ข้าศึกของพุทธศาสนา
วันที่ 22 มิถุนายน 2530 เวลา 19:00 น. ความยาว 56.52 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :

เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๒ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๓๐

ข้าศึกของพุทธศาสนา

หลักของพระพุทธศาสนาสอนให้มีความจริงใจ พึ่งตนเองได้ โดยลำพังเราไปไม่รอด เหมือนเขาจะทำงานอะไรก็ต้องมีเครื่องมือ ใจที่จะก้าวเดินให้ถูกทางก็ต้องอาศัยเครื่องดำเนินคือธรรมของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นธรรมที่ถูกต้องอย่างยิ่งแล้วไม่มีข้อสงสัยใดๆ ทั้งสิ้น ท่านจึงให้นามว่า สวากขาตธรรม เราสวดอยู่ทุกเช้าทุกเย็นที่ว่า สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ชอบแล้ว ทั้งเบื้องต้น ท่ามกลางและที่สุดของจิตของธรรม ล้วนแต่สอนแนวทางไว้โดยถูกต้อง ไม่มีผิดพลาดแม้แต่น้อยเลย

หากผู้นับถือพระพุทธศาสนา จะยึดเป็นหลักเป็นเกณฑ์ภายในจิตใจอย่างแท้จริงตามพระเมตตาที่ทรงประทานพระโอวาทไว้นี้ก็พึ่งตนเองได้ ไม่เหลวไหลตลอดไปตั้งแต่ต้นจนอวสานแห่งชีวิต ภพนี้ภพนั้น จะไม่เหลวไม่เลวในความเป็นอยู่เป็นไปทั้งภพนี้และภพหน้า ภพไหนๆ และยังจะเป็นเครื่องตัดวัฏวนคือความเกิดตายนี้ให้ย่นเข้ามาเป็นลำดับๆ เพราะการทำถูกทำดีเป็นเครื่องช่วยตนเองให้ทุกข์น้อยลง ภพชาติน้อยลงเพราะกิเลสน้อยลง

ไม่ใช่มาสั่งสมและส่งเสริมกิเลสด้วยการปฏิบัติธรรม โดยเพียงความสำคัญว่าตนปฏิบัติธรรมเท่านั้น ความจริงแล้วตัวเราเองเป็นข้าศึกต่อธรรมของพระพุทธเจ้า คือกิเลสนั้นแหละพาให้เป็นข้าศึก เพราะมีการขัดการแย้งต่อความถูกต้องดีงามอยู่ตลอดเวลาภายในใจของเราแต่ละรายๆ ไม่ว่าฆราวาส ไม่ว่าพระว่าเณรผู้ปฏิบัติในวงของพุทธบริษัทแห่งพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นพระองค์จึงตรัสว่าผู้ที่จะทำศาสนาให้เสื่อมก็ดีให้เจริญก็ดี ไม่มีใครนอกเหนือไปจากพุทธบริษัทคือผู้นับถือพระพุทธศาสนานี้ นี้เป็นอันดับแรกท่านว่า

เราอย่าคิดแต่เรื่องคนนั้นคนนี้ให้ห่างไกลไป ในวันหนึ่งๆ ควรคิดเรื่องของเจ้าของที่กิเลสภายในใจพาขัดแย้งต่ออรรถต่อธรรม อันเป็นความถูกต้องดีงามของพระพุทธเจ้า ซึ่งจะพาเราไปสู่ความดีทั้งหลาย มันขัดมันแย้งอยู่ตลอดเวลาภายในจิตใจของเรานี้แล ให้ดูตรงนี้ อย่าไปดูผู้อื่นที่อื่นซึ่งไกลไปมาก ไม่ค่อยได้รับประโยชน์อะไรเหมือนดูเจ้าของ ใจเจ้าของที่คิดที่ปรุงอยู่ตลอดเวลานี้ ขัดแย้งต่ออรรถต่อธรรมทางดำเนินของพระพุทธเจ้าที่ทรงสั่งสอนไว้หรือไม่

ส่วนมากร้อยทั้งร้อย คิดปรุงออกมาในแง่ใดมุมใด มีแต่เรื่องของกิเลสสร้างภพสร้างชาติให้แก่สัตว์ทั้งหลายภายในหัวใจของสัตว์นั้นแล ด้วยความเห็นชอบ ด้วยความคล้อยตาม ด้วยความไม่รู้สึกตัว เพราะกิเลสแหลมคมมาก ดังที่เคยแสดงมาแล้วไม่รู้กี่ครั้งกี่หน นี่ละข้าศึกของศาสนา ข้าศึกของผู้ปฏิบัติ เกิดที่ใจเพราะเชื้อของมันฝังอยู่ที่ใจ แขนงต่างๆ จึงแตกออกมาจากใจ ไปเป็นความคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นกิ่งก้านสาขาดอกใบของกิเลส อันเป็นตัวเชื้อใหญ่นั้นทั้งนั้น

แต่เราไม่ทราบไม่รู้ ถ้าไม่ใช่ผู้ที่มีความสามารถฉลาดแหลมคมเต็มที่ ดังพระอรหันต์ท่านนั้นปิดไม่อยู่เรื่องกลมายาของกิเลส แม้จะไม่มีในหัวใจของท่านเพราะได้สิ้นซากไปแล้วก็ตาม สิ่งเหล่านี้แสดงออกจากอากัปกิริยาของผู้ใด สัตว์ตัวใดย่อมจะทราบโดยลำดับลำดา เพราะเป็นสิ่งที่เคยมีเคยเป็นอยู่ภายในจิตใจและเคยฟัดเคยเหวี่ยงกันมาแล้ว ก่อนที่จะถึงความบริสุทธิ์ของใจ เพราะธรรมชาติเหล่านี้ได้สิ้นซากลงไป

นี่ละเรื่องข้าศึกของพระพุทธศาสนา ข้าศึกของเราผู้ปฏิบัติธรรมะ เฉพาะอย่างยิ่งเราเป็นกรรมฐาน นี่ละสำคัญมาก จึงควรดูจุดนี้ อย่าดูสิ่งใดให้มากไปกว่านี้ ซึ่งไม่ค่อยจะเกิดผลนอกจากจะเป็นโทษเสียมากกว่า โดยมองดูคนนั้นทำผิดนั้นทำพลาดนี้ ไม่ดีอย่างนั้น ยกโทษยกกรณ์กันอย่างนี้ นั่นคือทางผิด ทางของกิเลสแสดงออกมาแล้วนั่น

ถ้าดูตัวเองว่ามีความคิดความปรุงอย่างใด เป็นข้าศึกต่อธรรมและต่อเราหรือไม่ดูอยู่ด้วยสติ ที่ท่านเรียกว่าความเพียรๆ เพียรดู เพียรดัดแปลง เพียรแก้ไข เพียรรักษาจิตใจของตนอยู่เสมอ อย่างนี้ท่านเรียกว่าความเพียรโดยชอบ หรือความเพียรชอบ สติที่ตั้งไว้ตรงนี้ก็เรียกว่าสติชอบ ปัญญาที่พินิจพิจารณาสิ่งที่เป็นภัย เพื่อดัดแปลงแก้ไขหรือสังหารมันนี้เรียกว่าปัญญาชอบ นี่ดูตรงนี้ ไม่ค่อยขาดทุนสูญดอกนอกจากจะเป็นประโยชน์แก่ตนโดยลำดับลำดา และมีความคล่องแคล่วแกล้วกล้าไปโดยลำดับ ด้วยอำนาจของสติปัญญาที่เคยฝึกซ้อมอยู่ตลอดมาไม่ละไม่ถอน นี่ละข้าศึกอยู่ที่ตรงนี้ คืออยู่ที่ใจ

ทางเดินของข้าศึกนี้ก็อาศัยร่างกายนี้แหละเป็นทางแสดงออก โดยความประพฤติคำพูดคำจากิริยามารยาท เป็นเครื่องแสดงออกของสิ่งเหล่านี้ทั้งนั้น ถ้าไม่มีสติไม่มีปัญญาเครื่องกำจัด จะแสดงอยู่เรื่อยๆ อย่างนี้ตลอดไป เพราะกิเลสไม่เคยมีความแก่ความชราคร่ำคร่าเหมือนสภาพการณ์ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ทั้งหลาย แม้จะเปลี่ยนไปก็เปลี่ยนไปก็เปลี่ยนไปเพื่อความเป็นกิเลส ถ้าเราไม่ดัดแปลง ไม่มีสิ่งคัดค้านต้านทานกิเลสแล้ว กิเลสจะเปลี่ยนแปลงไปวันยังค่ำ ซึ่งล้วนแล้วแต่เปลี่ยนแปลงเพื่อความเป็นกิเลสทั้งมวล ไม่มีที่จะเปลี่ยนแปลงไปเพื่อความชราคร่ำคร่าหรือแตกดับพังทลายลงไปเหมือนสิ่งทั้งหลาย ให้พึงพากันจำเอาไว้ สิ่งนี้มีมาดั้งเดิม ไม่มีทางที่จะระงับดับตนลงโดยลำพัง หรือฉิบหายจากจิตใจของสัตว์ไปโดยลำพัง ที่ไม่ได้ดัดแปลงแก้ไขหรือชำระซักฟอกหรือสังหารมัน

ด้วยเหตุนี้ธรรมจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก ที่จะมาดัดแปลงแก้ไขหรือซักฟอกทำลายมัน ด้วยความอุตส่าห์พยายาม ด้วยความพากเพียร ด้วยสติปัญญาของผู้บำเพ็ญธรรมทั้งหลายเพื่อสังหารกิเลส กิเลสจึงจะลดน้อยถอยลงไป หรือว่าคร่ำคร่าชราลงไปได้ด้วยการถูกทุบถูกตีโดยทางความเพียรในแง่ต่างๆ เราอยู่เฉยๆ จะให้กิเลสเบาบางจางลงไปๆ นี้เป็นไปไม่ได้ ท่านจึงสอนให้เพียร จึงสอนให้มีธรรม

ธรรมคือเครื่องต่อสู้ หรือธรรมคือเครื่องกำจัดสิ่งที่กล่าวนี้ทั้งนั้น หากไม่มีธรรมแล้วสิ่งเหล่านี้จะแผ่พังพานออกเต็มกำลังความสามารถของมัน โลกนี้จะมีแต่ฟืนแต่ไฟทั้งนั้น เพราะไม่มีอะไรคัดค้านต้านทานกัน ถ้าเป็นโรคก็คอยแต่วันตายเพราะของแสลงรับเข้าไปทุกวัน แต่หยูกยาและหมอไม่สนใจ จึงมีทางตายได้ถ่ายเดียวเท่านั้น นี่กิเลสมันสร้างตัวของมันภายในจิตใจของสัตว์โลกก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน มีแต่ของแสลงแห่งธรรม แต่เป็นผลเป็นประโยชน์ของกิเลส เพราะฉะนั้นกิเลสจึงพอกพูนขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีทางที่ว่าคร่ำคร่าชราลงไปและแตกดับลงไป จึงต้องอาศัยหลักธรรม

ธรรมจึงเป็นธรรมชาติที่จำเป็นต่อโลกเรื่อยมาและจะมีเรื่อยไปอย่างนี้ ดังที่ท่านแสดงไว้ในเรื่องของพระพุทธเจ้าทั้งหลายมาตรัสรู้ นี่แหละคือมาประกาศสอนธรรม เพื่อชำระล้างหรือมาประกาศสอนหยูกยาพูดง่ายๆ มาประทานยาให้สัตว์โลกรับประทานด้วยการประพฤติปฏิบัติศีลธรรม โดยการแนะนำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าและสาวกของท่านแต่ละองค์ๆ เป็นครูเป็นอาจารย์ซึ่งเทียบกันกับหมอ โรคจึงพอบรรเทา พอเป็นไปได้ พอมีทางสงบบ้างเพราะมียาคือธรรมเป็นเครื่องรักษา

นี่ละพระพุทธเจ้าจึงมีมากต่อมาก มีมาเรื่อยๆ ก็เพราะสิ่งเหล่านี้มันมีอยู่ประจำสัตว์ ถ้าไม่มีธรรมเป็นเครื่องแก้ไขซักฟอกหรือชำระล้างกันแล้ว จะไม่มีความหมายเลยในสัตว์แม้ตัวเดียวรายเดียว ว่าจะมีทางผ่อนคลายความทุกข์และสิ้นสุดทุกข์ไปได้ จะมีแต่ความหมุนเวียนเกิดตายๆ ซึ่งเป็นเรื่องหาบกองทุกข์ไปโดยลำดับๆ ด้วยการเกิดตายนั้นทุกภพทุกชาติไป ไม่มีคำว่าสิ้นสุดยุติ มีอย่างนี้ตลอดไป

เมื่อมีพระพุทธเจ้ามาประทานพระโอวาทสั่งสอน ก็เท่ากับมียามีหมอมารักษา โรคของคนไข้ก็ย่อมมีทางหายได้ อย่างน้อยก็พอบรรเทาเบาบางเรื่องของความทุกข์ความทรมานที่เกิดจากโรคนั้นๆ ไม่คอยแต่จะตายโดยถ่ายเดียว ไม่ว่าโรคประเภทใดที่เกิดขึ้นเพราะไม่มีหมอไม่มียารักษา

นี่โรคภายในจิตใจของสัตว์ไม่เว้นแต่ละดวงๆ นอกจากพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ท่านเท่านั้น นั่นท่านสิ้นสุดยุติแล้วในเรื่องทุกข์ทางใจที่จะหมุนเวียนต่อไปอีกเป็นอันว่าไม่มี ตัดขาดสะบั้นลงไป นี่ละธรรมของท่านที่ออกมาจากพระทัยของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ จากใจของพระสาวกแต่ละพระองค์ๆ จึงเป็นธรรมจำเป็นและสำคัญมากต่อมวลสัตว์ที่เต็มไปด้วยโรคภายในจิตใจ เช่น ความโลภ ความโกรธ ความหลง ราคะตัณหาเหล่านี้เป็นต้น นี่เป็นส่วนใหญ่ๆ ที่กล่าวมานี้ แล้วก็แตกแขนงออกไปไม่มีประมาณ และกิเลสประเภทเหล่านี้แหละเป็นเครื่องบีบบังคับให้สัตว์ทั้งหลายทำกรรมชั่วช้าลามก โดยมีความหลอกลวงกลอุบายของมันแซงไปข้างหน้าเรื่อยๆ ไม่ยอมให้เราแซงหน้ามันได้เลย มันจะเปิดทางให้ทำด้วยความสะดวกด้วยความพอใจอยากทำ

เพราะฉะนั้นการทำความชั่วของสัตว์โลก จึงเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายกว่าการทำความดี ในขั้นต้นหรือขั้นเริ่มแรกแห่งการปฏิบัติความดีเป็นอย่างนั้น ส่วนการทำชั่วนั้นกิเลสเป็นสิ่งที่ฝังจมมานานสักเท่าไรแล้ว ชำนิชำนาญคล่องแคล่วในการบีบบังคับหรืออุบายต่างๆ เสี้ยมสอนให้สัตว์โลกมีความพอใจทำความชั่วช้าลามกต่างๆ จนไม่มีประมาณ โดยไม่ทราบว่าผลนั้นจะเป็นอย่างไรแก่สัตว์โลกรายนั้นๆ ก็เท่ากับว่าหลับหูหลับตาทำไป ถ้าลืมตาก็ลืมไปทางกิเลส ไม่ได้ลืมไปทางอรรถทางธรรม นอกจากจะว่าหลับตาเท่านั้นละเหมาะสมที่สุด นี่ละมันสอน

อุบายการสอนของมันก็ละเอียดมาก หากเป็นขึ้นภายในจิตใจของเราแต่ละองค์แต่ละท่านแต่ละราย ๆ ไม่ต้องมีครูมีอาจารย์มีใครมาสอน มันก็แตกแขนงของมันไปเอง ยิ่งมีผู้มาแนะนำสอนแล้วยิ่งเอาอย่างได้อย่างรวดเร็ว เราเห็นไหมทุกวันนี้เฉพาะอย่างยิ่งราคะตัณหากำเริบเสิบสานเต็มบ้านเต็มเมือง บ้านนอกในเมือง แม้ที่สุดติดกระเป๋าไปคือ วิทยุ โทรทัศน์ วิดีโอ มาจากไหน นี่มาจากความพอใจของราคะตัณหาให้ผลิตให้สร้างขึ้นมาให้ดึงให้ดูดจิตใจ ให้ติดให้พันยิ่งกว่ายาเสพติด ความเสียหายของสิ่งเหล่านี้ก็มากเช่นเดียวกับยาเสพติดหรือมากยิ่งกว่านั้น เพราะมีด้วยกัน ไม่ได้เป็นรายบุคคลเหมือนยาเสพติดที่เขาเสพติดและตำหนิกันทั้งโลกนี้เลย อันนี้มันมีด้วยกัน

การส่งเสริมมัน ส่งเสริมได้ง่าย คือส่งเสริมได้ด้วยความพอใจ ไม่ได้ถูกบีบบังคับ ผู้ดูผู้ชมก็ติดอกติดใจไปตาม ๆ กัน สุดท้ายไม่ได้ทำไม่ได้ดูไม่ได้เที่ยวไม่ได้เตร็ดเตร่เร่ร่อนไปตามเพลงของมันเป็นอยู่ไม่ได้ วันหนึ่งๆ เหมือนอกจะแตกร่างกายจิตใจจะพังทลาย ถ้าไม่ได้ไปตามอำนาจของสิ่งเหล่านี้ชักจูงไป เสี้ยมสอนไป เพลงกล่อมกล่อมไป

ดูซิเป็นยังไงทุกวันนี้กับแต่ก่อน ซึ่งแต่ก่อนพวกราคะตัณหาเป็นต้นมันก็มีอยู่ในจิตใจ เหมือนกับไฟมีอยู่ในเตา เพียงไม่ให้ขาดเตามันก็มีของมัน เมื่อไม่มีเชื้อไสเข้าไปมันก็ไม่แสดงเปลว แต่เมื่อมีเชื้อไสเข้าไปมากน้อย ไฟที่มีอยู่เพียงนิดเดียวภายในเตานั้นแลจะแสดงเปลวขึ้นเต็มที่เต็มฐาน จนกระทั่งไหม้บ้านไหม้เรือนไปได้ ฉิบหายวายปวงโดยไม่ต้องสงสัย นี่เรื่องของราคะตัณหาซึ่งฝังอยู่ภายในเตาคือจิตใจของเราก็เช่นเดียวกัน เมื่อเป็นสิ่งที่เราละไม่ได้อย่างง่ายดาย เราก็ต้องรักษาถ้าเป็นผู้รักตน ถ้าเป็นผู้มีอรรถมีธรรมพอเป็นเครื่องแก้ไขดัดแปลงกันบ้าง ก็ต้องต่างคนต่างพยายามรักษา ไม่ควรที่จะมาส่งเสริมมันให้ไหม้บ้านไหม้เมือง ไหม้สัตว์ไหม้บุคคลเต็มโลกเต็มสงสารไปดังที่เป็นอยู่อย่างนี้

นี่ก็เพราะต่างคนต่างยินดีต่างคนต่างพอใจ เปิดทางให้ธรรมชาติอันนี้มันเดินเสียจนกระทั่งถึงโลกวินาศ คือขาดสะบั้นไปตามๆ กันเลย ไม่ว่าบ้านนอกในเมือง คนโง่คนฉลาด คนมีคนจน ติดงอมแงมเดือดร้อนวุ่นวาย เพราะไฟราคะตัณหานี้มันเผาผลาญโดยไม่ต้องสงสัย ไม่เว้นแต่ละราย แม้ที่สุดสมณะคือนักบวชเราที่เว้นจากสิ่งเหล่านี้ ก็ยังถูกมันตัดคอเอาได้ขาดสะบั้นไปโดยไม่ต้องสงสัย เพราะความหลวมตัว เพราะความไม่ทันกลอุบายของมันนั่นแล นี่พูดถึงสิ่งที่มันเป็นภัย มันเป็นอยู่โดยหลักธรรมชาติของมัน และเป็นสิ่งที่ทำให้สัตว์ทั้งหลายรักชอบโดยลำดับ ไม่มีใครเบื่อหน่ายอิ่มพอ

ทั้งๆ ที่สิ่งเหล่านี้เคยมีมากี่กัปกี่กัลป์ ตั้งแต่ตั้งสมมุติมามันมีมากี่กัปกี่กัลป์ มันน่าจะเป็นเดน น่าจะอิดหนาระอาใจ เพราะรับแล้วรับเล่าซ้ำๆ ซากๆ เป็นเดนไปเสียไม่รู้กี่กัปกี่กัลป์มาแล้ว มันน่าจะเบื่อหน่าย ถ้าเป็นอาหารก็เป็นเดนไปแล้วรับอะไรนักหนา สิ่งที่เคยรู้เคยเห็นเคยเป็น มันเคยเป็นมาตั้งกัปตั้งกัลป์ ไม่เพียงเป็นแต่วันนี้เดือนนี้ขณะนี้เท่านั้น มันน่าจะรู้สึกชินกับมัน แล้วก็เห็นโทษเห็นภัยของมัน เพราะมันแสดงโทษอยู่ตลอดเวลาในฉากเดียวกันกับความชอบใจของเราที่ดำเนินหรือเดินตามมัน

แต่ทำไมจึงไม่มีใครเห็นโทษของมัน ไม่มีใครเบื่อหน่ายอิ่มพอมัน ไม่มีใครตำหนิเลยว่ามันเป็นเดนมาแล้วตั้งกัปตั้งกัลป์ เราจะไปตื่นเต้นอะไรกับมันนักหนา อย่างนี้มีไหมล่ะ เราอยากจะพูดว่าไม่มี มีแต่การส่งเสริมกัน เพราฉะนั้นทุกข์จึงจะหาวันดับไม่ได้ นอกจากจะแสดงเปลวขึ้นทั้งโลกทั้งสงสารที่ไม่ยอมรับความจริง สุดท้ายก็ติเตียนกันไม่ได้ ให้แต่ชมกันวันยังค่ำคืนยังรุ่ง ผิดก็ชม ส่วนถูกไม่ต้องพูดกัน จะเอาความถูกต้องมาจากไหน ผิดมากผิดน้อยชมทั้งนั้น ดีไม่ดีว่าคนนี้เด็ดขาด แน่ะ ดูซิเป็นโจรเป็นมารเป็นเสือร้ายขนาดไหนยังต้องชมว่าเขาเด็ดขาด ดีไปเสียอีกด้วยซ้ำ พูดอย่างอื่นไม่ได้เป็นภัยแก่ตัวเอง นี่แหละกิเลส มันกินทั้งขึ้นทั้งล่อง ไม่มีคำที่ว่ามันจะขาดทุน เรื่องของกิเลสแล้วเป็นอย่างนี้

สิ่งที่มันเป็นทั้งหลายเหล่านี้ มันสร้างความเจริญความผาสุกเย็นใจให้โลกทั้งหลายได้รับความสงบเย็นใจบ้างมีไหม ไม่มี ถ้าสิ่งเหล่านี้กระจายไปที่ตรงไหนแล้วจะเดือดร้อนไปตามๆ กันหมด นี่ละเหตุที่ธรรมของปราชญ์ท่านมีอยู่ในโลก ก็เพราะปราชญ์นั้นฉลาดกว่าสิ่งเหล่านี้ รู้สิ่งเหล่านี้ทุกแง่ทุกมุม ให้ประพฤติปฏิบัติตน เช่น สร้างความดีทั้งหลายมาโดยลำดับลำดาจนได้ตรัสรู้ธรรม เมื่อได้ถึงขั้นตรัสรู้ธรรมและบรรลุธรรมแล้ว ย่อมจะทราบสิ่งเหล่านี้ได้ดีที่สุด ไม่มีใครเกินท่านผู้ที่เหนือจากสิ่งเหล่านี้ไปแล้วโดยสมบูรณ์

ท่านเหล่านี้แหละนำธรรมหรือธรรมโอสถ มาเยียวยารักษาพวกเราทั้งหลายที่จมดิ่งอยู่ในแดนนรกทั้งเป็นนี้ให้ค่อยฟื้นตัวขึ้นมา ด้วยความมองเห็นบาปเห็นบุญ มองเห็นคุณเห็นโทษ เชื่อนรกสวรรค์ เชื่อบุญเชื่อทานการกุศล ตามทางของนักปราชญ์ที่ท่านได้หลุดพ้นไปแล้ว เพราะธรรมเหล่านี้เป็นเครื่องสนับสนุนจากการบำเพ็ญของท่าน เราจึงได้พอบำเพ็ญ ถ้าหากธรรมนี้ไม่มีในโลกแล้ว โลกนี้ก็ไม่ผิดอะไรกับคนทั้งหูหนวกทั้งตาบอด ทั้งง่อยเปลี้ยเสียแข้งเสียขา อวัยวะทุกสัดทุกส่วนมีเท่าไรก็ใช้งานไม่ได้ เท่ากับอย่างนั้นแล ถ้าไม่มีธรรมเป็นเครื่องเยียวยารักษาพอประทังได้บ้างแล้ว จะเป็นเช่นนั้นโดยไม่ต้องสงสัย

เรื่องของกิเลสมันพาให้เป็นเช่นนั้นละให้พิจารณากัน แล้วก็ไม่มีใครที่จะอิ่มพอเบื่อหน่ายมัน เห็นว่ามันเป็นเดนเลย เป็นอย่างนี้ตลอดไป ถ้าไม่มีธรรมเป็นเครื่องจับเข้าไปๆ จะไม่เห็นเคล็ดลับของมันเลย มันมีเคล็ดลับอยู่ทุกอากัปกิริยาที่แสดงออกมาเพราะแสดงออกมาจากเคล็ดลับภายใน แล้วก็มาเป็นเคล็ดลับภายนอก นอกไปเท่าไรก็ไม่พ้นจากการเป็นเคล็ดลับเล่ห์กลของมันตลอดไป สัตว์โลกจึงลุ่มหลงล่มจมไปไม่มีวันอิ่มพอ ไม่มีวันฟื้นตัวขึ้นมาได้ นี่มันเป็นเช่นนั้น

เมื่อปราชญ์ทั้งหลายแต่ละยุคละสมัย ที่ท่านตรัสรู้ประกาศสอนธรรม นั่นละโลกพอมีเกาะมีดอน ถ้าเป็นคนไข้ก็จุดนั้นมีหมอ จุดนั้นสถานที่นั้นมียา คนผู้ที่อยากจะหายจากโรคจากภัยของตน ก็ต้องเสาะแสวงหาหมอหายา รุมกันเข้าไปหาหมอหายา ดังคนทั้งหลายมีความสนใจใคร่ต่ออรรถต่อธรรมของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ที่มาประกาศธรรมสอนโลก เวลาท่านแสดงธรรมนี้ปรากฏว่า ผู้บรรลุมรรคผลนิพพานนี้เป็นหมื่นๆ แสนๆ นั่นแหละคือผู้ที่หายจากโรคจากภัย เพราะธรรมโอสถของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ท่านหายอย่างนั้น

วันนี้โรคได้บรรเทาเพราะยาขนานนี้ คือธรรมเทศนาของท่าน เอ้า รายนั้นๆๆ มีจำนวนมากน้อย ค่อยเปลี่ยนแปลงฐานะของตนขึ้นสู่ธรรมอันละเอียด สู่จิตอันละเอียดเป็นลำดับลำดา แล้ววันนี้หลุดพ้น วันหน้าก็หลุดพ้น รายนั้นไม่หลุดพ้นวันนี้ ขยับขึ้นมาก็หลุดพ้นๆ สุดท้ายก็คนจำนวนมากมายทำไมจะไม่หลุดพ้นล่ะ ก็เพราะรับยาอยู่ด้วยความพออกพอใจ คือใจเสาะแสวงหาความจริงอยู่แล้ว กับธรรมที่เป็นความจริงล้วนๆ ก็เข้ากันได้ง่าย บรรลุธรรมได้อย่างรวดเร็ว ๆ

ดังประเภทอุคฆฏิตัญญู นี่ถ้าเป็นโรคก็เป็นโรคที่คอยรับยาอยู่แล้ว วิปจิตัญญูก็เช่นเดียวกัน เนยยะเป็นโรคที่อยู่ในกึ่งกลาง ถ้าไม่มียาก็ตายได้จริงๆ ถ้ามียาเจ้าของอุตส่าห์พยายามรับมีทางหายได้โดยไม่ต้องสงสัย นอกจากโรคที่อย่างสมัยทุกวันนี้เขาเรียกว่าประเภท ไอ.ซี.ยู. อันนี้ไม่ยอมรับอะไรทั้งนั้น พอส่งเข้าในโรงพยาบาลแทนที่จะไปหาหมอกลับเข้าห้อง ไอ.ซี.ยู. ดูแต่ลมหายใจฝอดๆ เท่านั้น นี่เป็นประเภทหนึ่ง

นี่ละพระพุทธเจ้าทั้งหลายท่านมาตรัสรู้มีคุณค่าแก่โลกมากขนาดไหน หาประมาณไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าบางพระองค์มีอายุถึง ๘ หมื่นปีมี ๗ หมื่นปี ๔ หมื่นปีจนกระทั่งถึงมาระยะปัจจุบันนี้ เพราะพระชนม์ของท่านไม่สม่ำเสมอกันดังธรรมที่ท่านกล่าวไว้แล้ว…มี ทีนี้แต่ละพระองค์นั้นน่ะท่านมาประกาศสอนธรรม เช่น ท่านเสด็จออกทรงผนวชเมื่ออายุ ๔ หมื่นปี แล้วบำเพ็ญพระองค์เพื่อสัตว์โลกทั้งหลายนั้นอยู่อีก ๔ หมื่นปี การตรัสรู้ของท่านส่วนมากมักตรัสรู้ได้อย่างรวดเร็วกว่าพระพุทธเจ้าของเราเป็นอันมากทีเดียว แต่จะเร็วหรือช้าก็ตาม แต่ละพระองค์ที่ประกาศธรรมสอนโลก ล้วนแล้วแต่ธรรมโอสถที่หาสิ่งเปรียบสิ่งประมาณไม่ได้ กิเลสหมอบราบเพราะธรรมโอสถของท่าน

เมื่อสัตว์ทั้งหลายก็จำเจอยู่กับความทุกข์ความทรมานมามากต่อมากแล้ว ถึงกาลที่ควรจะเป็นไปได้ เพราะความดีก็สร้างความชั่วก็มี ความดีย่อมจะหนุนให้ได้สมมักสมหมายในวันหนึ่ง ให้เบาบางไปในวันหนึ่ง นั่นแหละกาลแห่งความดีหนุนเข้าไปๆ หรือกาลแห่งความดีได้เข้ามาประชิดตัวต่อมรรคผลนิพพานแล้วย่อมสำเร็จไปได้เรื่อยๆ นี่คือผู้สร้างความดีมาแข่งกันกับความชั่ว เพราะความดีกับความชั่วย่อมมีอยู่ในหัวใจอันเดียวกัน แล้วก็ได้บรรลุธรรมเรื่อยๆ

เราลองนับดูซิว่า พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์นั้น พระชนมายุของท่านยืนยาวขนาดไหน ท่านทำประโยชน์ได้มากเพียงไร ประทานพระโอวาทแต่ละครั้งละหนนี้พุทธบริษัทบรรลุธรรมเป็นหมื่นๆ แสนๆ เทวบุตรเทวดาก็เป็นหมื่นๆ แสนๆ แต่ละวันละคืนนี้ไม่ขาดวรรคขาดตอน ที่รื้อขนสัตว์ให้พ้นจากโอฆกันดารทั้งหลาย ในแหล่งแห่งความเกิดแก่เจ็บตายที่โลกทั้งหลายหมุนเวียนกันอยู่นี้ ท่านได้หลุดพ้นไป ท่านเหล่านั้นได้หลุดพ้นไปๆ มีจำนวนมากขนาดไหน นี่ละพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้แต่ละพระองค์ทำประโยชน์ให้โลกมากเพียงไร

แม้แต่พระพุทธเจ้าของเรานี้ก็ลองคิดดูซิ ประกาศพระศาสนาอยู่ ๔๕ พระพรรษา จนกระทั่งมาถึงนี้เป็นกี่พันปี ธรรมะนี้เป็นประโยชน์แก่โลกเรื่อยมา ๆ ไม่เคยเป็นภัยแก่ผู้หนึ่งผู้ใดเลย นี่ละเรื่องธรรมะมีความจำเป็นต่อสัตว์โลกผู้ได้รับความทุกข์ความทรมาน หรือว่าโรคเต็มหัวใจได้ค่อยเบาบางลงไปจากธรรมโอสถของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ๆ

พวกเราทั้งหลายเกิดมาในท่ามกลางแห่งพระพุทธศาสนา คือพระพุทธเจ้าของเราประทานพระโอวาทไว้ ซึ่งเทียบกันกับว่าพระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ ประทานพระโอวาทด้วยพระโอษฐ์ของพระองค์เอง โดยสวากขาตธรรมที่ตรัสไว้ชอบแล้วนี้ ให้เราทั้งหลายได้ดำเนินเดินตามอรรถตามธรรมนี้ ด้วยความจริงอกจริงใจอย่าเหลาะแหละ วันหนึ่งเราจะเห็นความแปลกประหลาดอัศจรรย์ภายในจิตใจของเรา ซึ่งพร้อมที่จะรับความจริงทั้งหลายอยู่แล้ว และพร้อมที่จะรับความประเสริฐเลิศเลอทั้งหลายอยู่แล้ว เช่นเดียวกับใจที่เคยพร้อมในการรับความทุกข์ความทรมานมาเช่นเดียวกัน เราจะได้รู้ได้เห็นวันหนึ่งวันใดในธรรมทั้งหลายที่พระพุทธเจ้าประทานไว้นี่

ไม่มีธรรมะบทใดที่เก่าคร่ำคร่าหรือครึหรือล้าสมัยไปแล้ว เพราะได้หลายปีหลายเดือน เนื่องจากธรรมนี้เป็น อกาลิโก กาลสถานที่เวล่ำเวลาไม่เข้ามาเกี่ยวข้องเลย มีเป็นความจริงล้วน ๆ อยู่ตลอดไป นี่แหละเราดำเนินตามนี้จะไปไหนล่ะ ขอให้ดำเนินตามสวากขาตธรรม อย่าข้องอย่าแวะ อย่าดื้อด้านหาญสู้ด้วยความสำคัญของกิเลสตัณหา เป็นทิฐิมานะขึ้นมาต่อสู้กับธรรมก็แล้วกัน พระพุทธเจ้าประทานไว้อย่างไร ให้มีความเคารพยำเกรงเชื่อถือ แล้วปฏิบัติตามนั้นเถิด กิเลสอย่าให้เข้ามาแทรกได้ ว่าอันนั้นพระพุทธเจ้าตรัสไม่ถูก อันนี้น่าสงสัย อันนั้นน่าข้องใจ อันนี้ล้วนแล้วแต่กิเลสเข้าไปแทรกธรรม

ขึ้นชื่อว่าพระพุทธเจ้าแล้วไม่มีสิ่งใดลี้ลับ ในบรรดาความจริงทั้งหลายที่จะไม่ทรงรู้ทรงเห็น จึงสอนไว้โดยถูกต้องแม่นยำ นอกจากกิเลสเท่านั้นคอยที่จะแทรกจะแซงขัดแย้งกันอยู่ตลอดเวลากับธรรมทั้งหลาย อย่างทุกวันนี้เราก็เห็นได้ชัดๆ ในวงพุทธบริษัทของเรานี้แล ที่เป็นข้าศึกน้ำลายกันอยู่ โจมตีกันอยู่โน้นโจมตีกันอยู่นี้ ล้วนแล้วแต่กิเลสมันเข้าแทรกเข้าสิงภายในจิตใจของผู้ปฏิบัติธรรมะ ให้เกิดความสำคัญตนว่ารู้ว่าฉลาด ว่าถูกต้องดีงามไปเสียทุกอย่าง แล้วคัดค้านต้านทานเหยียบย่ำทำลายผู้อื่น สุดท้ายก็กลายเป็นข้าศึกในวงพุทธศาสนาขึ้นมา ในวงแห่งพุทธบริษัทนี้เรื่อยมาจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ เราทั้งหลายก็ไม่ต้องถามใครแล้วเรื่องอย่างนี้ เห็นๆ รู้ๆ กันอยู่แล้ว นี่ละกิเลสแทรกธรรมแทรกอย่างนี้ เพราะฉะนั้นอย่าให้มาแทรกหัวใจของเราผู้ปฏิบัติ

เอาให้จริงให้จัง ให้เคารพนบน้อมต่อพระโอวาทที่เป็นสวากขาตธรรมนี้ ท่านประทานข้อใดไว้อย่าดื้อดึงฝ่าฝืน โง่ก็โง่ ยอมโง่ไปเถอะ โง่ไปตามผู้ฉลาดดีกว่าฉลาดไปตามคนโง่ธรรมชาติที่หลอกลวงเป็นไหนๆ เอาๆ จะเป็นจะตายจะล่มจะจมเพราะพระโอวาทของพระพุทธเจ้านี้ ให้เห็นในตัวของเราเอง เพราะพระโอวาทนี้ไม่เคยทำความล่มจมแก่ผู้หนึ่งผู้ใดเลย และพระพุทธเจ้าพระองค์ใดที่สอนโลกไม่เคยทำโลกให้ล่มจมมาแม้พระองค์เดียวจนกระทั่งปัจจุบันนี้ เหตุใดพระโอวาทของพระพุทธเจ้านี้ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าโดยสมบูรณ์เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้าทั้งหลาย จะเป็นพระโอวาทที่เป็นโจรเป็นมาร สังหารสัตว์โลกทั้งหลายให้ล่มจม เพราะการสั่งสอนอรรถธรรมนี้ไว้มีเหรอ ไม่มี นี่ละให้เราเชื่อพระโอวาทอันนี้

เราอย่าไปเชื่อผู้อื่นใดยิ่งกว่าพระโอวาทของท่านผู้สิ้นกิเลสแล้ว นอกจากนั้นมีแต่ความมีกิเลสที่ละเอียดจึงแทรกขึ้นมา เข้าใจว่าตนรู้ตนฉลาด สำคัญว่าตนดีเด่นกว่าใครๆ ทั้งนั้น แล้วก็เอาความที่สำคัญว่าดีเด่นมาสอนโลกเป็นธรรมเป็นความเลวทราม สุดท้ายก็เลวไปหมดเหลวไปหมด นี่ให้ระวังให้ดี อย่าให้เข้ามาแทรกสิงจิตใจของเรา ว่าอันนี้พระพุทธเจ้าตรัสไว้ไม่ถูก อันนั้นตรัสไว้ไม่ถูก ถูกหมด ที่ไม่ถูกก็คือตัวกิเลสนั่นละเข้าไปขัดธรรม ถ้าเกิดภายในใจของเรา ก็เรานั้นแหละเป็นข้าศึกต่อธรรมของพระพุทธเจ้า ให้ระมัดระวังให้เคารพ

เดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนาเอาให้จริงให้จัง โลกอันนี้ดังที่เห็นมาแล้วนี้ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เพราะโลกนี้ผลิตขึ้นจากอำนาจของกิเลส จะเอาความประเสริฐเลิศเลอมาจากไหน ก็เต็มไปด้วยความทุกข์ความทรมาน เกิดภพใดชาติใดมีแต่ความหมุนเวียน การที่เต็มไปด้วยความทุกข์ความลำบาก ท่านว่า ชาติ ทุกฺขา ว่ายังไง ชราปิ ทุกฺขา มรณมฺปิ ทุกขํ มีสุขที่ตรงไหนแทรกอยู่ในนั้น มีแต่ความทุกข์ความทรมานตลอดมา เพราะความเกิดแก่เจ็บตายนี้พาให้เป็นไป แล้วความทุกข์ทั้งหลายก็ติดแนบกันไปอย่างนี้มันวิเศษวิโสอะไรที่ไหน พอที่จะให้ตื่นเต้นเป็นบ้าเป็นหลังไปอะไรกับเขาที่เคยเป็นและเราก็เคยเป็นมาแล้ว ตื่นอะไร

เอาให้จริงให้จังในอรรถในธรรมทั้งหลาย ปฏิบัติตนให้ตรงแน่วตามพระโอวาทใครจะว่าอะไรก็ตามเถอะ พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ นี้เป็นหัวใจของเรา ฝากเป็นฝากตายกับท่านแล้ว ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ นี้เป็นธรรมชาติที่เลิศเลอที่ฝากเป็นฝากตายได้โดยสมบูรณ์ไม่ต้องสงสัยแล้ว ไม่เหมือนกับลมปากที่เต็มไปด้วยความสกปรกของกิเลสฟุ้งออกมาแล้วหลอกท่านั้นหลอกท่านี้ ว่าดีอย่างนั้นไม่ถูกอย่างนี้ เมื่อเชื่อไปตามก็เหลวทั้งเพไม่เกิดประโยชน์อะไร อันนี้เคยเป็นมาแล้วเคยเหลวมาแล้ว เพราะเคยถูกต้มมาจากกิเลสนานแสนนานมากต่อมากแล้วให้พากันจดจำ

พระโอวาทนี้ไม่เคยต้มใคร เอานี้เป็นเครื่องเทียบเคียงกัน พระโอวาทของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันที่เราปฏิบัติกับท่านอยู่นี้เป็น ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์นับพอประมาณ ไม่เคยมีพระโอวาทบทใดบาทใดต้มสัตว์ทั้งหลายให้ล่มจมฉิบหายป่นปี้เลย เราปฏิบัติตามหลักธรรมนี้จะเกิดความฉิบหาย เอ้า ให้เห็นต่อหน้าต่อตานี้ ให้ได้รู้เสียทีว่าศาสนาพระพุทธเจ้านี้พาโลกให้ล่มจม มีเราเป็นอันดับหนึ่ง ให้รู้อย่างนี้

นี้มันมีแต่กิเลสพาให้ล่มจมฉิบหาย เพราะความหลอกลวงของมัน เราก็ยังไม่เข็ดไม่หลาบ ยังเดินต้อยๆ ตามกิเลส จนถลอกปอกเปิกไม่มีเนื้อมีหนัง ไม่มีจิตมีใจที่จะพอธรรมแทรกเข้าได้นะ จะเป็นไปตั้งแต่กองกิเลสเต็มไปหมดในหัวใจของเรานี่ ให้พากันตั้งใจ

เดินจงกรม เอ้าเดิน มันจะเมื่อยขนาดไหน นี้คือทำงาน นั่งสมาธิ เอ้านั่งลงไป ถ้าว่าจะให้เป็นความสงบก็เอาอารมณ์แห่งสมถะคือพุทโธหรือธรรมบทใดก็ตาม ให้ความรู้แน่วอยู่นั้นประหนึ่งว่าโลกนี้ไม่มี มีแต่ความรู้กับคำบริกรรมที่สัมผัสสัมพันธ์กันอยู่แย็บๆๆ เท่านั้น จิตไม่ยอมให้คิดให้ปรุงไปทางไหน เพราะเคยคิดเคยปรุงเคยหลอกลวงเราด้วยความคิดนี้มาแล้ว นี่ก็ควรจะเข็ด ธรรมไม่เคยหลอกลวงใคร ความปรุงของธรรมกับความปรุงของกิเลสมันต่างกัน ความปรุงของธรรมเช่นอย่างพุทโธๆ นี้ ปรุงเพื่อความสงบเพื่อความเย็น เพื่อความสะดวกสบาย เพื่อความเลิศเลอสำหรับหัวใจเรา ไม่ใช่เพื่อความเลวทราม ไม่ใช่เพื่อความทุกข์ความทรมานดังกิเลสพาปรุงพาแต่งไป มันผิดกันที่ตรงนี้

ถ้าจะพิจารณาทางด้านปัญญาก็เอาให้จริงให้จัง พินิจพิจารณาจริงๆ ดังที่เคยพูดแล้ว กรรมฐานเที่ยวในสกลกายของเราทั้งภายนอกภายใน เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เรื่อยๆ ไปถึงเนื้อถึงหนังถึงเอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า พิจารณาให้เห็นตามความจริงของมันที่มีอยู่ อย่าไปเสกสรรปั้นยอว่าเป็นของสวยของงาม เป็นสิ่งที่น่ารักใคร่ชอบใจ

มันน่ารักใคร่ชอบใจอะไร ถ้าเป็นกระดูกเราก็ดูซี กระดูกอยู่ข้างถนนเป็นยังไงกับกระดูกของเรามันผิดกันตรงไหน กระดูกของหญิงของชายใดมันก็เหมือนกัน เป็นเนื้อเป็นหนังเหมือนกัน เน่าเฟะเกลื่อนถนนอยู่นั้นเห็นไหม มันวิเศษวิโสที่ตรงไหน นั่นแหละกิเลสมันเสกให้วิเศษวิโส มันเสกว่าน่ารักน่าชอบใจ เมื่อหลงไปตามมันแล้วก็พันคอเจ้าของนั่นแหละมันจะไปไหน

ส่วนธรรมท่านไม่เป็นอย่างนั้น คลี่คลายออกให้เห็นตามความจริง ไม่เสกไม่สรรปั้นยอเลยความจริงไป ความจริงท่านพูดถึงว่าอสุภะอสุภัง มันสกปรกจริงๆ นี่ท่านหลอกที่ไหน ถ้าพูดถึงเรื่อง อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา มันก็เป็น อนิจฺจํ จริงๆ แปรสภาพอยู่ตลอดเวลาจริงๆ ทุกฺขํ บีบบังคับตลอดเวลา อนตฺตา เอาสาระแก่นสารอะไรจากสิ่งเหล่านี้ได้ ใครเกิดมาก็มายึดมาถือชั่วกาลชั่วเวลาแล้วก็สลายลงไป พังลงไป ได้ประโยชน์อะไร แน่ะ

ทีนี้ความทุกข์ที่ฝังอยู่ในหัวใจไม่ได้สลายนั้นซีมันลำบากนะ ไปเกิดในภพใดชาติใดหาบแต่กรรมชั่ว ด้วยความพอใจในการทำความไม่ดีของตน ผลก็เป็นวิบากอันทุกข์อันเดือดร้อนมหันตทุกข์ขึ้นมาภายในจิตใจ ตามวิบากแห่งตนที่ทำไว้มากน้อยหรือหนักเบาเพียงไรนั่นแล ไม่มีผู้อื่นผู้ใดที่จะไปรับบาปรับกรรมรับความทุกข์ทรมานที่ทำนั้นได้ เราต้องเป็นผู้เสวยกรรม ท่านจึงว่า กมฺมสฺสโกมฺหิ กมฺมทายาโท กมฺมโยนิ กมฺมพนฺธุ กมฺมปฏิสรโณ มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย

ถ้าเราทำดีกรรมดีก็ให้ผลแก่เรา ถ้าเราทำกรรมชั่ว กรรมชั่วก็ให้ผลแก่เรา ทั้งสองอย่างนี้ให้ผลต่างกัน ถ้าเป็นกรรมดีก็ให้ผลเป็นสุขไปเรื่อยๆ ตามแต่วิบากแห่งกรรมดีนั้นมีมากมีน้อย กรรมชั่วก็เช่นเดียวกันให้ผลไปทางความทุกข์ความลำบาก มากน้อยตามอำนาจแห่งกรรมชั่วที่ตนทำไว้มากน้อยเพียงไร ไม่มีใครที่จะแบ่งสันปันส่วนจากกันและกันได้สิ่งเหล่านี้ เพราะฉะนั้นเราจึงควรระมัดระวังเรื่องความไม่ดี

กมฺม แปลว่าอะไร แปลว่าการกระทำ เรามีอำนาจแห่งการทำกรรม แต่กรรมเมื่อเราทำแล้วก็มีอำนาจที่จะให้ผลแก่เรา นี่มันเปลี่ยนเรื่องกัน ทีแรกเรามีอำนาจทำกรรม แต่เวลาทำกรรมลงไปแล้วกรรมก็มีอำนาจ วิบากแห่งกรรมนั้นก็มีอำนาจให้ผลแก่เรา เช่น ยกตัวอย่าง เอ้า เอากลางๆ นะไม่เป็นบุญเป็นบาป เช่นเรารับประทานลงไปนี้ รับประทานลงไปเรื่อยๆ เป็นยังไง ก็ให้ผลไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงความอิ่ม เราบังคับให้มันเลยกว่านั้นเป็นยังไงที่นี่ มันดีไหม ไม่ดี เมื่อถึงความอิ่มพอแล้วก็ ฟังแต่ว่าพอนั้นเถอะ นี่ก็เป็นอย่างนั้นแหละ ถ้ารับมากๆ แล้วก็เป็นเหมือนชูชกเห็นไหม เขียนเป็นประวัติไว้นั้นเพื่ออะไร ก็เพื่อความโลภความไม่รู้จักประมาณ ความไม่มีเมืองพอ ให้ได้รู้เรื่องรู้ตัวให้อยู่ในความพอดีจะเป็นสุข สมกับอาหารหล่อเลี้ยงโลกมานานแสนนานไม่รู้กี่กัปกี่กัลป์แล้ว อย่าให้มาเป็นภัยแก่ตนเพราะความโลภ ไม่ถูกต้องอะไรเลย นี่แหละข้อเปรียบเทียบเป็นอย่างนี้

การประพฤติปฏิบัติตัวให้มีความเข้มแข็ง ให้มีความจริงใจต่อทุกสิ่ง อย่าเหลาะแหละ นิสัยเหลาะแหละนี้ไม่ดีเลย หลักพระพุทธศาสนาไม่ใช่หลักธรรมแห่งความเหลาะแหละ พระพุทธเจ้าไม่ใช่องค์เหลาะแหละ ธรรมจึงไม่ใช่ธรรมเหลาะแหละพอที่จะสอนคนให้เหลาะแหละ ทำอะไรให้มีความจริงความจัง มีสติมีปัญญาสอดแทรกอยู่ทุกระยะกาลและทุกหน้าที่การงานของตนที่ทำลงไป นั่นแหละชื่อว่าผู้ปฏิบัติ

นักบวชเป็นนักใคร่ครวญ เป็นผู้อดทนก็อยู่ที่นี่ ความอุตส่าห์พยายาม ความพินิจพิจารณา ความมีสติอยู่ที่นี่ อยู่ที่นักบวช ถ้านักบวชไม่มีแล้วใครจะมีในโลกนี้ เพราะธรรมเหล่านี้เป็นธรรมเครื่องทรงมรรคทรงผลแท้ๆ ถ้ามีสติปัญญา มีความพากเพียร มีความอุตส่าห์พยายาม มีความจงใจในทางความดีแล้ว ความดีนั้นแหละจะเป็นสมบัติของเรา เราจะเป็นผู้ทรงมรรคทรงผลโดยไม่ต้องสงสัย เพราะความจริงจังในการกระทำทุกอย่าง ให้พากันจำเอา

คำว่าธรรมเพียงเท่านี้ละ เป็นคำที่เหมาะมากแล้ว คือจะแปลให้มากยิ่งกว่านี้ไม่มีอะไรจะเหมาะจะถูกต้องดีงามเลย ถ้าเราอยากจะทราบว่าธรรมเป็นอย่างไรแล้วขอให้ปฏิบัติใจของตน เริ่มตั้งแต่สมาธิธรรมขึ้นไปเถอะ ธรรมเป็นอย่างไร อ๋อ นี่ธรรมเป็นอย่างนี้ แขนงของธรรมคืออะไร เช่นอย่างจิตเป็นสมาธิ นี่ก็สมาธิธรรม นั่นฟังซิ แยกเป็นประเภทๆ สมาธิธรรม ปัญญาธรรม วิมุตติธรรม นั่นเป็นยังไงที่นี่ เรียกว่าธรรมทั้งนั้น เหมาะสมกับผู้ที่ทรงจะรู้จะเห็นจะเข้าใจในคำว่าธรรม แต่จะพูดออกมาว่าธรรมแปลว่างั้นแปลว่างี้ แปลวันยังค่ำก็กลายเป็นลมเป็นแล้งหาที่สุดยุติไม่ได้เลย นั่น เราพูดได้ให้เหมาะที่สุดก็คือว่าธรรม เช่นขอความเป็นธรรม

คำว่าธรรมนี้ครอบไว้หมดทั้งเหตุทั้งผลความยุติธรรม นี่ละธรรมที่กล่าวนี้อะไรจะเป็นผู้ทรง และอะไรจะเป็นผู้สัมผัสรับรู้ อะไรจะเป็นผู้รับรสรับชาติแห่งธรรมเหล่านี้ และใครจะเป็นผู้หายสงสัยล่ะ ก็คือใจนั่นแหละจะเป็นผู้ทราบทุกอย่างในบรรดาธรรมทั้งหลาย เพราะใจเป็นภาชนะที่รวมแห่งธรรมทั้งหลาย ขอให้ทุกท่านตั้งใจประพฤติปฏิบัติ อย่าทำเหลาะๆ แหละๆ นะ ธรรมพระพุทธเจ้าไม่ได้พาพวกเราให้เหลาะแหละ เรามันเหลาะแหละเอง ถูกกิเลสมันฉุดมันลาก ทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอัน เหลวไหล สุดท้ายก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร

ไปอยู่กับครูกับอาจารย์องค์ไหนก็ไป แต่ความเหลาะแหละนั้นละมันเหยียบหัวไปนั่นซิ จนหัวคะมำลงไป เงยหน้าขึ้นสู่ธรรมทั้งหลายไม่ได้ มีแต่ความเหลาะแหละของใจ เพราะอำนาจของกิเลสนี้แหละ ไปที่ไหนก็ไม่ได้เรื่องได้ราว ไปอยู่กับครูบาอาจารย์องค์ไหนๆ องค์ปรากฏชื่อลือนามโด่งดังขนาดไหนก็มีแต่ท่าน ตัวเราเองก็ไม่เป็นท่า เพราะเราทำแบบไม่เป็นท่า จะเอาอะไรมาเป็นท่าล่ะ

นี่มาศึกษาเพื่ออะไร ดังที่ท่านทั้งหลายมาสู่ที่นี่มาเพื่ออะไร ผมก็ได้แต่ให้การแนะนำสั่งสอนอุบายต่างๆ เท่านั้น แต่การประกอบความพากเพียรที่จะให้ดีให้เด่นมากน้อยเพียงไรนั้น เป็นหน้าที่ของท่านทั้งหลายจะพึงขวนขวายเข้ามาสู่ตนเต็มสติกำลังความสามารถ จนถึงขั้นวิมุตติหลุดพ้น ธรรมของพระพุทธเจ้าไม่ได้กีดกัน เปิดทางให้ตลอดเวลาสำหรับผู้ปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพาน ไม่มีคำว่าลำเอียง

ขอให้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติถ้าอยากทรงมรรคทรงผล ทรงความบริสุทธิ์วิมุตติหลุดพ้น ดังพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลายท่านทรง และไม่สงสัยว่าพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร พระสาวกเป็นอย่างไร ที่ท่านบริสุทธิ์แล้วท่านบริสุทธิ์อย่างไร เราจะได้เอาใจของเรานี้เป็นสักขีพยานยืนยันกันเลย ร้อยเปอร์เซ็นต์จะไม่สงสัยพระพุทธเจ้า ไม่สงสัยความบริสุทธิ์ของท่าน เพราะเราไม่สงสัยในความบริสุทธิ์ของเราว่าเป็นอย่างนี้ นั่น

เอาละการแสดงธรรมก็เห็นว่าสมควร รู้สึกเหนื่อยๆ


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก