พวกเราเป็นนักบวชและนักปฏิบัติ ถ้าจะถือเป็นขั้นก็นับว่าเป็นขั้นที่สูง เป็นอันดับที่สูงกว่าขั้นใด ๆ การเรียนก็ยังไม่หนักแน่นอะไรนัก แต่การปฏิบัตินี้ต้องมีความหนักแน่นทุกสิ่งทุกอย่าง ใช้ความพินิจพิจารณา ใช้สติปัญญามาก ยิ่งการปฏิบัติจิตเพื่อจะให้ได้ผลตามพระโอวาทที่ทรงสอน และให้ได้ผลดังที่พระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลายท่านทรงได้รับมาแล้วนั้น ต้องได้ใช้ความพินิจพิจารณามากมาย ในขั้นต้นก็คือสติ สติเป็นธรรมจำเป็นมากในทุกกาลสถานที่และหน้าที่การงานทุกประเภท ไม่เลือกเว้นในการที่จะไม่มีสติเข้าเกี่ยวข้อง การปฏิบัติต่อจิตใจนี้ซึ่งเป็นของละเอียดมากยิ่งกว่าสิ่งใด ๆ ในโลก นั่นยิ่งเป็นของสำคัญมาก
กิเลสก็เป็นของละเอียดเช่นเดียวกันกับใจ จึงอาศัยและอยู่ด้วยกันได้เรื่อยมาตั้งแต่กัปไหนกัลป์ใดไม่ทราบแหละ นับไม่ได้เลย และพึงทราบว่าพระโอวาทที่พระพุทธเจ้าทรงประทานแก่สัตว์โลกนั้น เป็นพระโอวาทที่ออกมาจากพระทัยที่บริสุทธิ์สุดส่วน ซึ่งสืบเนื่องมาจากการปฏิบัติที่ถูกต้องสมบูรณ์เต็มที่ในฝ่ายเหตุ จึงทำให้สมบูรณ์เต็มที่ในฝ่ายผลที่ว่าได้ตรัสรู้ ธรรมเหล่านี้เป็นธรรมที่ละเอียดมากที่สุด ซึ่งผู้ปฏิบัติจะต้องได้ใช้ความพินิจพิจารณาตามพระโอวาทแต่ละบทละบาท แต่ละขั้นละตอนอย่างละเอียดลออ ไม่ใช่สักแต่ว่าทำ อย่างนั้นไม่ตรงกับพระโอวาทที่ทรงสั่งสอนด้วยความจดจ่อโดยพระเมตตาของพระพุทธเจ้าสุดส่วนจริงๆ
ถ้าการกระทำ การสำเหนียกศึกษาและปฏิบัติของเรา ไม่ใช้ความพินิจพิจารณาความจงใจจริง ๆ ก็เข้ากันกับพระโอวาทของพระพุทธเจ้าที่ทรงแสดงด้วยพระเมตตาเต็มส่วนไม่ได้ นี่ละเฉพาะอย่างยิ่งวงปฏิบัติเรา ที่ปฏิบัติไม่ได้เหตุได้ผล ไม่รู้ว่าต้นเป็นยังไง ปลายเป็นยังไง หาหลักหาเกณฑ์ไม่ได้ หลักใจก็ไม่มีเพราะหลักธรรมไม่มี หลักธรรมไม่มีเพราะสติขาดวรรคขาดตอนและไม่มีสติ นี่เป็นของสำคัญ หากได้พยายามทำตามจริงๆ ด้วยความจดจ่อต่อเนื่อง และมีความมุ่งหวังอย่างเต็มที่ดังพระพุทธเจ้าและสาวกท่านมุ่งหวัง จนได้สำเร็จผลเป็นที่พอพระทัยและพอใจแล้ว เหตุใดการประพฤติปฏิบัติของพวกเราจะไม่เข้มแข็ง สติจะไม่ดี เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ฝึกได้ ให้มีความคล่องตัวได้เช่นเดียวกับสิ่งอื่นๆ
งานใดก็ตาม ทำทีแรกย่อมไม่สะดวก ขลุกขลัก แต่ครั้นทำไปๆ ก็เกิดความชำนิชำนาญและคล่องตัว เช่น เราเขียนหนังสือ หลับตาเขียนยังได้ คล่องขนาดไหน ดูซิ นั่นคือความคล่องตัวเพราะความเคยชิน เขียนอยู่เสมอ ทีนี้การพยายามตั้งอยู่เสมอ ตั้งสติ ย่อมจะเป็นสติที่สืบเนื่องกันไปได้ กลายเป็นสัมปชัญญะความรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา จากความรู้ตัวของสติแล้วก็จะทำจิตของเราให้สงบเย็น เพราะสติหรือสัมปชัญญะนั้นเป็นเครื่องรักษาอยู่ตลอดเวลา จิตไม่หาเรื่องหาราวมาก่อกวนตัวเองย่อมเป็นจิตสงบ
ที่จิตไม่สงบนั้นเพราะอะไร เพราะเรื่องราวนั้นเกิดขึ้นจากใจเอง โดยไม่มีสติตามควบคุมหรือรักษา จึงเล็ดลอดออกไปสู่อารมณ์นั้นอารมณ์นี้ และร้อยทั้งร้อยเป็นอารมณ์ที่เป็นภัยเสียทั้งนั้น แล้วจะหาความสงบร่มเย็นจากอารมณ์ที่เป็นภัยเข้ามาก่อกวนนั้นได้อย่างไร ถ้าอารมณ์ก็ต้องเป็นอารมณ์เพื่อความสงบ ที่ท่านเรียกว่าอารมณ์แห่งสมถะ การกำหนดธรรมบทใดก็ตามนั้นเรียกว่าอารมณ์ คือนำธรรมนั้นมาเป็นอารมณ์ อารมณ์ที่จะให้เป็นสมถะคือความสงบใจ ต้องเป็นอารมณ์ที่นิ่งอยู่กับที่ไม่กระจายไปสู่สิ่งใด ไม่เหมือนปัญญา เช่นกำหนดลมหายใจ หรือพุทโธ พุทเข้า โธออกอย่างนี้ก็เรียกว่าอารมณ์ แต่อารมณ์เหล่านี้เป็นอารมณ์เพื่อความสงบใจ ไม่ใช่อารมณ์เพื่อความก่อกวนใจให้ได้รับความทุกข์ นี่ต่างกันที่ตรงนี้
ผู้ปฏิบัติจึงควรใช้ความพินิจพิจารณาด้วยดี และนำอารมณ์ที่ว่านี้เข้ามากำกับใจ ใจบางครั้งทั้งๆ ที่เราใช้คำบริกรรมอย่างเด่นชัดๆ รู้ชัดเห็นชัดอยู่ในคำบริกรรมของตนก็ดี เวลาจิตค่อยละเอียดเข้าไปนี้ คำบริกรรมจนไม่ปรากฏก็มี นี้เป็นไปได้ในวงปฏิบัติ คำว่าพุทโธก็ดีอะไรก็ดี ไม่ปรากฏเลยอย่างนั้นก็มี เมื่อไม่ปรากฏเราก็ให้รู้อยู่กับความรู้ ไม่เกี่ยวกับคำบริกรรมใดๆ แต่รู้ด้วยความมีสติกำกับอยู่นั้นแลปราศจากสติไม่ได้ ให้มีความรู้อยู่เช่นนั้น จิตก็จะสงบเย็น หรือมิฉะนั้นเราจะใช้อุบายปัญญา เอ้า พาก้าวทางด้านปัญญา เพราะความสงบประเภทนี้มีความคิดอ่านไตร่ตรองได้เป็นธรรมดาไม่ขัดกัน
พาเดินกรรมฐานซิ กรรมฐาน ๕ กรรมฐานอาการ ๓๒ เหล่านี้เป็นกรรมฐาน คืองานที่ควรทำ และงานที่เหมาะสมของการปฏิบัติธรรมอย่างยิ่งอยู่แล้ว เราจะเที่ยวกรรมฐานในสกลกาย เบื้องบนเบื้องล่าง เบื้องขวางสถานกลางภายในร่างกายของเรานี้ โดยไปในส่วนต่างๆ ของร่างกายหรืออวัยวะต่างๆ อาการต่างๆ ของร่างกายนี้ ก็ชื่อว่าเที่ยวกรรมฐาน ทำงานที่ถูกต้องตามหลักธรรม ท่านเรียกว่ากรรมฐาน แปลว่าที่ตั้งแห่งการงานของผู้ปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์หรือเพื่อการถอดถอนกิเลส ต้องถืองานเหล่านี้เป็นพื้นฐานอันสำคัญมาก นั่น ท่านจึงให้ชื่อว่ากรรมฐานๆ
กรรมฐาน ๕ ก็คือฐานที่ตั้งแห่งงาน ๕ ประการ ได้แก่ เกสา โลมา นขา ทนฺตา ตโจ เป็นพื้นฐานก่อนในเบื้องต้น ต่อจากนั้นที่นี่มีโอกาสหรือว่าเป็นความโล่งโปร่งภายในจิตใจ คิดอยากจะพิจารณาอยากเที่ยวกรรมฐานภายในตัวของเราเราก็เที่ยวได้ เอ้า เบื้องบนก็ขึ้นศีรษะซี ดูผมดูหนังอยู่บนศีรษะ หุ้มห่อกะโหลกศีรษะอยู่ กะโหลกศีรษะนั้นคืออะไรเป็นอะไร โลกทั้งโลกเขาก็ให้ชื่อว่ากระดูก มันเป็นสัตว์เป็นบุคคลที่ไหนกัน ฟังซิกระดูก ทิ้งเกลื่อนอยู่ตามถนนหนทางไม่เห็นมีความหมายอะไร แต่กระดูกบนศีรษะเรานี้ทำไมจึงมีความหมายนักหนา ในโลกอันนี้ติดกันเพราะกระดูกนี้ทั้งนั้น ใครเป็นคนผ่านกระดูกนี้ไปได้ เพราะอะไร เพราะความสำคัญของกิเลสเสกสรรขึ้นมาให้สิ่งเหล่านี้มีคุณค่ามีราคา ทั้งๆ ที่มันไม่มีราคานั่นเอง นี่ละเรียกว่าเป็นเครื่องหลอกอันหนึ่งๆ
เพราะฉะนั้นการท่องเที่ยวกรรมฐานดังที่ว่านี้ จึงเป็นการเข้าไปแก้ไขเหตุการณ์ที่พัวพันกันอยู่โดยหาเหตุหาผลไม่ได้ ซึ่งเกิดขึ้นจากความหลอกลวง ความสำคัญมั่นหมายผิดๆ ของกิเลสประเภทต่างๆ ด้วยปัญญาของเรา ให้พินิจพิจารณากำหนดดูเข้าไปจากกะโหลกศีรษะแล้วเข้าไปในมันสมองเป็นยังไง มันเต็มไปด้วยของปฏิกูลโสโครก เป็นสัตว์ที่ตรงไหน เป็นบุคคลที่ตรงไหน เป็นเราเป็นเขาที่ตรงไหน เป็นหญิงเป็นชายที่ตรงไหน ดูให้ชัดด้วยปัญญา มีสติเป็นผู้ควบคุมในการดูงานนั้นๆ แล้วจิตจะเพลินพิจารณา จะเพลินทำงานหรือเพลินเที่ยวกรรมฐาน
เอ้า ขึ้นข้างบนจนหมดลงเรื่อยไปหมดนั่นแหละเพราะเป็นกรรมฐาน เป็นที่ท่องเที่ยวของจิตตภาวนาด้วยกันทั้งนั้น เดินลงไป หนังหุ้มกระดูกนี้ดูซิ หนังหุ้มเนื้อห่อเนื้อ ตจปริยนฺโต หนังหุ้มรอบหรือหนังหุ้มอยู่โดยรอบ แน่ะ ถ้าไม่มีหนังแล้วเป็นอย่างไร คนทั้งคนทั้งเขาทั้งเราดูกันได้ไหม นี้หรือเป็นคน อันหนังหุ้มอยู่นี้หรือเป็นคน หนังก็เป็นแต่ตั้งชื่อขึ้นมาอันหนึ่งต่างหาก และดูตั้งแต่ภายนอกเข้าไปภายใน และดูเนื้อ ดูเอ็น ดูกระดูก ดูเข้าไปให้ลึกซึ้ง เต็มตัวภายในของเรานี้มีอะไรบ้าง มีแต่สิ่งอย่างเดียวกันหมด แบบเดียวกันหมด
ถ้าว่า อนิจฺจํ ก็แปรสภาพเหมือนกันหมดไม่มีอะไรยิ่งหย่อนกว่ากัน ถ้าว่า ทุกฺขํ ก็เหมือนกัน สิ่งใดในร่างกายนี้จะทำเราให้มีความสุขความสบายไม่เห็นมี มีแต่ทำความทุกข์ให้อยู่ตลอดเวลา การเปลี่ยนอิริยาบถต่างๆ นั้นก็เพราะการบรรเทาความบีบบังคับของร่างกายที่เรียกว่าทุกข์ ว่าทุกข์นั่นแล ถ้าไม่เปลี่ยนก็ไม่ได้ มันหนักมากไปทุกข์มากไป จึงต้องผลัดต้องเปลี่ยนอิริยาบถอยู่เรื่อยๆ คำว่า อนตฺตา ก็เหมือนกัน อะไรมันเป็นตัวเป็นตน เป็นสัตว์เป็นบุคคล เป็นเราเป็นเขา มันมีแต่สภาพเป็นความจริงอันหนึ่งๆ แต่ละอย่างๆ ของมันเท่านั้น
นี้ก็เพราะกิเลสนั่นเอง เข้าไปเสกสรรปั้นยอว่าเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ทั้งๆ ที่มันไม่เป็น กิเลสเป็นของปลอม กระจายไปสู่อันใดอันนั้นจึงเป็นปลอมไปหมดหาความจริงไม่ได้ เชื่อความจริงไม่ได้ เราจึงหาหลักเกณฑ์ไม่ได้ ด้วยเหตุนี้จึงต้องเอาปัญญาเข้าไปหยั่งทราบตามความจริงของมันแต่ละอย่างๆ หลายครั้งหลายหนหลายตลบทบทวน จิตใจย่อมมีความสงบเย็น ปล่อยวางสิ่งทั้งหลายเหล่านี้จากคำว่าเป็นสัตว์เป็นบุคคลเป็นเราเป็นเขา หรือเป็นเนื้อเป็นหนังเป็นกระดูกโดยลำดับลงไปเสียได้โดยลำดับลำดา ใจเย็น นั่น
เที่ยวลงไปซิกรรมฐาน ลงไปพื้นเท้าเป็นยังไง ดูหมดรอบตัวของเราเป็นยังไง นี่เวลาที่เราจะเที่ยวกรรมฐาน เอ้า เที่ยวได้ไม่ผิดไม่ขัดต่อจิตตภาวนา ในโอกาสที่ควรจะเที่ยว จิตอยากจะเพลินไปตามสรรพางค์ร่างกายเหล่านี้ละ เอ้าให้เพลินไปเพราะเพลินในกรรมฐาน เที่ยวกรรมฐาน นี่ก็ทำได้ในกาลที่ควรจะทำ ที่เห็นว่าเหมาะสมกับงานของตนในเวลานั้น ที่อยากทำอยากพิจารณาก็ให้พิจารณาไป นี่เรียกว่ากรรมฐาน เที่ยวกรรมฐาน เที่ยวตามป่าตามเขานั้นก็เที่ยวเพื่อทำงานประเภทนี้แล เพื่อหาที่เหมาะสำหรับจะพิจารณากรรมฐานภายใน เที่ยวกรรมฐานภายในให้คล่องตัว ให้แจ่มแจ้งชัดเจน ท่านจึงสอนให้ไปอยู่ในสถานที่ที่เหมาะสมมีรุกขมูลร่มไม้
คำว่ารุกขมูลร่มไม้นี้ก็ไม่ได้หมายถึงว่า จะอยู่ที่นั่นไปจนตลอดชีวิต ไม่เข้าที่มุงที่บังเลยอย่างนั้นไม่ใช่ ย่อมเป็นกาลเป็นเวลา กาลหนึ่งเข้าสู่ร่มไม้เข้าสู่ชายเขา เข้าสู่ถ้ำ หรือเข้าสู่ที่มุงที่บังตามกาลตามเวลา แต่ต้องเป็นสถานที่ที่เหมาะสมกับการภาวนาในอิริยาบถนั้นๆ นี่ท่านเรียกว่าเป็นที่เหมาะสมกับการภาวนา เป็นสถานที่ไม่พลุกพล่านวุ่นวายด้วยฝูงชนและสิ่งก่อกวนทั้งหลาย มีผลัดมีเปลี่ยนสถานที่นั่นที่นี่ นั่นท่านเรียกว่าเที่ยวกรรมฐาน เพื่อทำงานด้วยความสะดวกด้านจิตตภาวนาของเรา
ไม่ใช่ว่ารุกขมูลตั้งแต่วันบวชมาให้อยู่ตลอดชีวิต ที่ท่านว่าให้อุตส่าห์พยายามปฏิบัติไปตลอดชีวิตนั้นก็คือ เข้าๆ ออกๆ เข้าร่มไม้ชายคา เข้ารุกขมูลร่มไม้ เข้าในป่าในเขา ให้ผลัดเปลี่ยนกันในสถานที่ที่เหมาะสมกับการภาวนานี้ตลอดชีวิตเถิด ความหมายว่าอย่างนั้น อย่าได้เข้าไปพลุกพล่านวุ่นวายกับสิ่งที่จะให้เกิดกิเลสตัณหา หรือส่งเสริมกิเลสตัณหาประเภทต่างๆ ให้มากมูนขึ้นในใจ จะเป็นความทุกข์ความเดือดร้อนมาก ไม่สมกับผู้ปฏิบัติเพื่อกำจัดกิเลสออกจากใจ นั่นท่านหมายอย่างนี้ให้พากันเข้าใจเอาไว้
พระโอวาทของพระพุทธเจ้าทุกบททุกบาทนั้น พึงถือว่าเป็นสิ่งสำคัญมากที่เราจะปฏิบัติตาม เช่น รุกขมูล พระพุทธเจ้าก็เคยบำเพ็ญมาได้ผลเป็นที่พอพระทัยเพราะสถานที่เหล่านี้มาแล้ว จึงต้องแสดงสถานที่เหล่านี้อย่างเปิดเผยประจำพระโอวาทหรือศาสนาของพระองค์ไม่ทรงละเว้นเลย พอบวชเข้ามาก็บอกเลยทันที บอกสถานที่เหมาะสมกับการทำงานของเราคือกรรมฐานเหล่านี้
ใจเมื่อได้อบรมอยู่เสมอ บำรุงด้วยสติปัญญาศรัทธาความเพียรอยู่เสมอ ไม่มีสิ่งเข้ามาก่อกวนรบกวนบีบบังคับอยู่เรื่อยๆ มีแต่ฝ่ายดีส่งเสริมอยู่โดยสม่ำเสมอ ย่อมจะค่อยเจริญรุ่งเรืองขึ้นโดยลำดับลำดา ธรรมที่เหมือนกับว่าอยู่ฟากฟ้าแดนดิน เช่น สมาธิธรรม ปัญญาธรรม ก็จะปรากฏขึ้นที่ใจ อ๋อ ธรรมประเภทนี้ปรากฏขึ้นที่ใจความสงบเย็น จนกระทั่งจิตเป็นสมาธินี้ปรากฏขึ้นที่ใจ ไม่ใช่ปรากฏขึ้นที่ฟากฟ้าแดนดินที่ไหนมันก็ทราบเอง ปัญญาก็เหมือนกัน เมื่อได้รับการอบรมอยู่โดยสม่ำเสมอแล้ว จะค่อยแตกแขนงออกไปในกาลอันควรที่เราพาพิจารณา และปัญญานี้เป็นสิ่งสำคัญมากทีเดียวในวงพระศาสนา ปัญญาเป็นสำคัญที่จะฟาดฟันหั่นแหลกกิเลสทุกประเภท ไม่มีกิเลสประเภทใดจะเหนือปัญญาไปได้เลย พระพุทธเจ้าก็ตรัสรู้ด้วยปัญญาเป็นสำคัญ เป็นดาบอันคมกล้าที่สุดเลย ปัญญา
เราจะเห็นได้เวลาปัญญาที่คล่องตัว กำหนดไปถึงจุดไหนจะพังไปเลย กิเลสพังไปๆ เลย ไม่มีที่จะอยู่ได้ นี่คือความแก่กล้าสามารถหรือคล่องตัวของปัญญา จึงเป็นเหมือนกับว่าดาบอันคมกล้าที่สุด ปัญญาก็มีหลายประเภท ตรุณวิปัสสนา นั่น ท่านบอก ปัญญาเพื่อความเห็นแจ้งอย่างอ่อนๆ ไปโดยลำดับ จนกระทั่งมหาสติมหาปัญญา เมื่อถึงขั้นนั้นแล้วอย่างไรก็ไม่มีอะไรคัดค้านต้านทานได้ ขึ้นชื่อว่าข้าศึกคือกิเลสแล้วจะต้องพังไปหมดไม่มีอะไรเหลือ นับวันพังไปๆ หมดไปๆ สิ้นไปโดยลำดับลำดา จนกระทั่งไม่มีอะไรเหลืออยู่ภายในใจด้วยปัญญาประเภทเหล่านี้ นี่เป็นธรรมะเป็นพระโอวาทที่ทรงแสดงไว้อย่างสดๆ ร้อนๆ ประหนึ่งว่าพระองค์ประทับอยู่ต่อหน้าเรา ประทานพระโอวาทด้วยบทธรรมเหล่านี้อย่างแจ่มแจ้งชัดเจน กังวานอยู่ภายในจิตใจของผู้ฟังโดยสม่ำเสมอด้วยความมีสติของตน
ไม่ใช่ธรรมเหล่านี้อยู่ห่างอยู่ไกลจากพระพุทธเจ้า เช่นพระพุทธเจ้าไปปรินิพพานอยู่ทางอินเดีย ธรรมเหล่านี้อยู่ตามคัมภีร์ อยู่ตามความจดจำเพียงเท่านั้น แล้วก็สุดเอื้อมหมดหวังไม่สามารถจะปฏิบัติได้แล้ว เพราะพระพุทธเจ้าผู้ประทานพระโอวาทก็ปรินิพพานไปแล้วและอยู่ไกลด้วย ปรินิพพานอยู่เมืองอินเดียโน่นด้วย นี้ล้วนแล้วแต่เป็นความสำคัญผิดทั้งนั้น ลูบคลำลม ๆ แล้ง ๆ ไปหาความจริงไม่ได้
ความจริงอย่างแท้จริงคืออะไร ท่านสอนว่าอย่างไร นั่น พระโอวาทท่านสอนว่าอย่างไร เหมือนพระพุทธเจ้าประทับนั่งประทานพระโอวาทบทนั้นๆ อยู่ต่อหน้าต่อตาของเรานั่นแล จึงเข้ากันได้กับที่ว่า พระธรรมและพระวินัยนั้นแลจะเป็นศาสดาแทนเราตถาคตเมื่อเราผ่านไปแล้ว คือเรานิพพานไปแล้ว ให้พึงพากันเคารพหลักธรรมหลักวินัยซึ่งเท่ากับเคารพศาสดา และให้พยายามเดินตามพระโอวาททั้งสองประเภทนี้ คือพระธรรมพระวินัย อย่าให้คลาดเคลื่อน สิ่งใดที่พระพุทธเจ้าเห็นว่าเป็นโทษให้พยายามระมัดระวัง เช่นกับเสือร้ายตัวหนึ่ง หรือไฟ มันจะเผาไหม้ได้จริงๆ ไม่สงสัยถ้าประมาท เสือร้ายก็เหมือนกัน
นี่กิเลสแต่ละประเภทๆ เท่ากับเสือร้ายด้วย เสือร้ายยังเป็นกาลเป็นเวลาที่บีบบี้สีไฟหรือทำอันตรายแก่คน แต่กิเลสนี้มีอยู่เป็นประจำตลอดเวลาและกล่อมสัตว์โลกได้อย่างสนิทปิดหูปิดตา ไม่สามารถที่จะทราบว่ามันเป็นภัยได้เลย ก็เพราะกิเลสนี้เองเป็นตัวที่แหลมคมมากจึงแก้กันได้ยากที่สุด ด้วยเหตุนี้จึงต้องได้ใช้ความพินิจพิจารณาให้มากในการแก้หรือการถอดถอนกิเลส อย่าทำสักแต่ว่าทำ อย่าสุ่มอย่าเดา ให้ตั้งอกตั้งใจทำ
การประพฤติปฏิบัติธรรม คำว่าประพฤติปฏิบัติธรรมนี้มันมีกิเลสกีดขวางอยู่ในการดำเนิน จึงต้องได้ชำระซักฟอกกิเลสเข้าไปโดยลำดับ นี่แหละท่านเรียกว่าปฏิบัติธรรม คือปฏิบัติเพื่อรู้เพื่อเห็นธรรม ด้วยการชำระสิ่งสกปรกโสมมทั้งหลายที่หุ้มห่ออยู่ภายในจิตใจไม่ให้มองเห็นธรรมได้ไปโดยลำดับลำดา จนกระทั่งจิตที่ไม่เคยสงบก็สงบได้ สงบได้มากได้น้อยเป็นลำดับลำดา และเป็นต้นทุนหนุนศรัทธาความเชื่อของเราให้ขยับตัวขึ้นไปเรื่อยๆ ความพากเพียรก็จะหมุนตามๆ กันมาเป็นเหมือนกับแม่เหล็ก ผลอันนั้นเป็นเหมือนแม่เหล็ก เครื่องดึงดูดความพากเพียรความอุตส่าห์พยายามทั้งหลายให้เดินตาม หรือรวมกันเป็นพลังขึ้นมาภายในจิตใจของเรา
ที่นี่คำว่าสมาธิ คำว่าสมาธินั้นหมายถึงจิตที่มีฐานเป็นของตัวเอง ถ้าจะแปลตามหลักนักปฏิบัติจริงๆ ที่รู้ที่เห็นเรื่องของความสงบและเรื่องของสมาธิแล้ว ต้องเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ ใครรู้ก็จะรู้เหมือนกันนี้ เห็นก็เห็นเหมือนกันนี้ ถ้าได้ปฏิบัติควรจะรู้จะเห็นจะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นี่หลักใหญ่อยู่ตรงนี้ คำว่าจิตเป็นสมาธินั้นหมายถึง จิตที่มีความสงบเข้าหลายครั้งหลายหน จนตั้งเป็นฐานของตนขึ้นมาได้แน่นหนามั่นคงอยู่ภายในจิตใจ แม้จิตจะคิดจะปรุงเรื่องอะไรๆ อยู่ก็ตาม ในขณะนั้นเรากำหนดลงดูจุดแห่งความรู้นั้น จะเห็นความแน่นหนามั่นคงเป็นของตัวอยู่โดยลำพังเป็นปกติ นี่เรียกว่าจิตเป็นสมาธิ จิตสงบ สงบตัวหลายครั้งหลายหนนั่นละเข้าเป็นสมาธิ แต่เวลาพูดเราก็พูดว่า ทำสมาธิหรือจิตรวมเข้าเป็นสมาธิ ให้พึงทำความเข้าใจเอาไว้ว่าเป็นอย่างที่กล่าวมานี้
ที่นี่คำว่าจิตออกก้าวทางด้านปัญญานั้น เวลาที่จิตสงบแน่วอยู่นั้นไม่ควรรบกวน นอกจากว่าจิตให้สงบอยู่เฉย ๆ ก็ได้และมีการคิดอ่านไตร่ตรองได้อยู่ จะคิดอ่านไตร่ตรองก็ได้ ด้วยความสงบของจิตนั้น ๆ อย่างนี้เราจะพิจารณาทางด้านปัญญาเป็นกาลเป็นเวลา คือเปลี่ยนระยะกันไปกับสมาธิก็ได้ การพิจารณาทางด้านปัญญาต้องได้ใช้ความพินิจพิจารณาพาคิดพาอ่านนะ เราอย่าปล่อยให้ว่าปัญญานี้จะเกิดเองเมื่อมีสมาธิแล้ว เราอย่าเข้าใจอย่างนั้น ถ้าหากท่านผู้เป็นขิปปาภิญญาที่รู้ได้เร็วนั้นมีทางเป็นไปได้ แต่พวกถูพวกไถถลอกปอกเปิกอย่างพวกเรานี้ จะต้องได้ใช้ความพินิจพิจารณาด้วยการฉุดการลากการพาทำงาน บังคับให้ทำงานโดยทางปัญญา คือถ้าจิตสงบก็สงบอยู่อย่างนั้น เราจะเห็นแต่ความสบายในความสงบ เห็นความแปลกประหลาดอัศจรรย์อยู่เพียงความสงบ เพราะไม่เห็นสิ่งที่ประเสริฐเลิศเลอยิ่งกว่านั้นจึงไม่สนใจ
ความจริงเรื่องของปัญญานี่เป็นทางก้าวเดินที่จะให้เข้าสู่ธรรมอันละเอียด จิตอันละเอียด และเห็นกิเลสประเภทละเอียด ฆ่ากิเลสทุกประเภทไปโดยลำดับลำดาจากปัญญานี้ ไม่ใช่จากสมาธิ สมาธิเป็นความสงบตัว เป็นต้นทุน จิตไม่ฟุ้งซ่าน จิตอิ่มตัวไม่คิดโน้นคิดนี้ยุ่งเหยิงวุ่นวาย ด้วยความหิวโหยในอารมณ์ทั้งหลาย มีความอิ่มตัวอยู่ด้วยความสงบเย็น นี่เป็นผลอันหนึ่ง เมื่อมีผลอันนี้แล้วก็เท่ากับเรามีต้นทุน เอ้า ทีนี้พาคิดอ่านไตร่ตรองทางด้านปัญญา เมื่อจิตค่อยพิจารณาทางด้านปัญญาคลี่คลายกันออกไปโดยลำดับลำดา จนจิตเห็นคุณค่าของปัญญาว่าได้เข้าใจกิเลสประเภทนั้น เข้าใจประเภทนี้ และได้เข้าใจอาการแห่งร่างกายทั้งหลายส่วนนั้นส่วนนี้ เข้าใจเรื่องเวทนาสุขทุกข์เฉยๆ ทั้งทางร่างกายและจิตใจส่วนนั้นส่วนนี้เข้าไปโดยลำดับแล้ว ย่อมจะลุกลามไปเรื่อยๆ ที่นี่
ทั้งส่วนร่างกายคือรูปขันธ์ ทั้งเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันเป็นนามขันธ์เรื่องของปัญญาจะค่อยกระจายตัวไปเรื่อยๆ รู้ไปเรื่อยเห็นไปเรื่อย และจะปลุกสติปัญญาให้มีความตื่นตัวขึ้นไปเรื่อยๆ ขยับขึ้นไปเรื่อยๆ ด้วยอำนาจแห่งความเพียร เพราะเห็นผลเป็นพยานอยู่ภายในจิตใจอยู่แล้ว นี้ละที่นี่จิตจะค่อยก้าวขยายตัวออกจากสมาธิเป็นปัญญา
ในการปฏิบัติระหว่างสมาธิกับปัญญานี้ ที่ให้ถูกต้องดีงามเหมาะสมราบรื่นนะ ในขณะที่จิตสงบเราอย่าไปกังวลกับการพิจารณาทางด้านปัญญาใดๆ ทั้งสิ้น ให้พยายามทำความสงบจิตให้ได้ มีหน้าที่ที่จะทำสมถธรรมให้ปรากฏ สมถธรรมก็คือความสงบของใจนั่นเอง เมื่อปรากฏแล้วก็อยู่นั้น พักตัวให้สบาย เย็นอยู่นั้น พอถอยออกมาจากนั้นจิตย่อมมีความอิ่มตัวในการอยู่สงบของตน แล้วออกเที่ยวเหมือนกัน นั่นละขณะที่จิตจะออกเที่ยว อยากคิดอยากปรุงเรื่องนั้นเรื่องนี้ นั้นแหละนำปัญญาเข้าไปหรือว่าไสจิตนี้เข้าไปสู่ทางด้านปัญญา ให้พิจารณา พาทำงาน
เอ้า จะทำงานอะไร เพราะในโลกธาตุนี้มีแต่เรื่องเป็นทางเดินของปัญญาทั้งนั้น เป็นหินลับปัญญาทั้งนั้น ไม่ว่าภายนอกไม่ว่าภายใน ทั้งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ทั้งหมดในร่างกายนี้เป็นหินลับปัญญาทั้งนั้น เป็นทางก้าวเดินเพื่อปัญญาอันคมกล้า เอ้า จะออกไปสัมผัสสัมพันธ์กับสิ่งภายนอก ไม่ว่ารูปใด ชนิดใด เสียงใด ตลอดถึงสัตว์ถึงบุคคลใดที่เข้ามาสัมผัสสัมพันธ์กับสติปัญญาที่เตรียมพร้อมเพื่อรู้ เพื่อเห็น เพื่อเข้าใจ เพื่อละเพื่อถอนอยู่แล้ว ย่อมจะรู้จะเข้าใจ จะละจะถอดถอนไปโดยลำดับลำดา นี่ละปัญญา ปัญญาเริ่มก้าว ก้าวอย่างนี้ละ มองไปไหนมีแต่เรื่องของปัญญาที่จะทำงาน ที่จะก้าวเดินเพื่อความรู้แจ้งแทงทะลุ เพราะเวลาติดมันติดหมด
จิตใจเราอย่าเข้าใจว่าติดเฉพาะกายเฉพาะจิตของตัวเองเท่านั้น แย็บออกไปทางไหนมันติดๆ ติดไปหมด เพราะฉะนั้นเวลาพิจารณามันจึงกระเทือนไปหมดเลย อยู่ไม่ได้ถึงขั้นปัญญาที่จะกระเทือนโลกแล้ว ต้องเหมือนกับไฟได้เชื้อลุกลามไปเรื่อยๆ เมื่อมีอะไรสัมผัสสัมพันธ์ แม้แต่ไม่มีก็เสาะแสวงหาเหตุหาผลเรื่อยไป จนกระทั่งได้เรื่องได้ราวได้เหตุได้ผล แล้วก็ก้าวไปเรื่อยๆๆ นั่นเรื่องของปัญญา
ที่นี่ปัญญาที่เป็นที่แน่นอนต่อความตรัสรู้ เอ้า พูดง่ายๆ เอาให้มันเต็มเม็ดเต็มหน่วยนี้เลย ธรรมพระพุทธเจ้าไม่ใช่เป็นของโกหกโลก จะมาปิดมาบังไว้ทำไม เอาให้เห็นจริงซิ ธรรมพระพุทธเจ้าเป็นธรรมเปิดเผย เอ้า มันควรจะได้ตรัสรู้หรือควรจะได้บรรลุธรรมด้วยธรรมประเภทใด ขั้นที่เป็นความมั่นใจของผู้ปฏิบัตินั้นคือขั้นของปัญญาเริ่มออกก้าวเดิน นี้เริ่มจะเข้าใจแล้ว จนกระทั่งปัญญาออกก้าวเดินไปโดยลำพังตนเองแล้วนี้ละท่านว่าเป็นภาวนามยปัญญา ปัญญาประเภทนี้แลสร้างความแน่ใจให้แก่เจ้าของ สร้างความมั่นใจให้แก่เจ้าของ ว่าอย่างไรก็จะหลุดพ้นแน่ๆ และอย่างไรก็ต้องไม่มีเหลือกิเลส เพราะมันทราบไปในลำดับลำดาของปัญญาที่ก้าวเดิน ไม่ว่าก้าวเดินไปไหนเข้าใจตรงนั้น ตัดตรงนั้น ขาดตรงนั้นไปเรื่อยๆ จิตก็โล่ง โล่งออกไปๆ เรื่อยๆ
การตัดนี้ไม่ใช่อะไรนะ มันเกี่ยวโยงอยู่กับหัวใจของเรานี้ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา เกี่ยวโยงออกไปหมดเลย แต่เราไม่รู้ว่ามันไปเกี่ยวกับเรื่องอะไร เพราะฉะนั้นจึงต้องไปแยกไปแยะสิ่งนั้นสิ่งนี้ให้เป็นที่เข้าใจ แล้วไอ้เรื่องอวิชชามันก็ถอนตัวเข้ามา คือความหลงนั่นละ ความสำคัญมั่นหมายมันหดตัวเข้ามา เพราะปัญญาไปตีต้อนหรือฟาดฟันหั่นแหลกกัน มันก็ถอยเข้ามาๆ ปัญญาคือความเห็นจริงรู้จริง ไม่ใช่รู้ปลอมเห็นปลอม ยึดแบบปลอมๆ เหมือนอย่างกิเลสมันพายึดพาถือ ปัญญาเป็นเครื่องตัดเครื่องฟัน เป็นเครื่องประกาศกังวานขึ้นภายในหัวใจของผู้ปฏิบัติด้วยความสัตย์ความจริง เพราะฉะนั้นเวลารู้แล้วท่านจึงว่า ยถาภูตํ ญาณทสฺสนํ รู้แล้วปล่อยวางไว้ตามเป็นจริง นั่น เมื่อเวลาแปลออกเป็นอย่างนั้น เมื่อรู้สิ่งใดแล้วจิตย่อมปล่อยวางๆ ไว้ตามเป็นจริงๆ แล้วหดตัวเข้ามา พิจารณาไปไหนจิตไม่ขัดไม่ข้อง ขาดสะบั้นไปหมด ทราบชัดว่าจิตนี้ได้ตัดขาดมาโดยลำดับแล้ว นั่น ปัญญาขั้นนี้เป็นอย่างนั้น
ใครยังไม่เคยเป็นก็ตามขอให้เป็นเถอะ เหมือนพระพุทธเจ้าประทับอยู่ตรงหน้านี้แน่ๆ ทีเดียว ไม่ได้เหมือนอื่นเลย พระโอวาททุกบททุกบาทจะเคารพที่สุด เคารพเหมือนกันกับเคารพพระพุทธเจ้าที่ประทับอยู่ต่อหน้าเรานี้แหละ เพราะสดๆ ร้อนๆ ธรรมอันนี้แลจะฉุดจะลากเราให้หลุดพ้นจากทุกข์ในวันนี้ก็ดีพรุ่งนี้ก็ดี หรือวันไหนเดือนใดก็ดีขณะใดก็ดี ไม่ใช่ธรรมอื่น ไม่ใช่สิ่งใดในโลก สิ่งทั้งหลายจะมีเต็มโลกธาตุก็ตาม ไม่ใช่สิ่งที่จะฉุดลากเราให้หลุดพ้นจากทุกข์ มีพระโอวาทที่ถูกต้องแม่นยำที่เรียกว่าสวากขาตธรรมนี้เท่านั้น เพราะฉะนั้นท่านจึงเคารพมากที่สุดเลย
ผลที่สุดสติติดแนบอยู่กับตัว ก็เหมือนกับองค์ศาสดาอยู่กับตัว ปัญญาหมุนตัวเป็นกงจักรหรือเป็นธรรมจักรอยู่ภายในตัว จึงเป็นเหมือนกับศาสดาเป็นผู้ฟาดฟันหั่นแหลกช่วยอยู่ตลอดเวลาภายในจิตใจ ประหนึ่งว่าพระศาสดาประทับให้เห็นอยู่นี่ภายในองค์แห่งสัจธรรมทั้งสี่นี้ เพราะฉะนั้นองค์แห่งสัจธรรมทั้งสี่นี้จึงเป็นสถานที่สร้างความบริสุทธิ์ของจิต ไม่ว่าจิตพระพุทธเจ้า ไม่ว่าจิตของพระอรหัตอรหันต์ ไม่ว่าจิตพระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์ใด จะนอกเหนือไปจากสัจธรรมนี้ไม่ได้ อันนี้จึงเป็นธรรมที่ใหญ่โตมากที่สุด
นี่ละสัจธรรมทั้งสี่คืออะไร ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค นี่เวลาจิตก้าวเข้าไปสู่ปัญญาขั้นภาวนามยปัญญาแล้ว จะไม่หนีจากหลักสัจธรรมทั้งสี่นี้เลย ถือสัจธรรมทั้งสี่นี้เป็นสนามรบสงคราม ฟาดฟันหั่นแหลกกันอยู่ในนั้น เรื่องทุกข์กับสมุทัยไม่เห็นไม่ถือว่าเป็นข้าศึกเป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก แต่ถือเป็นของจริงเช่นเดียวกันกับมรรคกับนิโรธนั่นแหละ เวลาเข้าถึงกันจริงๆ แล้วต่างอันต่างจริง เลยไม่มีอะไรเป็นข้าศึกกัน ทุกข์ก็ไม่เป็นข้าศึกเพราะทุกข์เป็นของจริงอันหนึ่งเท่านั้น นั่น จิตผู้ที่นอกเหนือจากทุกข์มี ผู้ที่จะรู้ทุกข์ว่าเป็นของจริงอันหนึ่งคือจิต จิตเป็นผู้รู้มี นั่น สมุทัยก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่งที่เกิดขึ้นดับไปๆ เมื่อมีสิ่งที่เสริมมันก็ลุกโพลงๆ ขึ้นเช่นเดียวกับไฟ ไฟมีความหมายกับมันอะไรบ้าง แต่ไสฟืนเข้าไปซิ เอาเชื้อไสเข้าไปซิ มันจะแสดงเปลวขึ้นมากน้อยขนาดไหน นั้นแหละสมุทัยก็เป็นเช่นนั้น
ไฟนั้นรู้ความหมายของมันไหม มันไม่รู้ความหมายของมัน สมุทัยก็เหมือนกันเวลาเข้าถึงกันแล้วมันไม่รู้ความหมายของมันแหละ เรื่องของสติปัญญาของเราต่างหากที่แต่ก่อนยังไม่มีสติปัญญา สมุทัยนั้นจึงเป็นตัวภัยอย่างยิ่ง ทั้งๆ ที่มันไม่ได้ว่ามันเป็นตัวภัยต่อใคร แต่มันก็เผาได้เช่นเดียวกับไฟนั่นแล ทีนี้พอสติปัญญาหยั่งเข้าทราบถึงหลักความจริงทั้งสองอย่างนี้ ด้วยมรรคสัจได้แก่สติปัญญาเป็นต้นอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งแล้ว ทะลุไปหมด หรือจะว่าดับสมุทัยขาดสะบั้นลงไปก็ถูก ก็เหมือนกับไฟที่เอาเชื้อออกหมดแล้วมันจะลุกลามไปไหน นอกจากจะดับลงให้เห็นเท่านั้น
นี่ก็เหมือนกัน ปัญญาเป็นผู้สอดส่อง เป็นผู้ไสฟืนไสไฟไสเชื้อออก แน่ะพูดง่ายๆ แล้วสมุทัยมันจะต่อไปที่ไหน ตรงไหนเป็นที่เกิดของสมุทัยมันก็ฟาดลงตรงนั้นอีก ขาดสะบั้นไปอีก แล้วฐานไหนเป็นฐานของสมุทัยอีกต่อไป ไม่มี ถูกทำลายแล้วด้วยมรรคมีมหาสติมหาปัญญาเป็นสำคัญ นี่ละพังกันลงที่ตรงนี้ แล้วประกาศกังวานขึ้นภายในจิตใจ ว่าทุกข์นี้ดับไปโดยสิ้นเชิงไม่มีอะไรเหลือภายในจิตใจเลย นั่นท่านว่านิโรธๆ คือความดับทุกข์ เพราะอำนาจแห่งมรรคที่มีกำลังเต็มที่แล้ว สังหารสมุทัยให้ขาดสะบั้นลงไป ก็เท่ากับสังหารทุกข์ให้ขาดสะบั้นลงไปในขณะเดียวกัน
นอกจากธรรม ๔ อย่าง คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค นี้แล้วคืออะไร นั้นละธรรมชาติอันนั้นไม่ใช่สัจธรรมทั้ง ๔ นี้ เป็นอันหนึ่งต่างหากที่เล็ดลอดออกมาจากสัจธรรมทั้ง ๔ เป็นผู้กลั่นกรองให้เรียบร้อยบริสุทธิ์เต็มที่ นี้ละพระพุทธเจ้าขึ้นตรงนี้ พระสาวกอรหัตอรหันต์ทั้งหลายขึ้นตรงนี้ทั้งนั้น ไม่มีองค์ไหนจะไปคัดค้านพระพุทธเจ้าเมื่อตนก็ผุดขึ้นมาตรงนี้ โผล่ขึ้นมาตรงนี้ด้วยความบริสุทธิ์
แต่ก่อนถูกสิ่งนี้หุ้มห่อ มีทุกข์ สมุทัยเป็นสำคัญหุ้มห่อ ปัญญานอนตายอยู่จมอยู่นั้นไม่มีทางออก และไม่รู้สึกการฟื้นตัวขึ้นมาเพื่อสังหารสมุทัยเลย ต่อเมื่อเราได้รับการอบรมอยู่ตลอดเวลาแล้ว ย่อมมีกำลังแก่กล้าสามารถ สิ่งที่ไม่เคยเห็นก็เห็น สิ่งที่ไม่เคยรู้ก็รู้ เอ้า สมุทัยซึ่งท่านบอกว่าเป็นข้าศึกๆ ไม่เคยรู้มันก็รู้ๆ ละกันได้โดยลำดับลำดา จนกระทั่งขาดสะบั้นไปหมด เอ้า ทีนี้มีอะไรเป็นเงื่อนต่อกันไหม แม้ที่สุดในสัจธรรมทั้ง ๔ นี้มีอะไรมาต่อกันกับจิตมีไหม ไม่มีเลย นั่นเห็นไหม
ทุกข์ท่านจึงบอกว่าเป็นสิ่งที่ควรกำหนดรู้ เพื่อจะสาวหาเหตุคือสมุทัย สมุทัยพึงละ การละสมุทัยละด้วยอะไร นั่น มันก็วิ่งไปถึงมรรค ละด้วยสติปัญญา ศรัทธา ความเพียร นี่เป็นสิ่งควรละ และนิโรธเป็นธรรมที่ทำให้แจ้ง จะทำให้แจ้งด้วยเหตุผลกลไกอะไร ก็ด้วยมรรคนี่เองจะทำนิโรธให้แจ้ง มรรคเป็นผู้ดับสาเหตุที่จะให้เกิดทุกข์ ได้แก่สมุทัยราบลงไปหมดแล้ว ทุกข์จะเอาอะไรมาเกิด ก็เห็นขาดสะบั้นลงไปด้วยกัน มรรคที่เคยทำหน้าที่เป็นเหมือนธรรมจักร หมุนติ้วทั้งวันทั้งคืน ไม่มีคำว่าอิริยาบถยืนเดินนั่งนอนนั้นระงับตัวลงไป ทุกข์ก็ดับเพียงเท่านั้นแล้วจะเอาอะไรมาดับอีก เท่านั้น นั่น
สิ่งที่รู้ว่าทุกข์ก็ดับไป สมุทัยดับไป เพราะอำนาจของมรรคคืออะไร นั่นแหละท่านว่าธรรม เป็นธรรมประเภทหนึ่งจากสัจธรรมทั้ง ๔ นี้ นั่นท่านเรียกว่าธรรมบริสุทธิ์ ธรรมประเสริฐ พระพุทธเจ้าประเสริฐด้วยธรรมชาตินี้ พระสาวกอรหัตอรหันต์ทั้งหลายทุกพระองค์ไม่มีเว้น จะเป็นล้านๆ พระองค์ก็ตามเถอะ ออกจากสัจธรรมทั้ง ๔ นี้ แล้วทำไมท่านจะค้านกันปฏิเสธกันได้ลงคอล่ะ ว่าพระพุทธเจ้าไม่มีก็เห็นอยู่ชัดๆ อยู่ในองค์สัจธรรมซึ่งเราครองอยู่เวลานี้น่ะ แล้วปฏิเสธพระพุทธเจ้าได้ยังไงว่าไม่มี
เห็นได้ชัดว่าพระพุทธเจ้าองค์นี้ตรัสรู้แล้ว ทำไมองค์นั้นจะตรัสรู้ไม่ได้ องค์นั้นทำไมจะตรัสรู้ไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ทำไมจึงจะไม่มีจำนวนมากขึ้นโดยลำดับจนถึงเป็นล้านๆๆ ล่ะ นั่นฟังซิ เพราะมีขึ้นได้ด้วยเหตุผลกลไกอันนี้ทำไมจะมีไม่ได้ เช่นอย่างองค์ก่อนก็มีได้ด้วยเหตุนี้ องค์นี้ก็มีได้ด้วยเหตุนี้ องค์หน้าต่อไปอนาคตก็จะมีได้ด้วยเหตุนี้เหมือนกัน เมื่อเป็นเช่นนั้น เหตุใดพระพุทธเจ้าจะสูญจากโลกไปได้ล่ะ ก็เมื่อเห็นชัดๆ ประจักษ์กันอยู่กับหัวใจของเราผู้รู้ผู้เห็นสัจธรรมทั้งสี่รอบหัวใจ จนกระทั่งถึงบริสุทธิ์ประจักษ์อยู่ในตัวแล้ว หาธรรมชาติที่คัดค้านตัวไม่ได้แล้ว จะคัดค้านพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นครูเอกอยู่แล้วได้ยังไง นั่นพิจารณาซิ สาวกอรหัตอรหันต์ท่านไปจากไหน ดูตัวจิตดวงนี้แล้วพอเลยๆ ยอมรับ กราบราบ นั่น
นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าสดๆ ร้อนๆ อย่างนี้ จึงอยากให้หมู่เพื่อนได้รู้ได้เห็นได้ปฏิบัติให้ถึงความจริง เมื่อถึงความจริงนี้แล้ว เอ้า มันจะเสียดายอะไรๆ บ้างของในโลกนี่ ทั้งสามแดนโลกธาตุนี่ เพราะเราเคยกอดเคยแบกเคยหามกองทุกข์ทั้งหลายเพราะอยู่ในวงแดนโลกธาตุ และแบกหามอุปาทานความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งหลายมานี้นานแสนนานมากแสนมาก สิ่งใดที่เราไม่เคยยึดมีเหรอ นอกจากมันลืมไปเท่านั้น สถานที่ใดที่เราไม่เคยเกิด มันเกิดได้ทั้งนั้นแหละ นรกหลุมไหนที่เราจะไม่เคยเกิด สวรรค์ชั้นไหนที่เราไม่เคยเกิด นอกจากพรหมโลก ๕ ชั้นและพระนิพพานเท่านั้น นอกนั้นมันเคยไป เคยขึ้นเคยลงเคยตกเหวตกบ่อมามากต่อมากแล้วในจิตดวงเดียวนี้ มันมากต่อมาก จึงได้เคยพูดว่าเหมือนกอไผ่รากมันหนานั่น นี่กอไผ่ก็คือจิตของเรานี้ รากมันหนาก็คือความเกิดของมันนั้นแหละ มันเกิดไม่หยุดไม่ถอย ถึงขนาดนั้น
ทีนี้มันทำไมจะไม่รู้ล่ะ เมื่อมันขาดสะบั้นออกหมด ไม่มีอะไรเป็นเงื่อนต่อแล้วชัดเจนแล้ว ไปไหนอีกที่นี่ มันก็รู้ชัดๆ ไม่มีที่ว่าจะไปหรือว่าจะมา ไม่มี อดีตไม่มีอนาคตไม่มี ภพชาติจะหมายตรงไหน มันไม่ติดอะไรแล้วจะเอาอะไรไปติด จะเอาอะไรไปหมาย มันจะไปเกิดที่ตรงไหนมันชัดอยู่ประจักษ์ใจ ท่านว่า สนฺทิฏฺฐิโกๆ ชัดไหมที่นี่ ลงประกาศกังวานอยู่ในนี้แล้ว ทำไมจะไม่ยอมรับพระพุทธเจ้าทั้งหลายล่ะ นี่ละหลักอันสำคัญ
นี้อยากให้หมู่เพื่อนได้ปฏิบัติให้รู้ให้เห็นดูซิ มันจะเสียดายอะไรในโลกอันนี้ นั้นเป็นดิน นี้เป็นน้ำ นั้นเป็นลม นี้เป็นไฟ เราเหยียบเราย่ำ แม้แต่อยู่ในร่างกายของเราก็มี แต่สิ่งเหล่านี้มันให้ความวิเศษวิโสอะไร บีบบังคับอยู่เวลานี้ก็เพราะสิ่งเหล่านี้ เพราะหลงมันจึงได้แบกได้หามมันอยู่ตลอดเวลา เรายังไม่เข็ดไม่หลาบอยู่เหรอ
การหลุดพ้นจากทุกข์ การหลุดพ้นจากสิ่งกดขี่บังคับทั้งหลายเหล่านี้ไปเสียโดยสิ้นเชิงแล้ว เอ้า ยังจะมาแบกทุกข์แบกอะไร ทุกข์กับอะไร พิจารณาซิ เราแบกเราหามอะไร ยึดมั่นอะไร มันทุกข์กับสิ่งนั้นๆ แล้วเห็นชัดๆ ทีนี้เวลามันถอนตัวออกไปหมดแล้วมันจะทุกข์กับอะไร ดูซิ แม้แต่ธาตุขันธ์ภายในตัวของเรานี้ก็บอกว่าทุกข์ๆ มันก็สักแต่ว่าเป็นความจริงอันหนึ่งๆ เท่านั้น ดังที่พิจารณาในสัจธรรม เพราะอันนี้มันเป็นสัจธรรมของมันอยู่แล้ว สักแต่ว่าๆ เท่านั้น จิตขณะไหนล่ะที่จะไปยึดสิ่งเหล่านี้ว่าเป็นตัวของตัว พอที่จะให้ไฟอุปาทานความยึดมั่นถือมั่นมาเผาเรา ไม่มี
เอ้า ทำไปเถอะผู้ปฏิบัติ จะได้เห็นในตัวเอง ไม่ต้องไปถามแม้ สาธุ พูดแล้วไม่ได้ประมาท พระพุทธเจ้าจะประทับอยู่ตรงหน้านี้ก็ตามจะไม่ทูลถาม เพราะเป็นอันเดียวกันนี่ นอกจากจะกราบราบ โอ๋ย แต่ก่อนข้าพระองค์หลับตาอยู่ไม่เห็น คราวนี้เห็นแล้ว ไม่ทูลถามพระองค์แหละ นอกจากจะว่าไปเท่านั้น ว่าอย่างนี้ว่าได้จริงๆ ทีนี้ไม่ทูลถาม เหมือนอย่างพระนันทะ เอาพระพุทธเจ้าเป็นองค์ประกันทีเดียว เห็นไหมล่ะในหนังสือประวัติ ในหนังสือที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมและเอาพระนันทะไปบวชนั่น พระนันทะกำลังจะแต่งงานอยู่แล้ว เราพูดย่อๆ อย่างนี้แหละ เอาพระพุทธเจ้าเป็นองค์ประกันทีเดียวนะ
เมื่อเวลาพระองค์ได้ฝึกฝนทรมานพระนันทะ เนื่องจากพระองค์ทราบอุปนิสัยของพระนันทะโดยสมบูรณ์แล้วว่าจะได้บรรลุธรรมอย่างแน่นอน จึงต้องได้แยกจากสิ่งเหล่านั้นออกมา ถึงจะเสียดายก็ตาม เสียดายขนาดไหนก็ตาม รักขนาดไหนก็ตาม เรื่องเหล่านี้มันเคยรักเคยชังเคยเสียดายมาแล้วขนาดไหน มันวิเศษขนาดไหน นี่พูดง่ายๆ ว่าพระพุทธเจ้าท่านทรงทราบหมดแล้ว และธรรมเหล่านี้พระนันทะเคยทราบแล้วเหรอ ซึ่งเป็นของวิเศษนี้ เพราะฉะนั้นจึงแยกพระนันทะออกมาจากความรักความชอบใจในนางชนบทกัลยาณีที่ว่างามในโลก นั่น
งามขนาดไหนรักชอบขนาดไหน ทั้งๆ ที่จะแต่งงานกันอยู่สดๆ ร้อนๆ ในขณะนั้น พระองค์ก็เห็นว่าสิ่งเหล่านี้เคยผ่านมาแล้วเคยเป็นมาแล้ว มันพาโลกพาสงสารพาใครให้วิเศษที่ไหน มันก็คือเรื่องของการจมในวัฏฏะนั่นเอง ส่วนที่จะพรากพระนันทะออกไปบวช เพื่อได้สลัดสิ่งเหล่านี้ออกจากใจถึงพระนิพพานสดๆ ร้อนๆ ทั้งเป็นทั้งตายอันเป็นของวิเศษมากนี้ มันวิเศษยิ่งกว่านั้นเป็นไหนๆ เพราะฉะนั้นจึงไม่อาลัยเสียดาย แม้พระนันทะจะคิดถึงนางชนบทกัลยาณีนั่นมากเพียงไรก็ตาม นางชนบทกัลยาณีร้องตามขนาดไหนก็ตาม เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องของกิเลส ร่ำรี้ร่ำไรรักเสียดายอาลัยอาวรณ์ต่อกัน เป็นเรื่องของกิเลสไม่ใช่เรื่องวิเศษวิโส เพราะฉะนั้นพระองค์จึงไม่อาลัยเสียดาย จึงไม่สนพระทัยกับสิ่งเหล่านี้ นอกจากที่จะให้พระนันทะที่เป็นพระอนุชา ภาษาตลาดเราเรียกว่าน้องชายนั่น ได้สลัดปัดทิ้งสิ่งเหล่านี้ เพื่อความหลุดพ้นโดยถ่ายเดียวอันเป็นของวิเศษเท่านั้น
พระองค์ไม่เห็นอะไรเป็นของวิเศษ จึงต้องยอมพระองค์ลงเพื่อธรรมชาติอันนี้แก่พระนันทะ โดยเป็นผู้รับรองยืนยันพระนันทะ เอาเถอะนันทะ จะพาปฏิบัติ เราจะพาไปเห็นของดี เอาของดียิ่งกว่านี้ๆ แล้วก็แสดงอิทธิปาฏิหาริย์หลายด้านหลายทาง เอาไปดูลิง เป็นยังไงลิง เทวบุตรเทวดาพาไปดูหมด มีแต่ผู้สวยๆ งามๆ แล้วดูนางชนบทกัลยาณีเป็นยังไง โห เหมือนกับลิงตัวนั้น แน่ะ สุดท้ายก็มาประพฤติปฏิบัติธรรมนี้ จนกระทั่งได้บรรลุธรรม
ไม่มีอะไรดีทั้งนั้นในโลกนี้ ความดีๆ มีแต่ความเสกๆ สรรๆ ทั้งนั้น ความฝันทั้งเป็นทั้งนั้น อันนี้ไม่ฝันนี่ บริสุทธิ์เต็มที่แล้วนี่ประเสริฐ นี่ละพระพุทธเจ้าเป็นผู้ยืนยันรับรองพระนันทะให้ไปบวช จนกระทั่งพระนันทะได้บรรลุธรรมเต็มสัดเต็มส่วนเต็มหัวใจ เลิศเลอยิ่งกว่าสิ่งใดในโลกแล้ว จึงว่าทีนี้ข้าพระองค์ได้ปล่อยจากพระพุทธเจ้าแล้ว ในการที่จะเป็นผู้ยืนยันรับรอง ตั้งแต่บัดนี้ต่อไปข้าพระองค์ไม่ได้เกาะได้เกี่ยว ข้าพระองค์ไม่ได้ให้เป็นตัวประกันอีกแล้ว นั่น เป็นวาจาของพระนันทะ ซึ่งเป็นพระอนุชาของพระพุทธเจ้า นั่นเห็นไหมที่นี่ว่า เมื่อได้ตรัสรู้หรือได้บรรลุธรรมอันสุดยอดนั้นแล้ว ยังคิดถึงนางชนบทกัลยาณีอยู่ไหม พิจารณาซิ
นี่แหละธรรมของเลิศของประเสริฐ เมื่อถึงขั้นนี้แล้ว ไม่มีคำว่าจะให้ใครรับรองจะให้ใครยืนยัน จะให้ใครเป็นพยานแม้ศาสดาองค์เอก ก็อย่างพระสารีบุตรที่เคยเล่าให้ฟังแล้วนี่ละ แล้วก็พระนันทะนี้เป็นสักขีพยานอีกอันหนึ่ง ก็เป็นอย่างนั้นแหละ เพราะถ้าหากว่าเราจะเทียบเป็นสมมุติแล้วก็เป็นตัวของตัวโดยสมบูรณ์แล้ว ไม่หวังอะไรที่จะพึ่ง ไม่มีอะไรบกพร่องที่จะพึ่งที่จะมาเพิ่มเติมอีกแล้ว สมบูรณ์เต็มที่แล้วก็หมดทางที่จะไปที่จะมาที่จะเพิ่มเติมอะไรอีก เพราะถึงเมืองพอแล้วภายในจิตใจ นี่คือสถานที่ที่สมบูรณ์เต็มที่ จึงเรียกว่าจิตที่บริสุทธิ์สมบูรณ์เต็มที่
เพราะฉะนั้นขอให้ทุกท่านได้เห็นสดๆ ร้อนๆ ในโอวาทคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วให้ได้พบ ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ พระองค์สอนตรงไหนให้ถือเหมือนพระองค์ชี้บอกอยู่เดี๋ยวนี้ๆ สดๆ ร้อนๆ นี้ พระโอวาทนี้ไม่ได้ห่างไกลเลยจึงเรียกว่า อกาลิโกๆ เห็นไหมในธรรม อกาลิกธรรมมีอยู่ตลอดเวลา ความจริงทั้งหลายที่จะให้รู้ให้เห็นมีอยู่ตลอดเวลา เอาเถอะ พิจารณาลงไปต้องรู้ต้องเห็น ถ้าเราไม่ให้กิเลสมันมาหลอกเสียเท่านั้น มาบีบบังคับหรือมาปิดหูปิดตาเสีย ว่าธรรมก็เลยกลายเป็นของครึของล้าสมัยไปเสีย กิเลสตัวเหม็นเหมือนมูตรเหมือนคูถเลยกลายเป็นของทันสมัยไปแทนเสีย นั่น ขี้โลภขี้โกรธขี้หลงจะไม่เรียกว่าขี้อะไร แล้วมันก็ทันสมัย เห็นไหมทุกวันนี้มันทันสมัยไหม มันล้ำสมัยไปเสียอีก นั่น
ดูซิคนในโลกเวลานี้เป็นยังไง มีความสุขความทุกข์ความเดือดร้อนมากมายขนาดไหน ทั้งๆ ที่เรียนมาจนกระทั่งถึงคัมภีร์จะแตก อกจะแตก มันเข้าใจตัวเองสำคัญตนเองว่ารู้มาก จนกระทั่งพุงมันจะแตก และความทุกข์ก็จนร่างมันจะแตกทั้งเป็นเห็นไหมล่ะ นั่นมันเอาความสุขมาจากไหน นั้นแหละความรู้ของกิเลสมันบรรจุเข้าในหัวใจสัตว์โลกทั้งหลาย จะเกิดความสำคัญขึ้นเป็นชั้นที่สองว่าเรารู้เราฉลาด บทเวลาเราจะตายด้วยความทุกข์เพราะกิเลสบีบบังคับนี้เราไม่เห็นรู้ว่ะ
แต่เรื่องของธรรมนี้ เอากิเลสจะออกมาทางไหนมาเถอะ ถ้าลงได้ถึงขั้นที่ว่าวิมุตติหลุดพ้นนี้แล้ว มันจะออกแง่ไหน ในหัวใจของเจ้าของมันหมดแล้ว ไม่มีทางออกแล้ว มันจะออกแง่ใดของบุคคลผู้ใดสัตว์ตัวใดมันรู้ทันทีๆ เพราะเคยได้ฟัดได้เหวี่ยงกันมาพอแล้วนี่ เพราะฉะนั้นจึงว่าธรรมเหนือโลก โลกุตรธรรม แปลว่าธรรมเหนือโลก มันเหนืออย่างนี้เอง เหนือกิเลสนี่เอง กิเลสมันเป็นโลกล้วนๆ ธรรมเป็นธรรมล้วนๆ รู้หมด ทันหมดเลย นั่น
การปฏิบัติธรรมกำลังมันจะล้มเหลวไปแล้วนะเดี๋ยวนี้น่ะ พ่อแม่ครูบาอาจารย์มั่นเราก็ล่วงไป ครูบาอาจารย์ที่เป็นที่เคารพนับถือก็ค่อยร่วงโรยไปๆ แล้วจืดไปๆ ในสิ่งที่ดีทั้งหลายจืดไปๆ ในสิ่งที่เลวทั้งหลายแล้วเข้มข้นเข้ามาๆ ปรากฏว่ามีรสชาติเข้ามาเรื่อย ดื่มด่ำเข้าไปเรื่อยไม่รู้วันรู้คืนเข้าแล้วนะเวลานี้ มันจะเป็นกรรมฐานเป็นบ้านะ อันนี้ได้วิตกวิจารณ์มากทีเดียว มันจะเป็นกรรมฐานทันสมัย แล้วก็เอาชื่อครูบาอาจารย์ไปจำหน่ายขายกินนะ เฉพาะอย่างยิ่งก็ลูกศิษย์ท่านอาจารย์มั่น สายท่านอาจารย์มั่น นี้สำคัญมากนะ นี่ละที่ขายกินของพระโจรผู้ร้ายในวงปฏิบัติเราเป็นอย่างนี้
เราอย่าเข้าใจว่ากรรมฐานนี้จะดีไปทุกรูปทุกนาม มันไม่ดีนะ ที่ดีมีน้อย ที่ชั่วเลวทรามมีมาก เพราะฉะนั้นจึงขอให้ทุกๆ ท่านได้ทำความเข้าใจเอาไว้กับตนเองว่า เราจะเป็นคนประเภทไหน พระประเภทไหน ประเภทลูกศิษย์มีครูจริงๆ หรือประเภทแบบแหวกแนวอวดตัวดี เก่งกว่าครูกว่าอาจารย์แซงหน้าแซงหลังไปอย่างนั้น มีแล้วนะเวลานี้ ในกรุงเทพฯ นี้ก็มีแล้ว พวกไปจากทางภาคอีสานนี่แหละ เราวิตกวิจารณ์
เพราะฉะนั้นเราจึงได้เข้าไปมูลนิธิของหลวงปู่มั่น ซึ่งเป็นสมบัติของวัดป่าบ้านตาด แต่เราไม่เคยบอกเลยว่ามูลนิธินี้เป็นสมบัติของวัดป่าบ้านตาดโดยสมบูรณ์แล้วในทางกฎหมาย เราไม่เคยบอกไม่เคยพูดเลย ไปมาเราก็ฟังไปฟังมา ยิ่งฟังเสียงมันมักจะมีผลลบขึ้นมาเรื่อยๆ และเป็นผลลบขึ้นมาเรื่อยๆ มันยังไงกันนี่ เพราะเราเป็นเจ้าของนี่ เราก็เข้าไปเท่านั้นซิ พอเข้าไปก็ทราบเรื่องทราบราวแล้วก็ใส่กันเปรี้ยงเลย
สถานที่นี่เป็นสถานที่สำหรับพระป่วย เจ็บไข้ได้ป่วยแล้วเข้ามาพักผ่อนหย่อนตัวเป็นเวล่ำเวลา ก่อนที่จะเข้าไปติดต่อกับหมอและคลินิกตลอดถึงโรงพยาบาล ให้ได้มาพักนี้สะดวกสบายต่างหากนะ และครูบาอาจารย์ที่มาด้วยความเป็นอรรถเป็นธรรมเพื่อจะแนะนำสั่งสอนประชาชนเป็นกาลเป็นคราวต่างหากนะ ไม่ใช่มาให้พวกกรรมฐานขี้หมูขี้หมาเรานี้มาปักกลดในเทศบาล ๑ เทศบาล ๒ ในกรุงเทพฯ นี้นะ เอาขนาดนั้นนะวันนั้น แล้วก็เอาให้ทราบเสียด้วยว่า มูลนิธินี้เป็นสมบัติของวัดป่าบ้านตาด ใครอย่ามาทำให้เลอะเทอะนะ นี่ยังจะหนักกว่านั้นถ้ายังเป็นอีก เรายังจะเอาหนักกว่านี้ จะได้เขียนประกาศติดไว้เลย ชื่อ มหาบัวใส่ลงไปปึ๋งเลยแหละเป็นอะไรไป
เพราะเรารักษาความดีเอาไว้ ไม่งั้นมันจะเสียไปหมดนี่ จะเป็นกรรมฐานจำหน่ายขายกินไปหมดจะว่ายังไง ทั้ง ๆ ที่คนกรุงเทพฯ เขามีความเคารพนับถือวงกรรมฐานของพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นเรานี้มากที่สุด เราจะไปขายขี้หน้าให้เขาเห็นเราไม่อยากเห็นอย่าว่าแต่เขาเลย ใครจะอยากเห็น นี่ละมันวิตกวิจารณ์ตรงนี้นะ มันเป็นจะไม่เป็นยังไง สกฺกาโร ปุริสํ หนฺติ ว่าไง ลาภสักการะ สำหรับคนโง่แล้วติดเร็วที่สุดเลยจะว่าไง นี่เราแปลทางภาคปฏิบัติ ถ้าแปลทางด้านปริยัติ สกฺกาโร ปุริสํ หนฺติ แปลว่า ลาภสักการะย่อมฆ่าบุรุษที่โง่เขลา นั่นแปลตามปริยัติ ถ้าแปลทางด้านปฏิบัติก็อย่างที่ว่านี้ทำไมจะแปลไม่ได้ แปลเอาความ เอาอรรถเอาธรรม เอาให้ถึงใจกิเลสเอาให้ถึงหัวกิเลส ฟาดหัวกิเลสออกไปด้วยการเข้าใจในธรรมทั้งหลายนี้ซิ
เราอย่าไปแปลแบบลูบๆ คลำๆ ให้แปลด้วยรู้ด้วยเห็นจริงๆ แล้ว แปลออกมาพูดออกมา คือเหมือนอย่างเราเดินไปไหนก็ตาม เราไปได้ยินเรื่องราวอะไรก็ตาม คำบอกเล่าของคนที่มาบอกเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้กับคนที่เห็นจริงๆ จังๆ นั้น กิริยาท่าทางมันต่างกันมากอยู่นะ คนที่ไปเห็นจริงๆ นี้ พูดจะเข้มข้น พูดอาจหาญไม่มีสะทกสะท้าน เพราะเหตุการณ์เห็นมาเองทุกสิ่งทุกอย่างจะสงสัยที่ตรงไหน พอที่จะลูบๆ คลำๆ ไม่เหมือนผู้ได้รับคำบอกเล่ามา ผู้ได้รับคำบอกเล่ามานี่พูดงูๆ ปลาๆ ผิดบ้างถูกบ้างว่ากันไป ถ้าผู้ได้ไปเห็นเองจริงๆ แล้วเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นเราจึงอยากให้ผู้ปฏิบัติทั้งหลายนี้ได้เห็นจริงๆ เรื่องธรรมของพระพุทธเจ้านี่เป็นอย่างไร มันจะเป็นเหมือนกับที่เราเรียนมาไหม
เราไม่ได้ประมาทนะ การเรียนมา คือการเรียนคำบอกเล่า ทั้งๆ ที่เราก็ไม่รู้เรียนจนกระทั่งถึงนิพพาน หัวใจไม่เป็นนิพพาน มีแต่กิเลสเต็มตัว จะไม่เรียกว่าคำบอกเล่ายังไง ท่านบอกให้ปฏิบัติอย่างนั้นๆ นะ นี่เราก็จำมาๆ กิเลสเป็นอย่างนั้น ตัณหาเป็นอย่างนี้ มรรคผลนิพพานเป็นอย่างนั้น ให้พยายามปฏิบัติอย่างนั้นๆ นะ นี่คือคำบอกเล่าตามคำสอนของพระพุทธเจ้าที่สั่งสอนมา ทั้งๆ ที่ถูกต้องดีงามที่สุดแต่หัวใจเรามันผิด มันไม่ถูก มันก็มีแต่คำบอกเล่า ก็ผ่านไปๆ ไม่ได้มีอะไรที่จะเข้าไปฆ่ากิเลสอยู่ภายในจิตใจเลย นี่การที่เรียนจดจำมาเป็นอย่างนี้
ผมก็เรียนมาจะว่ายังไง ไม่ใช่ผมประมาทปริยัติ มันเป็นอย่างนั้นก็ต้องว่าอย่างนั้นซิ การเรียนมา เรียนมามากขนาดไหนมันไม่ได้ฆ่ากิเลสตัวไหนตายได้เลยนี่จะว่ายังไง เพราะเป็นคำบอกเล่า แล้วไม่สนใจที่จะปฏิบัติ ต่อเมื่อปฏิบัติให้หาเอานะความหมายว่าอย่างนั้น ปริยัติเรียนมาแล้วนี้ บอกชี้แนวทางให้ทุกสิ่งทุกอย่างแล้วนะทีนี้นะ มีแต่ความถูกต้องดีงามจากสวากขาตธรรมทั้งนั้นนะที่สอนมาเหล่านี้ๆ นี่ละคือว่าคำบอกเล่า บอกมาอย่างชัดเจนอย่างนี้ ให้ปฏิบัติตามนี้ ให้ไปหาเอานะทีนี้นะ ศีลให้ไปหาเอา สมาธิให้ไปหาเอา ปัญญาให้ไปหาเอา วิมุตติหลุดพ้นให้ไปหาเอา กิเลสฆ่าเอาเองนะพูดง่ายๆ
กิเลสตัวใดก็จะเห็นจากผู้ปฏิบัตินั่นละ ผู้ปฏิบัติเป็นผู้จะเห็นกิเลส เป็นผู้จะฆ่ากิเลส ผู้ปฏิบัติเป็นผู้จะรู้จะเห็นสมาธิปัญญาทุกขั้น จนกระทั่งถึงวิมุตติหลุดพ้น ไม่มีผู้อื่นใดที่จะรู้ยิ่งกว่าผู้ปฏิบัติแหละ เอ้าไปหาเอานะความหมาย ท่านว่าอย่างนั้น เพราะฉะนั้นท่านจึงบอกว่า ปริยัติ ปฏิบัติ เมื่อเรียนแล้วให้ไปปฏิบัติ คือให้ไปหาเอานะ บอกวิธีการทุกสิ่งทุกอย่างให้ไปหาเอา พอไปหาเอา เจอตรงไหนก็บอกว่า ปฏิเวธะ ๆ หรือปฏิเวธๆ เจอสมาธิก็เป็นปฏิเวธ รู้แจ้งเห็นจริงในสมาธิ เจอปัญญาก็เป็นปฏิเวธในปัญญา รู้แจ้งเห็นจริงในปัญญา ฆ่ากิเลสตัวใดตายลงไปแล้วก็รู้แจ้งเห็นชัดว่า ได้ฆ่ากิเลสตัวนี้ตายลงไปแล้ว จนกระทั่งทะลุปรุโปร่งถึงความบริสุทธิ์หลุดพ้น ถึงพระนิพพานแล้วทำไมจะไม่เป็นปฏิเวธะโดยสมบูรณ์ จากการปฏิบัติเพราะการหาเอานี้ซึ่งสืบเนื่องมาจากคำบอกเล่านั้นเล่า นี่หลักมันเป็นอย่างนี้
เพราะฉะนั้นจึงอยากให้ปฏิบัติ มาเรียนเฉย ๆ มันได้เรื่องอะไร มีแต่ชื่อของกิเลสจำได้เต็มพุง แต่มันก็เป็นความหมายอีกอันหนึ่งให้กิเลสแทรกเข้าไปนั่น สำคัญว่าตัวรู้ตัวฉลาด ความจริงแบกกิเลสความสำคัญมากมาย ไม่มีใครหนักยิ่งกว่านักปราชญ์ที่จดจำคำบอกเล่ามา ทีนี้เมื่อเวลาปฏิบัติแล้ว เราอยากจะทราบอันนี้เป็นข้อเทียบเคียงกัน เอ้าปฏิบัติซิ เมื่อปฏิบัติแล้วกิเลสตัวไหนเป็นกิเลสมันก็รู้ ๆ ๆ จนกระทั่งถึงพังลงไปหมดไม่มีอะไรเหลือ ถืออะไรที่นี่ นั่น แล้วผู้ที่สิ้นจะพูดอะไรก็พูดเสียซิ
ไปเห็นมาเอง ไปรู้มาเองทำไมจะผิดไป ทำไมจะไม่อาจหาญ ผู้ที่ไปรู้เองเห็นเองด้วยหัวใจของตัวเอง สติก็เป็นของตัวเอง ปัญญาเป็นของตัวเอง มรรคผลนิพพานเป็นของตัวเอง ทุกสิ่งทุกอย่างเห็นอยู่ประจักษ์ใจนี้ มันจะสะทกสะท้านไปที่ไหนในการพูดในการเทศนาว่าการก็ดี หรือการอะไรก็ดี มันผิดกันกับคำบอกเล่า คำบอกเล่าอย่างพวกเรานี้เรียนมาแล้วแปลผิดๆ ถูกๆ แปลแล้วก็กลัวจะผิดศัพท์นั้นกลัวจะผิดศัพท์นี้ ผมเคยเป็นมาแล้วนี่น่ะ กลัวจะผิดบทนั้นบาทนี้ กลัวจะผิดธาตุ วิภัตติ ปัจจัยบ้างอะไรต่ออะไร ก็คือกลัวจะผิดหัวกิเลสนั่นเอง พูดอะไร
บทเวลาจะเอามันจริงๆ มันกลัวจะผิดอันนั้นผิดอันนี้ มันไม่ให้ลงแรงถ้าเป็นเรื่องจะฆ่ากิเลส แล้วเราไม่รู้เลยว่าเราถูกกล่อมจากกิเลสด้วยความเรียนมาจำมาที่ไม่สนใจปฏิบัติ ทีนี้เอาไปปฏิบัติซิ นั้นละที่ว่าให้ไปหาเอา ไปดู พูดง่ายๆ เทียบเหมือนอย่างวัดป่าบ้านตาดนี้ ถ้ามาจากกรุงเทพฯ มาสายอุดรนี้ มาแยกกันที่ตรงไหนแผนที่ก็บอกมาๆ จนกระทั่งถึงสี่แยกบ้านโนนเค็งเข้ามาสู่นี้ บอกมาโดยลำดับ นี่เป็นคำบอกเล่านะ จากผู้ที่เห็นแล้ว
พระพุทธเจ้าก็เหมือนกัน เป็นผู้รู้ผู้เห็นแล้ว ประทานโอวาทเอาไว้นี้ ผู้ไปศึกษามานี้เป็นคำบอกเล่าละนะนี่ ได้เป็นคำบอกเล่า เพราะตัวเองยังไม่ได้นี่ ก็ต้องเป็นคำบอกเล่าเสียก่อน อันนี้ก็เหมือนกัน มาวัดป่าบ้านตาด ถือแปลนนั้นมา เอ้าดูแปลนนั้นมา มาถึงนั้นแยกนั้นๆ ก็แยกเข้ามาๆ จนกระทั่งเข้ามาถึงวัดป่าบ้านตาดจริงๆ แล้ว สภาพที่ไม่บอกมีเยอะ อะไรบ้างที่แผนที่ไม่บอก แบบแปลนไม่บอกไว้ เราปฏิเสธได้ไหมว่าเราไม่รู้เราไม่เห็นในสิ่งเหล่านั้น เห็นมาโดยลำดับลำดา จนกระทั่งเข้าถึงวัดป่าบ้านตาด สงสัยที่ไหนที่นี่เมื่อถึงวัดป่าบ้านตาด อ๋อ วัดป่าบ้านตาดเป็นอย่างนี้ มันจะประจักษ์ในหัวใจทันที
เวลามาถือแบบแปลนแผนผับมา มาด้วยความสงสัยว่าวัดป่ามีก็จริง แต่ไม่พ้นความสงสัย เวลามาเจอประจักษ์ด้วยตาของเราแล้วสงสัยที่ไหน ไปไหนก็ไปเถอะที่นี่ หายสงสัยแล้วว่าเรื่องวัดป่าบ้านตาดนี่ฉันใด การรู้อรรถรู้ธรรมก็ฉันนั้นเหมือนกัน ปฏิบัติตัวเองลงไปๆ เหมือนกับเราก้าวเดินเข้ามาสู่วัดป่าบ้านตาด ทีนี้เวลาสมาธิยังไม่เคยเห็นก็เห็นเข้ามาๆ เรื่อยเข้ามา จนกระทั่งถึงวิมุตติหลุดพ้นเต็มหัวใจแล้วสงสัยที่ไหน นี่หมดความสงสัย เหมือนกับผู้ที่มาเห็นวัดป่าบ้านตาดประจักษ์ตาประจักษ์ใจแล้วหายสงสัยฉันใด ก็เหมือนกับผู้ที่รู้ธรรมเห็นธรรมด้วยการปฏิบัติเต็มหัวใจแล้ว ย่อมหายสงสัยเช่นเดียวกัน นั่น
แม้พระพุทธเจ้าประทับอยู่ก็ไม่ทูลถาม ก็ฟังซิอย่างที่เคยพูดอัญญตรภิกขุว่าไง ท่านกำลังจะไปทูลถามพระพุทธเจ้าในเรื่องข้ออรรถข้อธรรม แต่พอไปเห็นฝนตกแล้วพิจารณาเรื่องฝนเรื่องน้ำที่มันกระทบกัน เทียบกับสังขาร สัญญาภายใน สังขารภายในที่เกิดขึ้นดับไปๆ เช่นเดียวกับน้ำที่กระทบกันแล้วตั้งเป็นฟองเป็นอะไรขึ้นมาแล้วดับไปๆ เทียบไปเทียบมาแล้วบรรลุธรรมไปในขณะนั้น ในสถานที่นั้นในเวลานั้น พอฝนตกหยุดแล้วกลับกุฏิเลย ไม่ไปทูลถามพระพุทธเจ้า
นั่นเห็นไหม เมื่อถึงขั้นที่ไม่ทูลถาม ถามอะไร เมื่อถึงที่แล้วก็หาที่ทูลถามไม่ได้เช่นเดียวกัน นี่ละเรื่องธรรมพระพุทธเจ้า จึงว่า สนฺทิฏฺฐิโกๆ ถ้ายังจะต้องทูลถามในของจริงที่รู้อยู่แล้ว สนฺทิฏฺฐิโก มีความหมายอะไร พระพุทธเจ้าสอนไว้ทำไมว่าสวากขาตธรรมได้ยังไง มันไม่ได้ตรัสไว้ชอบแล้วนี่นะ มันไม่ได้เป็น นี่เป็นอย่างนั้นจริงๆ แล้วทูลถามพระองค์ทำไมที่นี่ นั่น นี่ละความจริง ให้มันเห็นสดๆ ร้อนๆ อย่างนี้การปฏิบัติธรรม
ธรรมะสดๆ ร้อนๆ แท้ๆ อยู่ในหัวใจเรานี้นะ อริยสัจทั้ง ๔ อยู่ในหัวใจนี้ สติปัญญาอยู่ในหัวใจ สร้างขึ้นมาซิ เอาให้มันเห็นมันรู้ซิ ทำไมจึงจะมีมรรคผลนิพพานตั้งแต่สมัยโน้น สมัยนี้ไปไหนอรรถธรรมพระพุทธเจ้า ธรรมแก้กิเลสเป็นธรรมแก้กิเลสอยู่โดยตรงแล้วเคลื่อนที่ไปไหน เปลี่ยนแปลงไปไหน กิเลสมันยังไม่เห็นเปลี่ยนแปลงตัวของมันเอง ธรรมะที่จะฆ่ากิเลสก็เป็นธรรมะที่สังหารกิเลสได้เช่นเดียวกับครั้งพุทธกาล แล้วเราสงสัยทำไม สงสัยหาอะไร นอนจมอยู่ทำไมจึงไม่เอาธรรมเหล่านี้มาแก้
พระพุทธเจ้าให้แก้กิเลสด้วยอะไร ด้วยความพากความเพียร ด้วยสติปัญญาเอามาซิ พิจารณาซิ เราอยู่ในโลกอันนี้เราอยู่มานานแล้วเรายังติดอะไร เรายังสงสัยอะไรเดี๋ยวนี้ยังไม่จืดจาง ยังดื่มด่ำกับอะไร อะไรเป็นของใหม่ในโลก เกิดแก่เจ็บตายเป็นของใหม่เหรอ หือ มันเป็นของที่จะให้ความทุกข์ทรมานเรามามากแสนมาก เพราะเรื่องเกิดแก่เจ็บตายนี้แลไม่ใช่เรื่องอะไร เอ้า พากันจำเอานะ
เอาละเหนื่อย พอ