขี้ พิจารณาซิ มันอยู่ที่ไหน มันอยู่ในหัวใจ เมื่อเป็นอย่างนั้นหัวใจไม่เป็นถานให้สิ่งเหล่านี้อยู่ มันจะอยู่ได้ยังไง

มันเป็นยังไง มีไหมในหัวใจเราเวลานี้ สั่งสมกันไหมขี้ประเภทเหล่านี้น่ะ แล้วมันวิเศษวิโสอะไรกับขี้อันนี้ ถ้าวิเศษวิโสแล้วใครมีขี้ประเภทนี้ทุกคน เลิศไปด้วยกันทั้งนั้นแหละ นี่เป็นของที่สกปรกโสมมที่สุด ปราชญ์ทั้งหลายเกลียดที่สุดเลย แต่เราทำไมจึงไปเป็นคู่แข่งของปราชญ์ท่าน โดยถือว่าเป็นของดิบของดี มันไม่เก่งเลยครูไปเสียตั้งเลย ๕ ทวีปไปแล้วเหรอ พิจารณาซิ น่าคิดน่าอ่านอยู่มาก

นักบวชเราไม่คิดใครจะคิด นักบวชไม่พินิจพิจารณาใครจะพิจารณา นักบวชเราไม่มีความเพียรใครจะมีความเพียร นักบวชเราไม่อดไม่ทนใครจะอดจะทน นักบวชเราไม่ฝืนสิ่งที่เป็นภัยใครจะฝืน พิจารณาซิ ธรรมะเหล่านี้เป็นธรรมะที่ฝืนสิ่งที่ชั่วช้าลามก ไม่ให้มาติดเนื้อติดกายติดใจเราต่างหาก ทำไมเราจึงชอบเอานักหนากับสิ่งเหล่านั้น เอามาคลุกเคล้าตัวคลุกเคล้าใจบีบบังคับใจอยู่ตลอดเวลา มองดูใจมีแต่ขี้เต็มตัว มองดูอากัปกิริยามีแต่ขี้ แสดงออกมาจากความขี้โลภขี้โกรธขี้หลง เต็มไปหมดในร่างในกายของเรานี้ สกปรกขนาดไหน

ขี้ธรรมดาเราเดินผ่านไป เราผ่านไปได้นะ ไม่ได้สกปรกอะไรนักหนา โลกไม่ได้นินทากันเหมือนขี้โลภขี้โกรธขี้หลงที่มันพอกหัวพระหัวเณร กิริยามารยาทอาการทุกสิ่งทุกอย่างที่แสดงออกเต็มไปด้วยขี้นี้เลย นี่ไม่ว่าโลกไม่ว่าใคร คนที่มีหูมีตาที่เป็นมนุษย์แล้วรู้กันทุกคน แล้วทำไมเราก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ยิ่งเป็นพระด้วยแล้วทำไมจึงไม่รู้เรื่องความสกปรกของตัวเอง ที่มันแสดงอยู่ตลอดเวลาภายในจิตใจ ไม่แสดงออกนอกมันก็แสดงอยู่ภายใน เอาให้เห็นชัดๆ นั่นซินักปฏิบัติ ถ้าไม่เห็นอันนี้ชัดแล้วจะแก้มันไม่ได้ ถ้าแก้อันนี้ไม่ได้หาความสุขไม่ได้นะจะว่าไม่บอก

ไปที่ไหนก็ไปเถอะ มีแต่เกิดกับตายๆ ภพน้อยภพใหญ่สูงๆ ต่ำๆ อยู่อย่างที่เคยเป็นมานี่แล ไม่มีอะไรที่จะเลิศเลอกว่านี้ ถ้าไม่ถอดถอนสิ่งที่เป็นฟืนเป็นไฟเผาหัวใจนี้ออกให้หมดสิ้นโดยไม่ต้องสงสัยแล้ว ไม่มีทางที่จะหาความสุขได้เลย ถ้าสิ่งเหล่านี้ออกจากหัวใจแล้วอยู่ไหนอยู่เถอะว่างั้นเลย เลิศไม่ต้องไปพูดกัน ไม่ต้องเสกสรร ความเสกสรรนั้นเป็นสิ่งที่เกิดได้ดับได้ เป็นสิ่งได้มาแล้วเสียไปได้ ท่านจึงเรียกว่าโลกธรรม ๘ ธรรมชาติที่เป็นอยู่ภายในหัวใจเป็นสมบัติของตนล้วนๆ แล้ว ไม่ต้องมาเสกมาสรร พอตัวอยู่ตลอดเวลา นี่ขอให้ทุกท่านนำไปประพฤติปฏิบัติ

มาศึกษาอบรมก็มากต่อมากนี้ผมก็ทนจะว่ายังไง ตั้ง ๕๐-๖๐ เข้าไปโดยลำดับลำดา ควรขยับขยายก็ให้ขยับขยายกัน มาศึกษาอบรมพอสมควรแล้ว อย่าให้หนักจนเกินเหตุเกินผล การประพฤติปฏิบัติตัวอย่ามายั้วเยี้ยๆ ในแถวศาลานี้เป็นอันขาดนะ นี่เคยพูดเคยสอนมาหลายครั้งหลายหน อย่าคุ้นอย่าชินกับใครนอกจากอรรถจากธรรม คือสติปัญญาที่ประคองตัวอยู่ด้วยความปลอดภัยนี้เท่านั้น ไม่มีสิ่งใดเป็นเครื่องปลอดภัยถ้าปราศจากสติกับปัญญานี้แล้ว ให้นำไปคิดนักปฏิบัติ

การบิณฑบาตให้มีมารยาทอันสวยงาม อย่ารีบอย่าด่วน อย่าลุกลี้ลุกลน นั้นไม่ใช่เรื่องของพระ ข้อวัตรปฏิบัติคือการบิณฑบาต ท่านว่าบิณฑบาตเป็นวัตรคืออะไร มีกิริยามารยาทงามหูงามตางามใจ ด้วยความสำรวมระวังตัวเอง อย่ามาด่วนอย่ามาลุกลี้ลุกลน ซึ่งหาเหตุหาผลไม่ได้ ไม่ถูกต้องตามหลักธรรม เราก็ไปของเราพระก็ไปของพระ ไปที่ไหนให้มีความสวยงาม สวยงามภายในธรรมภายในใจของเรานั่นแล ไม่ใช่สวยงามที่ไหน เมื่องามตรงนี้แล้ว หากงามออกไปข้างนอก ถ้าสกปรกรกรุงรังตรงนี้แล้ว ก็จะสกปรกระบาดสาดกระจายไปหมด ใครดูไม่ได้ ฟังไม่ได้ คนสกปรกไปที่ไหนเป็นอย่างนั้น

เอาละเท่านี้พอ เหนื่อยแล้ว

พูดท้ายเทศน์

พูดถึงเรื่องพระเณรเรานี้ ทุกวันนี้น่าสลดสังเวชละนะ โห ทุเรศจริงๆ ไม่ว่าท่านว่าเรานี้ คือไม่ได้ตำหนิใครนะ มันเป็นไปหมดทุกแห่งทุกหนไม่ว่าท่านว่าเราว่าใครๆ มันลงแบบเดียวกันหมด โห อำนาจของกิเลสนี้แหมรุนแรงเอามากนะ และยิ่งเสริมด้วยซ้ำไปแล้วยิ่งไปใหญ่เลย เลยไม่ทราบว่าจะเอาใครเป็นแบบเป็นฉบับ เพราะที่ไหนเหมือนกัน ฆราวาสเหมือนกัน พระเหมือนกัน มีแต่ดิ้นตายแบบเดียวกันหมดไม่มีเบรกเลยนี้จะว่าไง

ผมน่ะวิตกวิจารณ์เรื่องไฟฟ้าเข้าวัด แต่ยังไงมันจะไม่ผิดนะ เพราะมันไม่เคยผิดว่าอะไรไว้ ถึงจะว่าล่วงหน้าก็ตาม มันเป็นที่แน่ใจแล้วถึงว่านี่ เราไม่มีญาณอะไรเราก็เอาเหตุผลออกมาว่ากัน การพินิจพิจารณาตามเหตุผลว่ากัน เรื่องไฟฟ้าเข้าในวัดนี่ วัดกรรมฐานเรามันสมบัติอะไร มันจำเป็นอะไรกับไฟฟ้าไฟแถนอะไรนี่ เข้าไปแล้วนั่นละเทวทัตมันเข้าละที่นี่ เทวทัตวิดีโอ เข้าไปเต็มพระเต็มเณรหมด นั่นละหมดจริงๆ วัดนี้หมด ถ้าลงอันนี้ได้เข้าแล้วหมดว่างั้นเลย ไม่มีอะไรเป็นชิ้นต่อแล้ว หมดว่าได้อย่างนี้เท่านั้นเอง

พระเณรจะเอาความสนใจอะไรมาจากไหน ถ้าลงอันนี้ได้เข้าตรงไหนแล้ว ไม่รู้หรือว่าไฟบรรลัยกัลป์ นี่ถ้าลงได้เข้าแล้วหมดไม่มีเหลือละนะ อันนี้เราวิตกวิจารเอามาก ถึงว่าให้หมู่ให้เพื่อนเสมอ ในยุคนี้ไม่เป็น แต่ผู้ที่รออยู่มันมีอยู่เวลานี้ จังหวะมันมี ถ้าลงมีอันนี้แล้วมีซากพูดง่ายๆ นะ ควายตายหรือวัวตายอยู่ตรงนี้ต่อหน้าต่อตานี้แล้ว อีแร้งอีกามันจะไม่เห็นยังไงซาก แล้วมันจะมาจับเกาะอยู่ตามนั้น คอยดูอยู่นี่ คอยดูจังหวะ ตัวไหนจะลงก่อนลงหลัง พอตัวหนึ่งลงพับนี่มันจะพรึบหมด ซากนี้ไม่มีเหลือเลย นั่นฟังซิ นี่ละอีแร้งอีกามันลงกินซากเป็นอย่างนั้นนะ

เวลานี้ก็เหมือนกัน ซากมันคืออะไร คือ เทวทัต วิดีโอ อีแร้งอีกาคือใคร คือพระคือเณรเรา เดี๋ยวนี้ยังมีหิริหรือว่าคอยจังหวะใครจะมีก่อนมีหลัง ส่วนจะเกรงใจครูบาอาจารย์นี้ผมว่ามันจะไม่เกรงเสียแล้วนะ มันเลยด้านไปแล้ว มันไปอยู่ด้านด้านไหนก็ไม่ทราบ มันด้านต่อด้าน ด้านมหาด้าน นี่พอวัดหนึ่งมีเท่านั้นมันจะพรึบหมดเลย ส่วนพระเณรถ้าลงอันนี้ได้เข้าตรงไหนแล้ว หมดๆ ว่างั้นเลย เราอยากพูดอย่างนี้ไม่อยากพูดอย่างอื่น

สิ่งนี้มันทำความเจริญให้ที่ไหน ท่านสอนไว้แล้วให้หลีกให้เว้น ก็มีอยู่ในอรรถในธรรม มันหากว้านหามาเผาหัวมันอะไร พิจารณาซิ ถ้าว่าเราหาเรื่องอุตริใส่หมู่ใส่เพื่อนน่ะ เราพูดนี้เพื่อความเสียหายแก่หมู่เพื่อน หรือเพื่อความดิบความดีในอรรถในธรรมแก่หมู่เพื่อน เอาไปพิจารณาซิ สิ่งเหล่านี้พระพุทธเจ้าพาให้มีเหรอ สาวกทั้งหลายพาให้มีเหรอ ครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นอรรถเป็นธรรมท่านพาให้มีเหรอ ในอรรถในธรรมก็ประกาศลั่นมาแล้วตั้งแต่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ทีแรกนั่น เพียงแต่ นจฺจ คีต เท่านี้ มันก็พอแล้วใช่ไหมล่ะ ฟังซิ นั่นมันอะไรนั่นน่ะ มันเลยอันนี้ไปเสียหมดทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว โฮ้ น่าทุเรศนะจะทำไง

จึงได้อดวิตกไม่ได้ว่า โห ศาสนาเสื่อม อ๋อ เสื่อมอย่างนี้เองๆ ดูไปเสื่อมไปอย่างนี้เอง ตำรับตำรามีในตู้ไหนคัมภีร์ใดเต็มไปหมด แต่มันไม่ดูมันไม่สนใจ มันดูแต่สิ่งนี้ สิ่งที่จะเผาหัวมันนี่ มันดูอันนี้เท่านั้น มันก็ได้แต่อันนี้ซิ ดูอันนี้มันก็ได้อันนี้ซี ดูอะไรสนใจอะไรมันก็ได้นั่นซี มันจะไปได้สิ่งที่ไม่ได้สนใจอะไร สนใจฟืนไฟมันก็ได้แต่ฟืนแต่ไฟ ว่าศาสนาเสื่อมๆ มันเสื่อมที่ตรงไหน ดูซิ กิริยาอาการมันแสดงอยู่กับหูกับตาของเรากับใจของเราตลอดเวลา นี่เราพูดเรื่องพระเรื่องเณรเรา สำหรับฆราวาสก็ไม่ต้องว่าละ เรื่องของเขาไม่มีขอบเขตเหตุผลอะไรแหละ เด็กเล็กเด็กน้อยก็ฉิบหายไปหมดเวลานี้ดูเอาซิ ว่าปัญญาชนๆ มันชนดะไปน่ะซี มันปัญญาชนเพื่อเป็นคติดีงามแก่บ้านเมืองได้ยังไง แก่ตัวของเจ้าของก็ไม่มี จะพอเป็นที่ยึดที่เกาะกันได้ยังไง ให้สมกับว่าปัญญาชน ตัวเป็นเสียเองนี้ทำไง แหลกหมด

นี่อดวิตกไม่ได้นะ มันวิตกอยู่ตลอด มันก็ไม่ผิดจะว่าไง ที่ว่าเหล่านี้จะผิดไปไหนคอยดู บางวัดก็อาจจะมีแล้วเวลานี้กรรมฐานเรา นี่เราพูดเฉพาะวงของสายพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นเรานะ บางวัดนี้อาจมีอยู่แล้ว หลบๆ ซ่อนๆ นี่น่ะมันน่าทุเรศนะ มันด้านเข้าทุกวันๆ ออกจากนั้นก็เอากิเลสเข้าไปเหยียบธรรมเข้าไปอีก ให้หนักเข้าไปอีก อย่างที่กล่าวตะกี้นี้ว่ามรรคผลนิพพานไม่มี หมดเขตหมดสมัยแล้ว มันก็มีแต่เทวทัตกินหัวมันอยู่ทุกวันนี้เท่านั้น สิ่งที่มันมีคืออะไร ก็คือไฟเผาหัวใจนั่นเอง เพราะหาอันนี้นี่ หาอะไรมันก็เจออันนั้นซี หาอรรถหาธรรมไม่เจอธรรมยังไง ธรรมมีอยู่นี่ ธรรมได้สูญไปจากโลกเมื่อไรที่ไหน กิเลสเป็นฉันใด ธรรมก็เป็นฉันนั้น หาอะไรก็เจอซิ

เราอดคิดไม่ได้ว่าหมดอย่างนี้เองศาสนาหมด เสื่อมๆ อย่างนี้เอง วันหนึ่งคืนหนึ่งไม่ไปไหนมีแต่เรื่องฟืนเรื่องไฟ ถึงเวลาจะทำความพากความเพียร ถึงเวลาจะไหว้พระสวดมนต์ ถ้าลงมีรายการจะเปิดเวลาไหนๆ แล้วเสร็จ พระเณรไม่มีเหลือเลย ไปกองอยู่นั้นหมดเลย นั่นฟังซิ มันอุจาดบาดตาไหม มันเลวขนาดไหนพระเณรเรา


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก