สิ่งที่เหยียบย่ำทำลาย
วันที่ 13 มีนาคม 2530 เวลา 19:00 น. ความยาว 37.3 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :

เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๓ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๓๐

สิ่งที่เหยียบย่ำทำลาย

นี่ก็ไม่ได้ประชุมเทศน์มาเสียนาน จะร่วม ๒ เดือนแล้วมัง เกี่ยวกับความไม่สะดวกสบายในธาตุในขันธ์ของเราเอง ได้กังวลวุ่นวายตั้งแต่เรื่องธาตุเรื่องขันธ์ของตัวเอง ขาดการอบรมไปเสียเป็นเวลานาน เวลานี้ถ้าเราจะพูดตามหลักธรรมชาติที่สัมผัสสัมพันธ์กับอายตนะของเราของท่านหรือของใครก็ตาม รู้สึกว่าสิ่งที่จะทำให้เลวลงนั้นมีมากกว่าที่จะทำให้สงบร่มเย็นและเจริญทางด้านอรรถด้านธรรม เพราะสิ่งยั่วยวนนั้นแต่ก่อนเราไม่เคยเห็น ทุกวันนี้มีมากมาย เกิดขึ้นจากความนิยมชมชอบของคนนั่นแหละ เฉพาะอย่างยิ่งก็พวกชาวพุทธเราชอบกันนักกันหนาในสิ่งที่เคยมีอยู่แล้ว แต่ไม่ได้ฟื้นขึ้นมาให้เป็นฟืนเป็นไฟมันก็ไม่เป็น เช่นอย่างไม้ขีดไฟที่อยู่ในกล่อง มันก็เป็นห่อไม้ขีดไฟอยู่ธรรมดา แต่นำออกมาใช้แล้วมันก็เป็นไฟได้

สิ่งที่มีอยู่ทั้งหลายในโลกนี้ ถ้าไม่นำออกมาใช้นำออกมาทำลาย มันก็เป็นสิ่งที่มีอยู่ธรรมดา เช่นเดียวกับไม้ขีดไฟที่อยู่ในกล่องนั่นแหละ บทเวลาอำนาจของฝ่ายต่ำมีมากมันก็ผลักดันออกมา ให้คิดให้ขวนขวาย จนถึงกับได้นำออกมาใช้ให้เป็นฟืนเป็นไฟ เผาโลกเผาธรรมไปตาม ๆ กันในบุคคลแต่ละคน ๆ ซึ่งมีได้ทั้งโลกทั้งธรรมถ้าเสาะแสวงหาให้มี แต่นี้มักจะเสาะแสวงหาในสิ่งที่เป็นเครื่องทำลายเสียมากกว่าที่จะเป็นความเจริญ

การศึกษาเล่าเรียนนั้นเรียนกัน พอตกคลอดออกมาไม่กี่วันก็ส่งเข้าโรงร่ำโรงเรียนแล้ว เพื่อให้รู้ให้ฉลาด ถ้าหากเป็นไปตามเจตนาของผู้ต้องการให้ลูกเต้าหลานเหลนของตนมีความรู้ความฉลาด เพื่อความสุขความเจริญแล้ว ไม่ว่าประเทศไหนเมืองใด มันน่าจะมีความเจริญรุ่งเรืองและสงบสุขร่มเย็นไปตามความมุ่งหมายมากต่อมากแล้ว ไม่มีบ้านเมืองใดที่จะบกพร่อง

แต่นี้สิ่งที่บกพร่องและเป็นสิ่งที่ไม่พึงปรารถนามาแต่ไหนแต่ไรด้วย ก็คือความทุกข์ สาเหตุที่ให้เกิดความทุกข์ก็คือความบกพร่อง ความบกพร่องนั้นก็เกิดมาจากความไม่ฉลาด เลยไม่สมที่ว่าอยากให้ลูกเต้าหลานเหลนของตนและตนเองมีความรู้ความฉลาด ไปที่ไหนจึงมีแต่ความทุกข์ความทรมานเต็มไปทั่วโลกดินแดน ไม่ทราบว่าการศึกษาเพื่อความรู้ความฉลาดให้เจริญรุ่งเรืองไปไหนกันหมด นั่นพิจารณาซิ อันนี้เรามองไม่เห็นกันเลย ข้ามไปข้ามมา ในความรู้สึกว่าข้ามไปข้ามมา แต่ความจริงมันเหยียบย่ำเราตลอดเวลา ไม่ให้ข้ามมัน ข้ามไปข้ามมา มีแต่มันเหยียบย่ำอยู่ตลอดเวลา ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย สัมผัสสัมพันธ์เพื่อเอาความล่มจมฉิบหายอยู่ตลอดอิริยาบถ นี่ที่ว่าศึกษาเล่าเรียนเพื่อความรู้ความฉลาด มันฉลาดที่ตรงไหน นี่ควรนำเอามาคิด

เราเป็นนักบวช นักบวชไม่ใคร่ครวญ นักบวชไม่พินิจพิจารณา นักบวชไม่ศึกษาอบรมเพื่อความรู้ความฉลาดโดยอรรถโดยธรรมแล้ว ไม่มีเพศใดที่จะละเอียดแหลมคมสุขุมมากยิ่งกว่าเพศแห่งนักบวช เฉพาะอย่างยิ่งกรรมฐานของเรานี้เป็นเพศที่พระพุทธเจ้าทรงมาดั้งเดิม ตรัสรู้ก็ตรัสรู้ในกรรมฐาน ฟังซิ อิริยาบถทั้ง ๔ คือพระอิริยาบถของพระพุทธเจ้า ตั้งแต่ทรงปรารถนาและบำเพ็ญเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า ก็ทรงบำเพ็ญด้วยกรรมฐานเท่านั้น

อยู่ก็อยู่แบบกรรมฐาน เสวยแบบกรรมฐาน อิริยาบถทั้ง ๔ แบบกรรมฐานทั้งนั้น จนได้ตรัสรู้ขึ้นมาก็เพราะกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งงานที่ชอบธรรมและเลิศเลอที่สุดของพระพุทธเจ้าก็คืออานาปานสติ นั่นทรงบำเพ็ญมาอย่างนั้น จนกลายเป็นความรู้ความฉลาด สุขุมเกินโลกเกินสงสาร สมควรแห่งความเป็นศาสดาของโลก นี่เพราะความใคร่ครวญ เพราะความพินิจพิจารณา เพราะความสุขุมคัมภีรภาพทุกด้านของพระพุทธเจ้า

เราเป็นลูกศิษย์ของศาสดา น่าจะได้แบบได้ฉบับมาใช้ในจิตใจอิริยาบถของเรา ไม่ควรจะพรวดพราด ๆ ไปตามแบบโลกแบบสงสาร เพราะอำนาจแห่งกิเลสตัณหาซึ่งผลักดันอยู่ภายใน ที่รุนแรงมากยิ่งกว่าธรรมจะแสดงออกได้ ถ้าเพศนี้ไม่พินิจพิจารณาแล้วจะไม่มีเพศใด ถ้าเป็นน้ำก็ไม่มีเกาะมีดอนเลย จะเป็นท้องฟ้ามหาสมุทรไปหมด เพราะอำนาจแห่งกิเลสตัณหาท่วมหัวใจของสัตว์โลก เพราะไม่มีธรรมเป็นเครื่องกำจัด ไม่มีธรรมเป็นเกาะเป็นดอน โลกจึงหาความสุขไม่ได้ ถ้าไม่ใช้ความพินิจพิจารณาโดยธรรม เพื่อความแหวกว่ายออกจากสิ่งที่เหยียบย่ำทำลายอยู่ภายในจิตใจ อันนี้ปราชญ์ท่านตำหนิกันมาทุก ๆ พระองค์

คำว่าปราชญ์นั่นหมายถึงองค์ศาสดาแต่ละพระองค์ ๆ คือจอมปราชญ์ ไม่มีพระพุทธเจ้าพระองค์ใดจะชมว่าสิ่งต่ำทรามและเป็นพิษเป็นภัยทั้งหลายว่า เป็นของดีมีคุณค่า แต่ธรรมชาติอันนี้เคยเป็นข้าศึกรบกันมากับธรรมของศาสดา คือธรรมท่านว่าไม่ดีมันก็บอกว่าดี ธรรมท่านว่าเป็นความเสื่อมความเสียเป็นพิษเป็นภัย มันก็บอกว่าเป็นคุณ นั่นฟังซิ สิ่งที่ขัดแย้งกันอยู่ภายในจิตใจของเราแต่ละคน ๆ นั้นแหละ ถ้าไม่นำธรรมเข้าไปพินิจพิจารณาสังเกตค้นคว้าหาเหตุเหล่านี้หรือธรรมชาติเหล่านี้แล้ว จะไม่พบไม่เห็น แต่จะได้รับความทุกข์ความทรมานเพราะมันอยู่ตลอดเวลา

ฉะนั้นผู้ที่จะพิจารณาให้ถึงเหตุถึงผลถึงรากถึงฐานของมันจริง ๆ ถึงกับการทำลายมันได้ ก็ต้องเป็นเพศแห่งลูกศิษย์ตถาคตคือพระเรานี่แหละ จะเป็นลูกศิษย์ตถาคตได้อย่างแท้จริงถ้าตั้งใจให้เป็น ด้วยการตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติตามแนวทางที่ทรงสั่งสอนไว้แล้ว ซึ่งเราก็ได้สวดทุกวันว่า สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม นี่คือพระธรรมที่ตรัสไว้ชอบแล้ว ๆ มาทั้งสิ้น ตั้งแต่พื้น ๆ แห่งธรรมจนกระทั่งถึงที่สุดจุดหมายปลายทางแห่งธรรมและโลกแยกจากกันได้ เราสวดทุกวันคำที่ว่าตรัสชอบแล้วนี้ ให้นำมาประพฤติปฏิบัติกำจัดสิ่งที่ไม่ชอบซึ่งมีอยู่ภายในจิตใจของเรานี้ เราจะมีความสงบร่มเย็น

ความรู้นั้นแหละอยู่ภายในตัวของเรา ที่เป็นเครื่องรับสิ่งทั้งหลายที่กล่าวมานี้ทั้งโลกทั้งธรรม คือทั้งกิเลสทั้งธรรมอยู่ที่ผู้รู้คือใจ ธรรมก็อยู่ที่ผู้รู้ กิเลสก็อยู่ที่ผู้รู้ สติธรรม ปัญญาธรรม ระลึกขึ้นมาเมื่อไรก็เป็นสติ พินิจพิจารณาให้เป็นธรรมเมื่อไรก็เป็นธรรม ไม่เคยครึเคยล้าสมัย ถ้าเราไม่พาครึพาล้าสมัยเสียเอง ให้กิเลสเหยียบย่ำทำลายตลอดเวลา

อยู่ที่ไหนให้มีสติอยู่กับตัว ความเพียรอย่าเหินห่างจากจิตใจด้วยความมีสติ ด้วยความมีปัญญา นี่คือความเพียรโดยแท้ของนักบวชเราตามองค์ศาสดาที่ทรงสั่งสอนไว้ คือความเพียรด้วยสติด้วยปัญญารักษาใจ นี่ชื่อว่าผู้ไม่ไร้สาระ คิดออกมาเรื่องใดก็ตามถ้ามีสติแล้วจะทราบกันทันที ๆ ว่าเป็นความคิดถูกหรือผิด ยิ่งความคิดด้วยความมีสติด้วยแล้วจะเป็นธรรมล้วน ๆ ไม่เป็นข้าศึกแฝงขึ้นมาเลย นอกจากจะปล่อยให้อำนาจของกิเลสตัณหาเหยียบย่ำทำลายสติปัญญาให้หายหน้าไปหมด ยังเหลือแต่ธรรมชาติอันนี้ทำงานเท่านั้น จึงจะเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นที่หัวใจของเราทุกคน ให้พากันระมัดระวัง

ใจดวงนี้เป็นผู้รับเคราะห์รับกรรมในสิ่งชั่วทั้งหลายที่ตนทำลงไป ด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ เพราะปราศจากเจ้าของที่แยบคายที่ฉลาด ได้แก่สติปัญญาเป็นเจ้าของของผู้รู้ เพราะฉะนั้นจึงต้องสั่งสมธรรมชาติทั้งสองนี้ไว้ในอิริยาบถต่าง ๆ อย่าให้ไร้สาระจากพระเราผู้ตั้งใจชำระสิ่งไม่ดีทั้งหลายภายในใจ เราจะได้เห็นบ้างว่า ศาสดาองค์เอกแต่ละองค์ ๆ ที่สอนธรรมไว้เพื่อความสงบร่มเย็น จนถึงขั้น ปรมํ สุขํ ธรรมก็ประกาศเอาไว้ว่า นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ นี่ก็คือสุดยอดแห่งธรรมนั่นแล สุดยอดแห่งความสุขที่ธรรมพาเดิน ที่ธรรมพาก้าวพาไป ผู้รักใคร่ในธรรมจะเจอธรรมบทนี้ นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี

อะไรล่ะไม่สงบ ดินฟ้าอากาศเขาก็อยู่ตามธรรมชาติของเขา ลม ไฟเขาก็อยู่ตามธรรมชาติของเขา สิ่งทั้งหลายในแดนโลกธาตุนี้อยู่ตามหลักธรรมชาติ มีอยู่ตามหลักธรรมชาติของตน ไม่แสดงอาการผาดโผนโลดเต้นให้เป็นฟืนเป็นไฟเหมือนหัวใจของสัตว์โลกนี้เลย เมื่อหัวใจนี้ได้ถูกช่วยเหลือด้วยวิธีการต่าง ๆ ของเจ้าของคือสติปัญญาแล้ว ธรรมชาติที่เคยรุนแรง ที่เคยเป็นฟืนเป็นไฟผาดโผนอยู่ภายในจิตใจ จะสงบตัวลงไป ๆ จนกระทั่งถึงสงบราบคาบไม่มีสิ่งใดเหลือเลย ตามบทธรรมที่ว่า นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ นั้นจะเด่นชัดขึ้นที่ภายในใจดวงนั้น ๆ ที่มีธรรมที่ว่านี้รักษาปราบปราม

ให้ได้เห็นธรรมบทนี้ ตามทางศาสดาที่ทรงมุ่งหวังอย่างยิ่งต่อสัตว์โลกบ้างพวกเรา นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี คือที่อื่น ๆ ไหนก็ดีที่ความสุขดังที่กล่าวนี้จะเกิดขึ้นไม่มี จะเกิดขึ้นที่ใจดวงนี้ได้เท่านั้น นอกนั้นไม่ปรากฏ เพราะใจดวงนี้เกิดได้ทั้งไฟทั้งน้ำ เกิดได้ทั้งสุขทั้งทุกข์ ทุกข์ที่เป็นอนันตริยทุกข์ก็มีที่ใจ เกิดได้ที่ใจ สุขที่เป็น ปรมํ สุขํ ก็เหมือนกัน ก็เกิดได้ที่ใจของผู้รักษาตัวเองนั้นละ ธรรมที่จะยังใจให้ถึงขั้น นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ พระพุทธเจ้าก็ทรงสอนไว้ทุกบททุกบาทตั้งแต่พื้น ๆ แห่งธรรม ก็เพื่อจะก้าวเข้าสู่ นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ นี้แล ไม่ได้แยกไปที่ไหนเลย

คำว่าเป็นผู้มีศีลก็เหมือนกัน ความทำลายศีลก็คือทำลายตัวเรา ท่านจึงให้รักษาศีลเพื่อรักษาตัวของเรา กายวาจาการแสดงออกไม่ให้เป็นภัยต่อจิตใจตัวเอง สมาธิคือความร่มเย็นของใจ ไม่ดิ้นรนกวัดแกว่งกระวนกระวายเหมือนถูกฟืนถูกไฟเผา ก็คือสมาธิของใจที่สงบด้วยอำนาจแห่งการกำจัดสิ่งที่พาให้ฟุ้งซ่านทั้งหลาย ด้วยบทภาวนาบทใดก็ตาม แน่ะ ท่านก็สอนไว้แล้ว

บทธรรมที่จะทำใจให้เกิดความสงบร่มเย็นท่านเรียกว่าสมถธรรม ใคร ๆ ก็ได้อ่านได้เห็นที่ว่ากรรมฐาน ๔๐ ห้องคืออะไรบ้าง นี่ก็เป็นธรรมเพื่อให้ใจสงบเพื่อดับฟืนดับไฟ ซึ่งจะแจงถึงเรื่องกิเลสประเภทต่าง ๆ ให้เห็นชัดและทำลายกันได้ก็คือปัญญา ท่านก็แสดงไว้แล้วทุกขั้นของปัญญา นี่เป็นเครื่องสังหารกิเลส ส่วนสมาธิเป็นเครื่องต้อนกิเลสเข้ามาสู่จุดรวมเพื่อการทำลายได้ง่าย

สมาธิจึงเป็นความจำเป็น จะต้องไล่ต้อนกิเลสตัวฟุ้งซ่านวุ่นวายตัวคึกตัวคะนอง ให้เข้าสู่จุดที่จนตรอกจนมุม แล้วใช้ปัญญาพินิจพิจารณาคลี่คลายออก ฟาดฟันหั่นแหลกกันลงไปโดยลำดับลำดา ของปัญญาและของกิเลสประเภทต่าง ๆ ที่เหมาะกันกับสติปัญญาที่จะห้ำหั่นกันในวาระนั้น ๆ จนกระทั่งไม่มีอะไรเหลือเลยภายในจิตใจ

ทีนี้เราจะไปหาความสุขที่ไหน มันก็เห็นชัด ๆ อยู่ภายในจิตใจ เพราะปราศจากข้าศึกภายในตัวเองเท่านั้น คำว่าข้าศึกคืออะไรอีกล่ะ จะหนีกิเลสไปได้ยังไง กิเลสไม่ได้อยู่ที่อื่นที่ใด อยู่ที่ใจเท่านั้น ก็กำจัดกันลงด้วยสติปัญญาดังที่กล่าวนี้ และวิมุตติหลุดพ้นก็พ้นจากสิ่งจองจำทั้งหลายนี้เอง ไม่ได้พ้นจากอะไร แน่ะก็มีอยู่ที่นี่ทั้งหมด รวมอยู่ที่ใจดวงเดียวนี้

เวลานี้กิเลสในหัวใจเฉพาะอย่างยิ่งของชาวพุทธเรา มันดื้อด้านหาญกล้าเข้าทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นชื่อว่าไม่เป็นอรรถเป็นธรรม แล้วย่นเข้ามาก็นักบวชเราให้ระวังให้มาก เดี๋ยวนี้มันกลายเป็นความดื้อด้านไปแล้วนะ ถือเป็นเรื่องธรรมดาไปหมด เพราะมันชินมันชาหน้าด้านในสิ่งที่เป็นภัยทั้งหลาย ในสิ่งที่ปราชญ์ทั้งหลายท่านตำหนิติเตียนถึงขนาดอย่างรุนแรง มันก็เห็นว่าเป็นธรรมดาไปหมด เพราะกิเลสพาให้ด้านนั่นละ ให้ระมัดระวังให้มากนะ

ศาสนาที่ว่าสิ้นสุดไปจากโลก ศาสนาไม่มีในสมัยนั้น ล่วงไปเท่านั้นปีเท่านี้ปีศาสนาจะหมด คือหมดจากหัวใจแห่งความเชื่อความเคารพนับถือของสัตว์โลกนั่นแหละ ไม่ใช่คัมภีร์ใบลาน คำว่าบาปว่าบุญได้หายไป นรกหายไป สวรรค์หายไป บาปบุญหายไปจากธรรมชาติแห่งความจริงของตน แต่มันหายไปที่หัวใจของสัตว์โลกที่เชื่อต่อความดีความชั่วทั้งหลาย เพื่อจะได้ละเว้นและสั่งสมให้มีขึ้นภายในจิตใจนี้เท่านั้น มันหมดไปที่หัวใจนี้

คำว่าบุญมันก็ไม่มีความระลึกรู้พอที่จะเสาะแสวงบุญเสีย คำว่าบาปมันก็ไม่ได้ระลึกรู้พอที่จะกลัวบาป หิริโอตตัปปะ ไม่มีภายในใจเสีย และสุดท้ายก็ถูกกิเลสต้อนเข้าสู่โรงฆ่าสัตว์ ๆ สัตว์อะไร คือสัตว์มนุษย์ สัตว์ทุกประเภทถูกกิเลสมันต้อนเข้าไปสู่โรงฆ่าสัตว์ฆ่าสังหารทำลายอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นไปที่ไหนจึงมีแต่ความทุกข์ร้อนบนหัวใจสัตว์โลกเต็มไปหมด เฉพาะอย่างยิ่งมนุษย์เราที่ปากมันเปราะ ๆ นี่แล ไปที่ไหนได้ยินแต่เรื่องบ่นว่าทุกข์ ๆ แต่การสั่งสมทุกข์ขวนขวายทุกข์เพื่อเผาตัวเองนั้น ไม่มีคำว่าถอยแม้รายเดียว จะไม่ปรากฏแล้วทุกวันนี้ เมื่อเป็นเช่นนั้นจะให้ทุกข์ดับไปได้ยังไง เมื่อมีการส่งเสริมกันอยู่ตลอดเวลาเช่นนั้น

นักกรรมฐานเราก็เหมือนกัน อยากพบอยากเห็นความสงบสุขร่มเย็นความสิ้นกิเลส แต่เต็มไปด้วยความขี้เกียจขี้คร้าน อ่อนแอท้อแท้เหลวไหลในการประพฤติปฏิบัติตัว แล้วจะหาความดีมาจากไหน ไอ้กิเลสมันชอบสิ่งที่เราชอบนั้นน่ะ คือกิเลสนั้นละพาให้ชอบไม่ใช่ใครพาให้ชอบ แต่เราไม่รู้กลของมัน เราก็เหมือนสัตว์ตัวหนึ่งซึ่งถูกจูงเข้าไปในโรงฆ่าสัตว์มันก็ไม่รู้ จนเข้าไปถึงที่แล้ว หาที่ไปไม่ได้แล้ว จนตรอกเต็มที่แล้วถึงจะทราบ ก็เป็นวาระสุดท้ายที่จะตายเสีย แน่ะ สุดท้ายก็ตาย ตาย ๆ ด้วยกันหมด สัตว์ตัวใดที่ก้าวเข้าสู่โรงฆ่าสัตว์แล้วไม่เห็นรอดออกมาได้เลย นั่น นี่ก็เหมือนกัน ถ้าลงกิเลสได้ต้อนเข้าไปแล้ว ด้วยอำนาจแห่งความฉลาดของมันก็เป็นเช่นนั้น พอถึงวาระพอจะรู้ตัวก็เป็นวาระที่สายเกินไปเสียแล้ว ๆ ทำยังไง มันดีแล้วเหรอที่ว่าสายเกินไปในสิ่งที่ไม่ควรให้สายนั่นน่ะ

ก็เวลานี้ใจของเราเป็นยังไง สิ่งที่ผลิตกันขึ้นเพื่อความเป็นฟืนเป็นไฟเดี๋ยวนี้ทุกหย่อมหญ้านะ เพราะถูกกิเลสมันกล่อมเอาอย่างสนิท ๆ ถือเป็นธรรมดา ถือเป็นความรื่นเริงบันเทิง ถือเป็นความนับถือเป็นความนิยมกัน ทั้ง ๆ ที่มันเป็นฟืนเป็นไฟ เวลานี้มากจริง ๆ นะ จนเรียกว่าเหลือหูเหลือตาเหลือหัวใจที่จะคิดจะอ่านไตร่ตรองตามมันได้ ถ้าหากมีข้อคิดมีความคิดเพื่อจะหลีกเลี่ยงเพื่อจะแก้ไขอยู่แล้ว ก็เป็นดังที่ว่านี้ คือมากต่อมาก ตาสัมผัสพับก็คือข้าศึก หูสัมผัสพับก็คือข้าศึก สัมผัสสัมพันธ์กับเรื่องอะไร มีแต่ข้าศึกที่มนุษย์นี้เสาะแสวงหามาเผาตัวเองทั้งนั้น ธรรมจึงยากที่จะเกิดขึ้นได้ ได้รับความทุกข์นับวันที่จะทวีคูณขึ้นโดยลำดับลำดา

นี่ละที่ว่าโลกเจริญ ดูเอาซิ ไม่ได้เหมือนธรรมเจริญนะ โลกเจริญด้วยความรุ่มร้อน จะแผดเผามากขึ้นโดยลำดับ ๆ แล้วไม่มีใครเห็นโทษของมันด้วย เพราะความรู้ความฉลาดไม่พอที่จะเห็นโทษของมันได้ จึงต้องได้ถูกมันขับไสเข้าโรงฆ่าสัตว์ โรงแห่งความทุกข์ความทรมานอยู่ตลอดเวลา

ไอ้เรานี้แบกคัมภีร์อยู่แท้ ๆ ที่หัวใจ ทำไมจึงต้องให้กิเลสมันไสเข้าโรงฆ่าสัตว์เหมือนดังโลก ๆ ทั่วไปล่ะ มันไม่โง่กว่าเขามากไปแล้วเหรอ เวลานี้คำว่ากรรมฐาน ๆ จะมีแต่ชื่อแล้วนะ จะไม่มีความจริงแห่งกรรมฐาน แล้วผู้ประกอบงานอันสำคัญ ๆ เดี๋ยวนี้จะไม่มีแล้วนะ ทางจงกรมเป็นยังไงบ้าง นี่ละทางของศาสดาทำงาน สำนักงานของพระศาสดาของพระสาวกอรหัตอรหันต์ท่าน คือทางจงกรม สถานที่ในป่าในเขาลำเนาไพรต่าง ๆ

ดังที่ท่านสอนไว้ย่อ ๆ ว่า รุกฺขมูลเสนาสนํ นี่ละสถานที่ที่ทำงานของจอมปราชญ์ทั้งหลาย เพื่อความหลุดพ้น เพื่อความเลิศเลอ ในป่าในเขาในถ้ำเงื้อมผา ฟังซิ งานของท่านคือ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ตลอดอาการ ๓๒ และทั่ว ๆ ไปที่จะสงเคราะห์เข้ามาในงานเพื่อความหลุดพ้น ด้วยความเพียรที่ประกอบด้วยสติปัญญา ทางจงกรมเป็นสถานที่ทำงานของจอมปราชญ์ คือพระพุทธเจ้าของเรา ของพระสาวกอรหัตอรหันต์ทั้งหลายนั่นละ คือทางจงกรมในป่าในเขาที่สงัดงบเงียบ แน่ะ

อาหารก็บิณฑบาต ปิณฺฑิยาโลปโภชนํ นิสฺสาย ปพฺพชฺชา ได้มาด้วยกำลังปลีแข้งของตน ไม่ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมกับการอยู่การกินการหลับการนอน มีเท่าไรก็กินตามเรื่อง ฉันตามเรื่อง และมีความมักน้อยเป็นพื้นฐานอยู่ภายในจิตใจ ไม่ให้ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมเกิดขึ้นได้ อปฺปิจฺฉตา นี้ปราบอยู่เสมอเลย อปฺปิจฺฉตา แปลว่าความมักน้อย ธรรมสันโดษ คือความยินดี ถ้าลดลงมาก็มาสู่ความยินดีตามมีตามเกิดตามได้ ไม่ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมกับสิ่งทั้งหลายที่จะให้เป็นภัยแก่ตน คือปัจจัย ๔ แน่ะ นี่ละปราชญ์ท่านเดินท่านเดินอย่างนี้

สรณะของพวกเรา พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ ท่านเดินอย่างนั้นละ สำนักงานของท่านก็ดังที่ว่านี้ ท่านมีที่ทำงาน ไม่อยู่เร่ ๆ ร่อน ๆ แปลก ๆ ปลอม ๆ เหมือนกรรมฐานแต่ชื่อดังที่ปรากฏอยู่เวลานี้ดื่นไปหมด ไม่มีแหละทางจงกรม จะไม่มีละนะเดี๋ยวนี้ ที่ทำงานของพระกรรมฐานจะมีแต่ชื่อนะ สถานที่ภาวนาอิริยาบถ ๔ จะมีแต่ของปลอมเต็มไปหมดนะ จะไม่มีอิริยาบถที่เป็นภัยต่อกิเลส ไม่มีอิริยาบถที่เป็นคำว่ากรรมฐาน คือประกอบความพากเพียรทำงานตามหลักศาสดาที่สอนไว้ จะไม่มีอะไรเหลือแล้วเวลานี้

ให้คำนึงเสมอผู้จะปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ พระศาสดาท่านดำเนินยังไง ท่านก้าวเดินไปแบบไหนบ้าง ท่านสอนไว้หมด ตั้งแต่ขั้นสลบไสลก็เพราะศาสดาแท้ ๆ นั่นก็จารึกให้เอาไว้เห็นไหมล่ะ นี่ละท่านเดินอย่างนี้ สถานที่อยู่ของปราชญ์ทั้งหลายท่านอยู่ยังไง ท่านขบฉันยังไง ท่านใช้สอยอย่างไร นั่นปัจจัย ๔ ของจอมปราชญ์ท่านเป็นยังงั้น ของผู้จะฆ่ากิเลส ตั้งใจดำเนินตามด้วยความสนใจ คำว่า พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ ถือพระพุทธเจ้าเป็นแบบเป็นฉบับฝากเป็นฝากตาย ฝากตรงนี้ ในจุดที่เป็นธรรมเพื่อฆ่ากิเลสของตัวเองนั่นซิถึงจะถูก

สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ เหมือนกัน ท่านพาดำเนินยังไง ท่านดำเนินกันมาอย่างไร สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ก็คือคนธรรมดาเหมือนเรา ๆ ท่าน ๆ นี้เบื้องต้น แต่เมื่อได้ต่อสู้กับกิเลสด้วยอำนาจแห่งธรรมบนหัวใจเป็นชีวิตจิตใจแล้ว ท่านก็เป็นสรณะขึ้นมา ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ ปรากฏขึ้นมาได้ด้วยการขวนขวายที่ถูกต้องดีงามของศาสดาและสาวกทั้งหลาย ส่วนเราจะให้เกิดขึ้นภายในจิตใจของเราด้วยวิธีการใดบ้าง ก็ควรนำมาพินิจพิจารณา อย่าอยู่เฉย ๆ

เดินจงกรมก็ฟาดให้มันขาขาดให้เห็นเป็นไร เกิดมานี้ไม่เคยขาขาดเพราะเดินจงกรมฝ่าเท้าแตกดังธรรมท่านสอนไว้ ดังพระสาวกบางองค์ท่านดำเนิน ก็ให้มันเห็นบ้างซิฝ่าเท้าแตก นี่มันมีแต่หมอนแตก เสื่อขาด เพราะนั่งไม่หยุดนอนไม่หยุด นั่งนอนด้วยความขี้เกียจขี้คร้าน แน่ะมันขัดกันไปอย่างนั้นแล้ว ระหว่างศาสดาสาวกทั้งหลายกับพวกเรานี่ ไปไหนมันถึงเหลียวมองเห็นแต่ผ้าเหลือง เห็นแต่สีผ้ากรรมฐาน แต่งานของกรรมฐานไม่มีเหลือ มีแต่กิเลสทำงานอยู่บนหัวใจของกรรมฐาน

การแสดงออกมีแต่เรื่องของกิเลสพาให้แสดงธรรมไม่มีแสดง จะเอาความเลิศเลอมาจากไหนพระเราน่ะ พิจารณาให้ถึงธรรมซิ ให้ถึงกิเลสแล้วก็ถึงธรรม ถ้าไม่ถึงกิเลสแล้วจะไม่ถึงธรรม เพราะธรรมนั้นถูกกิเลสครอบเอาไว้เวลานี้ เพราะฉะนั้นจึงต้องลากกิเลสออกมาด้วยอำนาจของสติธรรม ปัญญาธรรม วิริยธรรม นี่จะได้เห็นเรื่องของกิเลส นอกนั้นไม่เห็น กุสีตํ คือความขี้เกียจ หีนวีริยํ ความเพียรเลว ไม่มีทางที่จะให้รู้ เรื่องของกิเลสเป็นยังไง เรื่องของธรรมเป็นยังไง จะไม่เห็นไม่รู้ อิริยาบถทั้ง ๔ อย่าลืมตัวถ้าอยากรู้อยากเห็นธรรม

นี่พระก็มากเข้าโดยลำดับลำดาในวัดนี้ แล้วมาเพื่ออะไร ให้สำเหนียกศึกษาทั้งทางตาทางหู จิตใจเป็นสำคัญ อย่าอยู่เฉย ๆ ใช้ความคิดความอ่าน นี่ที่หนักใจเวลานี้ ไม่ได้ยกตนข่มท่านนะ เราพูดในฐานะลูกศิษย์กับอาจารย์ มองดูอากัปกิริยาการแสดงออกของหมู่เพื่อน มักจะไม่ค่อยใช้สติปัญญา นี่ซิที่เคยพูดเสมอ ๆ มันน่าพูดจะไม่ให้พูดอย่างไร ก็มันสะเทือนอยู่ในสายตา ในหูขณะที่ฟัง ขณะที่เห็นความเคลื่อนไหวของเพื่อนฝูงที่มาอาศัยอยู่ เพื่อการอบรมศึกษาหาความรู้ความฉลาด แต่การแสดงออกนั้นมันไม่ใช่ความรู้ความฉลาดดังที่มุ่งมาศึกษานี่นะ หรือว่าผู้เป็นหัวหน้านี้พาแสดงอย่างนั้นเหรอ นี่ก็น่าพิจารณาอีกเหมือนกัน แล้วกิเลสมันจะหลุดลอยไปด้วยวิธีการอย่างนั้นเหรอ นี่ที่สำคัญอีกอันหนึ่ง ถ้าว่าแสดงออกด้วยวิธีการอย่างนั้น กิเลสมันก็จะต้องเป็นกิเลสไปหมดไม่เป็นธรรม แล้วครูบาอาจารย์ผู้เป็นธรรมท่านเอาอันนั้นเหรอมาแสดง นี่มันน่าคิดนี่นะ ทำอะไรไม่ใช้ความคิดพินิจพิจารณา

เวลามีแขกมีคนก็เหมือนกันให้ระมัดระวังนะ อย่าไปคุ้นกับใคร แต่ไม่รังเกียจใคร หากไม่คุ้นกับใคร นอกจากธรรมเท่านั้นที่เป็นที่ฝากเป็นฝากตายของพระของเรา ให้หนักแน่นในธรรมทั้งหลาย มีสติธรรมเป็นสำคัญ สติธรรมนี้สำคัญมากนะ เพราะฉะนั้นเวลาพูดขึ้นมาไม่ว่าจะเป็นวาระใด สติธรรมนี้จะปราศจากไม่ได้ เพราะเป็นธรรมที่สำคัญมากทีเดียว เป็นพื้นฐานที่จะให้เกิดแห่งธรรมทั้งหลายทุกแง่ทุกมุมของธรรม เกิดจากสติธรรมนี้ทั้งนั้น จึงได้พูดถึงเสมอ ๆ ถ้าเป็นอาหารก็ประเภทที่ว่าเป็นพื้นฐานของอาหารนั่นเอง แน่ะ

นี่ก็อ่อนลง ๆ ทุกวัน ๆ รู้ในหัวใจของเจ้าของที่เคยใช้ต่อโลก รู้สึกว่าอ่อนเข้ามา อ่อนเข้ามา หดเข้ามา ๆ นะ สุดท้ายแล้วจะเป็นลักษณะที่ว่าให้อิดหนาระอาใจไปแล้วนะ และเป็นความขวนขวายน้อยเข้ามา ๆ เพราะอะไรนี่ก็ทราบเรื่องสาเหตุ แต่ไม่จำเป็นต้องจาระไนกัน นี่เรียนมาเสียจนเต็มสติกำลังแล้ว เรียนเรื่องธาตุเรื่องขันธ์ เรื่องเป็นเรื่องตาย เรื่องเฒ่าเรื่องแก่ เรื่องความทุกข์ความลำบากอะไรนี้ เรียนอยู่ตลอดเวลา

โลกอันนี้ก็เหมือนกัน เอ้า เรียนให้จบในหัวใจซิ แล้วมันจะสุดกันที่ตรงนั้นแหละ จะไม่มีอะไรเป็นปัญหาเลย ถ้าเรียนโลกให้จบด้วยธรรมแล้วไม่มีอะไรเป็นปัญหาสร้างขึ้นในหัวใจได้เลย ที่เป็นปัญหาเดี๋ยวนี้ก็คือเราตามไม่ทันมันนั่นเอง เรื่องของโลกตามไม่ทัน เพราะมันแหลมคมมาก คำว่าโลก ๆ จะไม่หมายถึงกิเลสเป็นพื้นฐานของโลกจะหมายถึงอะไร นี่ละสำคัญอยู่ที่ตรงนี้ จึงต้องอาศัยธรรมเป็นเครื่องขุดเครื่องค้นกันขึ้นมา อันไหนที่ควรสังหารทำลายก็เอาให้เรียบไปหมดภายในหัวใจแล้วจะไม่มีปัญหาเลย นี่เรียกว่าเรียนสุด สุดเหตุสุดผล สุดโลกสุดธรรม สุดที่หัวใจ แล้วก็ไม่มีอะไรเป็นปัญหาขึ้นมาให้ได้รับความทุกข์ความลำบากอีกเหมือนแต่ก่อน

ให้หนักในความเพียรนะ สถานที่นี่เป็นสถานที่หนักความเพียรนะ ครูบาอาจารย์พาถือความเพียรนี้เป็นหัวใจของพระกรรมฐาน ของผู้ต้องการความพ้นทุกข์ อย่าลืม อย่าให้เห็นไอ้ที่เด้น ๆ ด้าน ๆ อยู่นั่น เก้ ๆ กัง ๆ อะไรอยู่ ที่มองดูแล้วมันขวางตา ลูกตาจะแตกน่ะว่าไง วันหนึ่ง ๆ เราไม่ให้มีงานอะไรเลย ให้มีแต่เวลาประกอบความพากเพียรของพระของเณรเท่านั้น เราสงวนมากเรื่องอย่างนี้ เพราะเราไม่เห็นสิ่งใดว่าเป็นของเลิศเลอยิ่งกว่าการประกอบความเพียร เพื่อสังหารกิเลสตัวเป็นภัยภายในจิตใจของเราแต่ละคน ๆ แต่ละองค์ ๆ อันนี้เป็นสำคัญมาก จึงต้องให้มีเวลาเพื่ออันนี้อย่างเดียวเท่านั้น เราอยากพูดว่าอย่างเดียวเท่านั้น

สิ่งเหล่านั้นอาศัยชั่วกาลชั่วเวลานิดหน่อย จึงไม่ให้ไปกังวลกับมัน ให้มีหน้าที่การงานอยู่กับใจอย่างเดียว นี่เรียกว่าอยู่กับความเพียรอย่างเดียว ใครอยู่ที่ไหนก็ให้เป็นความเพียรอยู่นั้นซิ เดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา นี่คืองานของพระ อย่าให้ลดน้อยถอยลงไปนะ จะลดคุณค่าของพระไปโดยลำดับ หากพระเรายังพอมีคุณค่าอยู่บ้างนะ ถ้าไม่ให้กิเลสเอาไปถลุงเสียจนหมดคุณค่าแห่งธรรมที่ควรจะมีอยู่ในใจนั้นน่ะ

เอาละ


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก