การไปศึกษาหรืออบรมกับครูบาอาจารย์นี่เราก็เคยเห็นมาแล้ว มันก็ไม่เป็นหน้าเป็นหลังอะไร อย่างไปศึกษาอบรมกับพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นนั้น นั่นก็มากต่อมาก เราที่คอยดูแลอยู่ฉากหลังก็หนักจนอกจะแตก เพราะมันคอยแต่จะแหวกแนวกันอยู่เรื่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่ไปหาอยู่กับท่านนั่นแหละ ถึงกับได้พูดว่า นี่เวลามาอยู่กับท่านเวลานี้กำลังซ่อนเล็บนะ ออกจากนี้ไปแล้วจะกางเล็บให้เต็มภูมิเต็มเพลงนั่นแหละ โห มันก็เป็นจริง ๆ นี่ ใครมีลวดลายยังไงก็แสดงลวดลายของตัวออกไป เหมือนกับว่าไม่ได้เคยพบเคยเห็นปฏิปทาเครื่องดำเนินของท่านที่พาดำเนินมาบ้างเลย นี่ซิที่ทำให้อิดหนาระอาใจต่อการรับหมู่รับเพื่อนไว้อบรมสั่งสอน คือมันไม่ได้เป็นไปตามที่สั่งสอนนั้นนะ
ไปก็สักแต่ว่าไป ดีไม่ดีไปเอาชื่อเอานามไปอย่างนั้น เอาครูบาอาจารย์ไปขายกิน อย่างว่าลูกศิษย์หลวงปู่มั่น ๆ นี้ก็เห็นดังกันอยู่นี่ ด้านการปฏิบัติไม่เห็นเป็นท่าอะไร มีแต่คุยมีแต่โม้เห็นตำตาอยู่นั้น เราเห็นอยู่นี้นะไม่ใช่ไม่เห็น ไปไหนก็อยากอวดว่าเป็นลูกศิษย์ท่านอาจารย์มั่น และเป็นลูกศิษย์ชั้นเยี่ยมชั้นในเสียด้วยนะ คุยโม้น่ะ บทเวลาปฏิบัติเหมือนขี้เขานั่น มันไม่ได้สนใจการปฏิบัติ มีแต่โม้อยู่อย่างนั้น เห็นแล้วนี่น่ะ ชอบโม้ชอบคุย อยากให้เขานับถือลือหน้าว่าตัวนี้เก่งกล้าสามารถ ได้อบรมศึกษามาจากครูบาอาจารย์องค์ปรากฏชื่อลือนาม ไม่ทราบว่าคุยว่าโม้ไปถึงไหน ๕ ทวีปคุยโม้ได้ แต่การปฏิบัติเหมือนคนจะตายนั่น นี่ซิมันน่าทุเรศนะ
ครูบาอาจารย์ท่านพาดำเนินยังไงปฏิบัติยังไง ถ้าตั้งใจไปศึกษาแล้วมันก็เห็นก็รู้อยู่นี่ ไม่ใช่ไม่เห็น จำนวนมากต่อมากที่ไปศึกษาอบรมกับพ่อแม่ครูอาจารย์นี้ มีสักกี่รูปล่ะ นี่ซิ อย่างเข้ามาอบรมในนี้ก็เหมือนกันนั่นแหละ ก็เคยเห็นมาแล้วนี่จะผิดไปไหน เพราะการปฏิบัติทางด้านจิตตภาวนาถือว่าเป็นของยากละซี จึงได้เถลไถลหาเกาในที่ไม่คันไปอย่างนั้น มันมักจะเป็นอย่างนั้นนะ
การภาวนาการฆ่าการสังหารกิเลสเป็นเรื่องที่ยาก ยากมาก ได้เคยปฏิบัติมาแล้ว ได้เคยต่อสู้กับมันมาแล้ว บางครั้งเหมือนกับว่าชีวิตจิตใจนี้จะไม่เหลือครองร่างอยู่เลย เหมือนจะตายไปในเวลานั้น ก็เป็นมาแล้วนี่ นี่ก็เพราะการต่อสู้กับกิเลส เนื่องจากกิเลสเป็นสิ่งที่เหนียวแน่นฉลาดแหลมคมมากทีเดียว ไม่เช่นนั้นมันไม่สามารถที่จะครอบโลกธาตุให้อยู่ในเงื้อมมือได้ สัตว์โลกในสามแดนโลกธาตุนี้รายไหนที่ได้พ้นอำนาจของกิเลส อยู่เหนือกิเลสได้มีไหม นอกจากพระอรหันต์เท่านั้น มีจำนวนมากขนาดไหนเราดูซิ สัตว์ในแดนโลกธาตุนี้ที่อยู่ใต้อำนาจของกิเลส โดยที่ไม่รู้สึกตัวเลยว่ากิเลสนั้นบีบบังคับ หรือเป็นเจ้าอำนาจปกครองอยู่ทุกดวงวิญญาณ
แหลมไหมกิเลส ฟังซิ ทั้ง ๆ ที่มันบีบบังคับอยู่ในหัวใจตลอดเวลาเราก็ไม่รู้ว่ามันเป็นภัย ไม่รู้ว่ามันเป็นกิเลส อุบายที่ออกมาในแง่ใดมุมใดของจิตแต่ละดวงแต่ละขณะที่คิดที่ปรุงออกมา มีแต่เรื่องของมันทั้งนั้น นั่นฟังซิ แล้วเราก็ไม่รู้ด้วยว่าเป็นเรื่องของมัน เป็นเรื่องของข้าศึกเบียดเบียนหรือบังคับเรา พอที่จะมีแก่ใจต่อสู้แก้ไขกับมัน นี่ถึงขนาดนั้นเรายังไม่รู้จะว่าไง ยังหัวเราะยังขับลำทำเพลงอยู่ เหมือนกับอยู่ในเรือนจำก็ไม่รู้ว่าติดคุกติดตะราง นี่ซิเวลาจะแก้มันให้ได้เห็นภัยตามทางของปราชญ์ท่านเห็นมาแล้ว ละมาแล้ว ผ่านพ้นมาแล้วนั้น จึงเห็นไม่ได้ ละไม่ได้ ผ่านพ้นไม่ได้ เห็นแต่กระหยิ่มยิ้มย่องกับมันอยู่ตลอดเวลา มันนั่นละสร้างความหวังให้ให้หวัง แต่หวังลมหวังแล้งเราก็ไม่รู้ว่าเราหวังลมหวังแล้ง เพราะความหลอกลวงของมัน
ทีนี้เรามาปฏิบัติทั้ง ๆ ที่มีอรรถมีธรรมมีครูมีอาจารย์คอยแนะนำสั่งสอนอยู่ ว่ากิเลสกับธรรม ๆ บอกอยู่ตลอดเวลาว่าเป็นข้าศึกกัน เป็นข้าศึกเรา เราก็ยังมองไม่ทันมันจะว่าไง พอจะฝึกหัดดัดแปลงตนเพื่อต่อสู้กับมันให้ได้ชัยชนะไปโดยลำดับลำดา ก็ถือเป็นความลำบากรำคาญอันเป็นเพลงของมันกล่อมไปเสีย และเถลไถลออกนอกลู่นอกทางตามมันที่ฉุดลากไปอีกแล้ว คิดดูในแง่ใดมุมใดมันไม่มีแง่ที่เราจะเข้าใจ แง่ที่จะเห็นโทษของมัน มีแต่แง่ที่ถูกกล่อมไปเสียทั้งนั้น แล้วจะมีแก่ใจประกอบความพากเพียรอย่างไร
นี้แหละนักปฏิบัติเราได้ยินได้ฟังจากครูบาอาจารย์อยู่ต่อหน้าต่อตา แต่ความอุตส่าห์พยายามที่จะปฏิบัติ ด้วยความเห็นโทษตามที่ท่านสอนไว้นั้นมันไม่มี พอที่จะตะเกียกตะกายไปตามอรรถตามธรรมก็ถูกกล่อมไปเสีย หาว่ายากว่าลำบาก แล้วก็เถลไถลออกนอกลู่นอกทางไปเสีย เฉพาะอย่างยิ่งด้านวัตถุนี่แหละออกได้ง่ายที่สุด โดยเห็นว่าสะดวกสบาย ยิ่งก่อสร้างนั้นสร้างนี้ด้วยแล้ว เอาละติดต่อกับผู้คนญาติโยมรบกวนนั่นนี่ กลายเป็นพระกวนบ้านกวนเมืองไปนั้นง่าย เพราะเป็นเรื่องของกิเลสไม่ใช่เรื่องของธรรม
เรื่องของธรรมแล้วต้องฝืนกิเลสอยู่ตลอดเวลา ทีนี้มันก็ไม่อยากฝืนซิ เพราะกิเลสก็กล่อมอยู่ให้ฝืนธรรม และการฝืนธรรมมันก็ไม่ฝืนยาก เพราะอำนาจแห่งความเชื่อมั่นในกิเลส หนักเบาขนาดไหนก็เห็นว่าเป็นของดิบของดีไปเสีย ไม่รู้ว่ากิเลสหลอกลวงให้ฝืนธรรม ให้เหยียบย่ำทำลายธรรม ทั้ง ๆ ที่เรามาหวังจะฆ่ากิเลส ส่งเสริมธรรม มันกลับตรงกันข้ามไปเสียอย่างนั้น พิจารณาดูซิท่านทั้งหลาย ที่กล่าวมาเหล่านี้กล่าวมาจากความมีความเป็น ตำรับตำราก็เคยได้ยินได้ฟังมาบ้าง ครูบาอาจารย์ก็เคยได้ยินได้ฟังมาพอสมควร
สรุปลงแล้วการได้พบได้เห็นการได้ต่อสู้กันกับมันนี้แหละ เป็นสิ่งที่ได้นำมาพูดได้นำมาเล่าให้หมู่เพื่อนฟัง เพราะหนักมากจริง ๆ การต่อสู้กับกิเลสนี่หนักมาก ตั้งแต่ขั้นล้มลุกคลุกคลาน มีแต่ต่อสู้กับกิเลส ให้มันเหยียบย่ำทำลายได้รับความทุกข์ความลำบากก็ไปโยนให้ธรรมเสียหมด ไม่ได้โยนให้กิเลสว่ามันฝ่ามันฝืน มันมีกำลังมากมันเหยียบย่ำทำลาย มันขัดมันขวางเราไม่ให้ก้าวดำเนินตามธรรมได้ อย่างนี้เราก็ไม่มีเวลาที่จะคิดได้ เลยโยนโทษโยนกรรมทั้งหลายไปให้ธรรมเสีย ซึ่งธรรมนั้นไม่มีโทษมีกรรมแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ไม่เหมือนกับกิเลสตัวเป็นโทษเป็นกรรมแก่สัตว์โลกนี้เลย ก็ยังจำยอมมันให้เป็นไปอย่างนั้น พวกเราโง่ไหมพิจารณาซิ
คำพูดนี้จะจริงหรือไม่จริงให้ท่านทั้งหลายจำเอาไว้ แล้วไปประพฤติปฏิบัติตนต่อสู้กับกิเลสดังที่กล่าวมานี้ลองดูซิ เมื่อธรรมได้สว่างกระจ่างแจ้งขึ้นมาโดยลำดับลำดาแล้ว จะพอมองเห็นโทษเห็นภัยของกิเลสที่แสดงอยู่ตลอดเวลาบนหัวใจของเรา แล้วก็จะได้ต่อสู้กัน นี่เคยต่อสู้มาแล้วจึงกล้าพูดให้หมู่เพื่อนฟัง ว่าแหลมคมไม่มีอะไรเกินกิเลส การประพฤติปฏิบัติหรือการแก้ไขการถอดถอนยาก ไม่มีอะไรเกินกิเลส มีแต่เรื่องฝืนธรรม ๆ ทั้งนั้น และเราก็ไม่รู้ว่ากิเลสฝืนธรรม เราก็ไปเข้าข้างกิเลสเสีย กลายเป็นเรื่องของเราฝืนธรรม เหยียบย่ำทำลายธรรมไปกับกิเลส เป็นพวกเป็นเพื่อนอันเดียวกันกับกิเลส หรือเป็นสมุนของกิเลสไปเสีย โดยที่เราก็ไม่มีเจตนา ไม่รู้ แต่มันก็เป็นไปตามหลักธรรมชาติของอำนาจแห่งกิเลสมันครอบงำ มันฉุดลากไปให้เป็นอย่างนั้น แน่ะ
นี่จึงทำให้ท้อใจเหมือนกัน บางกาลบางเวลาท้อใจนะ เกี่ยวกับหมู่กับเพื่อนประพฤติปฏิบัติเถลไถลออกนอกลู่นอกทางไป เพราะอะไร ก็เพราะสิ่งที่ฉุดลากฉุดลากอยู่ตลอดเวลา ทุกอาการของจิตที่แสดงออกมาออกมาจากความผลักดันของกิเลส ออกมาจากพลังของกิเลส ให้แสดงออกมาเป็นกิริยาแต่ละอาการ ๆ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นข้าศึกแห่งธรรม เหยียบย่ำทำลายธรรมทั้งนั้น แต่เราก็ไม่มีทางทราบได้ เพราะยังไม่ใช่ฐานะของจิตที่มืดมัวอยู่ด้วยอำนาจของกิเลสครอบงำจะทราบเรื่องของมันได้นี่ซิ นี่เวลามันมืดมันมืดอย่างนั้นแหละ มีแต่กิเลสออกทำงานทุกอาการ แม้ในทางจงกรม ในสถานที่นั่งภาวนา ขณะนั่งภาวนา ขณะเดินจงกรม ก็ไม่พ้นที่มันจะไม่เข้าไปทำงานอยู่ในวงแห่งความเพียรของเรานั้น ๆ ใครก็ใครเถอะเป็นอย่างนี้ด้วยกันทั้งนั้นแหละ
การฟังอุบายจากครูจากอาจารย์ ก็เพื่อจะส่งเสริมเพิ่มเติมสติปัญญาศรัทธาความเพียร ตลอดความอุตส่าห์พยายามให้มีกำลังแก่กล้าสามารถ แล้วต่อสู้กับกิเลสให้ได้ชัยชนะไปโดยลำดับลำดา ก็เป็นไปไม่ได้จะว่ายังไง นี่กล้าพูดถึงขนาดนั้นแหละว่า ไม่มีอะไรที่จะละเอียดแหลมคมและมีอำนาจมากจากความละเอียดแหลมคมของตน คือของกิเลส ไม่ว่าจิตวิญญาณดวงใดอยู่ใต้อำนาจของมันทั้งนั้นทีเดียว โดยเจ้าตัวก็ไม่รู้ว่าถูกบีบถูกบังคับ ถูกพาให้เกิดแก่เจ็บตายอยู่ไม่หยุดไม่ถอย ให้สร้างบาปสร้างกรรม
ทั้ง ๆ ที่บาปกรรมใคร ๆ ก็รู้ว่าให้ผลเป็นทุกข์ ธรรมท่านก็สอนเอาไว้ จอมปราชญ์คือศาสดาของเรานี้สอนแต่เรื่องเหตุเรื่องผล เรื่องความมีความเป็น ทั้งของกิเลสทั้งของธรรมให้เห็นอย่างชัดเจนเปิดเผย เราก็ยังทราบไม่ได้ นอกจากนั้นก็มีครูมีอาจารย์แนะนำสั่งสอนบอกเหตุบอกผลบอกโทษบอกคุณ ทั้งฝ่ายกิเลสและฝ่ายธรรมอย่างเปิดเผยอีกเช่นเดียวกัน เราก็ไม่มีทางทราบได้อยู่อย่างนี้จะว่ายังไง นั่นเห็นไหมกิเลส ละเอียดไหมดูซิ
คิดดูตั้งแต่เราปฏิบัติเข้าไปถึงขั้นที่จะประหัตประหารกันให้ขาดสะบั้นจากจิตใจอยู่แล้ว ยังไปหลงเพลงของมันได้ฟังซิ ดังที่เคยกล่าวไว้เสมอว่า อวิชฺชาปจฺจยา ความโลภ ความโกรธ ความหลง ทั้งหลายเหล่านี้ซึ่งเป็นของหยาบ ก็ว่าฆ่าไป ๆ ความรักความชังฆ่ากันไป ๆ ด้วยความแน่ใจว่าเป็นกิเลส ๆ บทตัวของกษัตริย์จริง ๆ มองไม่เห็นเลย ยังไปถูกมันกล่อมจนได้ ละเอียดไหมฟังซิ ยังถึงขั้นมันปักขวากปักหนามอย่างละเอียดลออไว้ให้เราเหยียบจนได้
ดังที่ท่านสอนแสดงไว้ว่าอุปกิเลส ๑๖ จะเป็นอะไรไปถ้าไม่ใช่ลวดลายของอวิชชาอันเดียวนี้เท่านั้น มันสง่าผ่าเผย มันผ่องใส มันองอาจกล้าหาญ มันอัศจรรย์ น่าอัศจรรย์ทุกอย่าง นี่มีแต่เครื่องหลอก ลวดลายของอวิชชาทั้งนั้น สติปัญญาฆ่ากิเลสซึ่งเป็นส่วนหยาบ บริษัทบริวารของมันฆ่าเข้ามาโดยลำดับลำดาไม่มีอะไรเหลือ ถึงขั้นกษัตริย์มันแล้วยังไปหลงให้มันกล่อมจนได้นั่นซิ นี่ละมันน่าทุเรศจริง ๆ นะ แล้วสิ่งที่จะทำให้เราพูดได้อย่างชัดเจนประจักษ์ออกมาจากใจนี้ก็คืออวิชชา ละเอียดขนาดนั้นนะ มันน้อยหน้าเมื่อไรฟังซิ ทีนี้เราจะมาพูดอะไรถึงเรื่องหยาบ ๆ เหล่านี้ ซึ่งปัญญาของเราก็ไม่มีพอที่จะรู้เรื่องรู้ราวของมันจะแก้จะไขได้ นี่ซิถึงว่ามันละเอียดมาก มีอำนาจมากจากความละเอียดแหลมคมของมัน
การปกครองจิตวิญญาณของสัตว์โลกแต่ละดวง ๆ ต้องปกครองด้วยความฉลาดแหลมคม จนสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นไม่สามารถรู้ได้เลยว่าอะไรครอบหัวใจของตัวอยู่ บีบบังคับหัวใจของตัวอยู่ ให้พาเกิดแก่เจ็บตายในภพน้อยภพใหญ่ ให้รับความทุกข์ความทรมาน เพราะมันพาให้ทำด้วยความพอใจอยากทำ วิญญาณดวงใดที่จะโผล่หน้าออกมาให้เห็นโทษของมัน มีสติปัญญาแย็บออกมาพอเห็นโทษของมันบ้างไม่มีเลย มีแต่ปิดหูปิดตาเหมือนกับหูหนวกตาบอด ปิดทวารทั้งหกไว้หมดเลย ลากไปไหนก็ไป ลากไปที่ไหนก็ไป ไปได้ทั้งนั้นขึ้นชื่อว่ากิเลสที่แหลมคมกว่าแล้วลากไป ลากไปได้หมด ด้วยความไม่รู้นั่นเอง
ในขั้นหยาบ ๆ นี่ก็ความฟุ้งซ่านวุ่นวายอยู่เวลานี้ มันฟุ้งซ่านอะไร เราก็พอใจคิดทั้ง ๆ ที่เราไม่อยากฟุ้งซ่านรำคาญ ไม่อยากเป็นทุกข์เพราะความคิดความปรุงของตน แต่เราก็ขยันคิดขยันปรุงอยู่ไม่หยุดไม่ถอย ไม่มีการยับยั้งชั่งตัวว่าการคิดปรุงนี้เป็นภัยต่อตัวเอง พอที่จะเข้าหาความสงบร่มเย็นด้วยอรรถด้วยธรรมเป็นเครื่องมือ อย่างนี้มันก็ทั้งยากยังทำไม่ได้จะว่าไง ถ้าหากพอทำได้หรือทำกันได้ ทำไมเราจะไม่ได้สมาธิคือความร่มเย็นของใจ เป็นที่พึ่งเป็นหลักเกณฑ์ของใจในเบื้องต้นล่ะ จิตเราจะไปรวนเรเร่ร่อนอยู่ทำไม ที่พักที่อยู่ที่อาศัยอันเป็นความร่มเย็นมีอยู่แท้ ๆ
หลักธรรมท่านก็กล่าวไว้ว่าความร่มเย็นเหล่านี้ ร่มเย็นด้วยหลักธรรม สมาธิธรรม นั่น สติธรรม วิริยธรรม นี่เมื่อมีธรรมเหล่านี้แล้วใจก็สกัดลัดกั้นกันกระแสแห่งความฟุ้งซ่านรำคาญ เพราะความคิดไม่หยุดด้วยอำนาจของกิเลสนั้นได้เป็นลำดับลำดา จนถึงขั้นแห่งความสงบใจได้
ใจถ้าเป็นสมาธิลงไปแล้วก็พออยู่พอไป ไม่อดไม่อยาก ไม่ขาดแคลนความสุขนักเหมือนอย่างที่ไม่มีอะไรเหลือติดตัวเลย มีแต่ความฟุ้งซ่านวุ่นวายภายในใจอันเป็นไฟเผาตัวอยู่ตลอดเวลานี้ นี่ละให้เราฟังซิ ท่านนักปฏิบัติทั้งหลายฟังซิ อะไรหนุนให้เราคิดอยู่ทุกวันนี้ ให้วุ่นวายนี้ ธรรมท่านไม่วุ่น กิเลสนั้นต้องวุ่นแน่ ๆ กระดิกตัวออกต้องวุ่นไปเลย ๆ เราก็ยังไม่เห็นโทษ ยังคิดเสียจนเป็นบ้าก็มีจะว่าอะไร คิดมากเกินไปจนเป็นบ้ามีเยอะ ยังไม่เห็นโทษว่ากิเลสพาให้เป็นบ้าอีก นั่นละเอียดไหม
ถ้าพิจารณาถึงเรื่องการต่อสู้กับกิเลส อุบายต่าง ๆ นานาแล้ว โห หมดพุงหมดความสามารถทุกสิ่งทุกอย่าง หมดชีวิตจิตใจที่จะค้นคว้าหรือขุดค้นขึ้นมาเพื่อต่อสู้กับกิเลส อุบายสติปัญญามีมากเท่าไร ความพากความเพียร ความอดความทนมีเท่าไรทุ่มเข้ามาหมดเพื่อต่อสู้กับกิเลส เฉพาะอย่างยิ่งสติกับปัญญาเป็นสิ่งสำคัญมากจะปล่อยวางไม่ได้ ถ้าไม่อยากให้กิเลสขยี้ขยำจนไม่มีชิ้นเหลือ สติปัญญาเท่านั้นละที่จะต่อต้านกันไว้พอให้ใจได้รับความร่มเย็น นี่ละเป็นอย่างนี้
นี่ไม่ลืมความตะเกียกตะกาย ความล้มลุกคลุกคลานมาตั้งแต่ขั้นต้น อยู่ไหนก็ไม่สบาย นั่งก็ไม่สบาย นอนก็ไม่สบาย เหมือนกับสุนัขที่มีแผลอยู่บนศีรษะ หนอนเจาะหนอนไชอยู่ตลอดเวลา หาความสุขความสบายไม่ได้ โดดลงน้ำก็ไม่สบาย ขึ้นบนบกก็ไม่สบาย ไปเที่ยวหลบซ่อนอยู่ที่ไหน ๆ ในอิริยาบถของหมา ความกระดิกพลิกแพลงของหมา หาความสบายไม่ได้เลย เพราะแผลอยู่บนศีรษะ ไปไหนแผลมันก็ไปด้วย หนอนก็เจาะก็ไชอยู่บนหัวมันด้วย เอาอะไรมาเป็นความสุข นี้ก็เหมือนกัน กิเลสเป็นหนอนเจาะหนอนไชอยู่บนหัวใจเรา อยู่ในอิริยาบถใดมีแต่ความทุกข์ความเดือดร้อน นี่เวลากิเลสเรืองอำนาจเป็นอย่างนี้
แต่ยังไงก็ตามไม่พ้นวิสัยของเราที่จะเป็นผู้พยายามหวังพึ่งอรรถพึ่งธรรม เพราะเรื่องของกิเลสว่าพึ่งมันก็ไม่เห็นมีอะไรพอที่จะพึ่งได้ มีแต่เหยียบย่ำทำลาย เราหวังพึ่งธรรม อย่างน้อยก็พอให้ใจได้สงบร่มเย็นในทางสมาธิบ้างก็ยังดี นั่นละพอมีที่ปลงที่วางบ้าง ถ้าเป็นเดินทางก็มีร่มไม้ชายคาสองฟากทางพอให้ได้อาศัยบ้าง ไม่ได้ถูกแดดเผาเสียโดยถ่ายเดียว นี่กิเลสมันแผดเผาโดยถ่ายเดียวหาธรรมเป็นร่มเป็นเงาไม่ได้ก็เกินไปมนุษย์เรา ผู้ปฏิบัติธรรมแท้ ๆ
เวลามันล้มลุกคลุกคลานมันร้อน ร้อนอย่างนั้นนะ นี้เคยแล้ว ตา หู จมูก ลิ้น กาย สัมผัสสัมพันธ์อะไรไม่ได้ คอยแต่จะเกิดกิเลส คอยแต่จะเป็นฟืนเป็นไฟเผาเจ้าของทั้งนั้น ถึงขั้นกิเลสเรืองอำนาจเป็นอย่างนั้น มองดูรูปก็เหมือนเทวดา ดูซิ ฟังเสียงก็เหมือนเทวดา กลิ่น รส เครื่องสัมผัสทุกอย่าง เหมือนเทวดาไปหมด เหมือนสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา อสุภะอสุภังกองเต็มมันอยู่เลย มันเหมือนกับอะไร
เป็นคนละโลก ทำให้กระหยิ่ม ทำให้อ้อยอิ่งกับสิ่งนั้นละอยู่ตลอดเวลา
ในเวลาที่กิเลสเรืองอำนาจ ประตูคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย นี้เปิดไม่เปิดมันก็แสดงลวดลายอยู่ภายใน เป็นฟืนเป็นไฟอยู่ภายในนั้น พอเปิดประตูออก คือตาได้เห็นรูป หูได้ฟังเสียงด้วยแล้ว ก็เหมือนเอาไฟเข้ามาเผา เผาตัวเองนั่นละ ออกไปก็ออกไปหาฟืนหาไฟ รูปก็เป็นไฟ เมื่อใจได้เป็นไฟอยู่ภายในนี้แล้วมันยิ่งรับกันทันที ๆ รูปก็เป็นไฟ เสียงก็เป็นไฟ กลิ่น รส เครื่องสัมผัสเป็นฟืนเป็นไฟไปด้วยกันทั้งนั้น เผาหัวใจเราถึงขนาดที่จะนอนไม่ได้กินไม่ได้ฟังซิ
นี่ในระยะกิเลสเรืองอำนาจเป็นอย่างนี้ ทุกข์มากที่สุด แต่ยังไงก็ตามไม่พ้นธรรม เพราะธรรมเหนือกิเลสเสมอ อุบายของธรรมเหนือกิเลส ถ้านำมาใช้ให้เหนือ
.เหนือ เพราะพระพุทธเจ้าปราบกิเลสด้วยธรรม พระสาวกอรหัตอรหันต์ทั้งหลายท่านปราบกิเลสด้วยธรรม กิเลสสิ้นซากไปด้วยธรรม ทำไมเราจึงจะสิ้นซากไปเพราะอำนาจของกิเลส โดยไม่คำนึง ไม่เสาะไม่แสวงหาธรรมมาเป็นเครื่องปราบปรามหรือต้านทานกันบ้างเลย นี่ก็เกินไป
อยู่ไปวันหนึ่ง ๆ เกิดประโยชน์อะไร ควรที่จะเอามืดกับแจ้งที่ตนผ่านมานี้มาทบทวนกันดูว่า ผลประโยชน์ได้มากน้อยอย่างไร และจากนี้ต่อไปเราจะปฏิบัติอย่างไรเมื่ออดีตเป็นมาอย่างนั้น ๆ เป็นฝ่ายดีฝ่ายชั่วประการใดบ้าง บวกลบคูณหารกันดูซิ เรื่องราวของเราที่ผ่านมาโดยลำดับลำดานี้ได้ผลได้ประโยชน์อะไรบ้าง และต่อไปนี้เราจะคิดอย่างไรให้สมกับว่าเราหวังอยู่ตลอดเวลากับความสุขความเจริญ มรรคผลนิพพาน สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นเพราะอะไร ถ้าหากเรายังยอมจำนนต่อกิเลสอยู่ตลอดเวลานี้ก็ไม่มีหวัง ถึงจะหวังเท่าไรก็เป็นโมฆะ หวังมากน้อยเพียงไรความพากเพียรการต่อสู้กับกิเลสต้องให้หนักมากเพียงนั้น จึงจะมีธรรมเหล่านี้เป็นเครื่องสนองความต้องการของเรา
นี่พูดถึงเวลากิเลสเรืองอำนาจเรืองอย่างนั้นจริง ๆ ในหัวใจใดก็เถอะเป็นอย่างนั้น เมื่อยังไม่มีธรรมเป็นเครื่องแก้กันแล้วก็เหมือนกับคนไข้หนักนั่นแหละ มีแต่ทุกข์มีแต่ลำบาก โรคเหยียบย่ำทำลายลงอยู่ทุกเวลา หายาหาหมอที่จะมาแก้ไม่มีเลย มีแต่ทางจะตายท่าเดียวทางหายไม่มี นี่ถ้ามีแต่ปล่อยให้กิเลสเหยียบย่ำทำลายทุกอาการของจิตที่เคลื่อนไหวไปมาอยู่แล้ว ไม่มีธรรมเข้าไปเคลือบแฝง ไม่มีธรรมเข้าไปยื้อแย่งแข่งดีกัน ไม่มีอุบายของครูบาอาจารย์พอที่จะนำมาปฏิบัติต่อกิเลสแล้ว ก็มีหวังที่จะตาย ล่มจมไปได้เช่นเดียวกัน ไอ้เรื่องผ้าเหลืองในตลาดร้านค้าไม่อดไม่อยาก สำคัญอยู่ที่เรานี้ละจะเอาจริงเอาจังแค่ไหน
เคยพูดแล้วการเกิดแก่เจ็บตายในวัฏสงสารนี้ โลกทั้งหลายไม่มีใครยิ่งหย่อนกว่าใคร ถ้าจะเลิศก็เลิศกันแล้วเรายังสงสัยอะไรอีก การเกิดแก่เจ็บตายก็คือเรื่องของกองทุกข์ทั้งนั้น ความโลภ ความโกรธ ความหลง เคยเอาความดิบความดีมาให้ผู้ใดได้รับความสุขความเจริญ เพราะความโลภมาก โกรธมาก หลงมาก รักมาก ชังมาก เราเคยได้ดิบได้ดีจากมันที่ไหน ปราชญ์ทั้งหลายท่านตำหนิกันทั้งนั้น เพราะพวกนี้เป็นฟืนเป็นไฟเผาหัวใจให้เป็นมหันตทุกข์ขึ้นมาได้ตลอดเวลาที่เรายังไม่เห็นโทษของมัน
สิ่งที่ปราชญ์ท่านชมเชย เราก็ควรที่จะยึดให้เป็นหลักเป็นเกณฑ์ ประพฤติปฏิบัติตนให้ได้เป็นลำดับลำดาไป ปราชญ์ชมอะไร ความสุข ความสุขเกิดขึ้นจากอะไร เกิดขึ้นจากความพากเพียรโดยธรรม มีธรรมเป็นเครื่องพาดำเนิน ธรรมก็มีอยู่ สติธรรมก็มี ปัญญาธรรมก็มีถ้าเราคิดให้มี ความอุตส่าห์พยายาม เราอุตส่าห์อย่างอื่นเรายังอุตส่าห์ได้ อุตส่าห์ตามกิเลสยังอุตส่าห์ได้ เหตุใดจะอุตส่าห์ไปตามอรรถตามธรรมไม่ได้ แน่ะ
เบื้องต้นนี่ซิมันลำบาก เพราะฉะนั้นผู้ปฏิบัติจึงต้องได้หาอุบายวิธีต่าง ๆ ยิ่งเวลาร่างกายมีกำลังมาก ก็ต้องได้ผ่อนสิ่งที่จะเสริมให้ร่างกายมีกำลังมากอันเป็นเครื่องมือของกิเลสนี้ ให้กิเลสได้ทำงานคล่องตัวมากขึ้น ก็ต้องได้ตัดได้ทอนกันลง ถ้าแก่ไปแล้วก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง หนุ่ม ๆ นี่เห็นได้ชัดสำหรับผมเอง ใครก็เถอะไม่ผิดกันละ สังขารร่างกายนี้ต้องได้พยายามกดมันอยู่ตลอดเวลา
ร่างกายเมื่อมีกำลังมากกิเลสมาก เฉพาะอย่างยิ่งราคะเร็วที่สุด ทั้ง ๆ ที่เราพยายามตีมันอยู่ตลอดเวลา ฆ่ามันอยู่ตลอดเวลา มันยังโผล่ขึ้นมาต่อหน้าต่อตาได้เวลากำลังวังชาไม่พอ มันหากให้เกิดให้รู้ในหัวใจเรานั้นแหละ มันเกิดได้ง่าย แต่การดับดับได้ยากที่สุด จึงต้องได้ใช้อุบายวิธีต่าง ๆ ดัดแปลงอยู่ตลอดเวลา
ถ้าพูดถึงเรื่องปฏิปทา เรานี้รู้สึกว่าปฏิปทาอดอยากขาดแคลน เพราะอำนาจวาสนามันหยาบ ต้องได้เอากันอย่างหนัก นี่ละท้องเสียมาจนกระทั่งทุกวันนี้ เราก็ทราบว่าสาเหตุเป็นมาเพราะอะไร ทางแพทย์เขาก็บอกแล้วว่า อาหารเมื่อไม่มีในท้องท้องย่อมจะเสีย เพราะถูกกรดมันกัดบ้างอะไรบ้างดังเขาว่านั่น เราไม่ใช่หมอก็พอพูดได้เล็กน้อยเท่านั้นเอง
เราก็เป็นอย่างนั้นอยู่ตลอดนี่ เพราะไม่ได้คำนึงถึงว่าพวกกรดพวกอะไร เราไม่ได้คำนึง มีแต่เห็นว่าเป็นความสะดวกสบายภายในจิตใจ กิเลสราคะตัณหาไม่ค่อยกำเริบรุนแรงมากนักเพราะการอดอย่างนี้ และเป็นการช่วยทางด้านจิตตภาวนาให้สะดวกขึ้นไปกว่าปกติที่เราฉันอยู่ทุกวัน ๆ เราก็ต้องตะเกียกตะกาย ไม่ได้คำนึงว่าจะเป็นอะไรในท้องในไส้ของเรานี้ เมื่ออดไม่หยุดไม่ถอย อดไป ๆ อดมาหลายวันหลายปีหลายเดือนเข้ามันก็แสดงออกมา ท้องก็เลยเสีย อายุยังไม่ถึง ๔๐ ท้องเริ่มเสียมาตั้งแต่พรรษาที่ ๑๐ แน่ะฟังซิ
เพราะเริ่มขุดค้นกันมาตั้งแต่พรรษา ๗ ล่วงแล้วนี่ ๘-๙ นี้เรียกว่าขึ้นเวทีแล้ว เข้าสู่สงครามต่อสู้กับกิเลสแล้ว เรื่อยไปเลย ถึงพรรษา ๑๐ นี้รู้สึกว่ามากขึ้น ๆ แต่เจ้าของก็ยังไม่สนใจกับเรื่องธาตุเรื่องขันธ์ว่าจะเป็นจะตายยังไงบ้าง นอกจากจะเอาให้กิเลสอยู่ในเงื้อมมือเท่านั้น นี่มันก็ตะเกียกตะกายอยู่ตลอดเวลา ไม่มาคิดถึงเรื่องการกินการอะไร อดอยากขาดแคลนไม่คิด และธาตุขันธ์จะเป็นอย่างนั้นจะแปรปรวนอย่างนี้ จะเสียไปอย่างนั้นอย่างนี้ไม่คิด หลัง ๆ มานี้ก็ค่อยรู้ อดไปก็ได้เพียงแค่เท่าไร อายุนี้ ๓๖ พรรษาก็ถึงแค่ ๑๖ ซึ่งเพียบแล้วนะน่ะ เป็นมากแล้ว
เริ่มไปตั้งแต่พรรษา ๑๐ นี่ละ อดไป ๆ ก็วันก็อด มันก็ไม่ถ่ายเพราะไม่มีอะไรจะถ่าย พอเริ่มฉันลงไปวันเดียวเท่านั้น ตกตอนบ่ายมาฟังเสียงท้องร้องโก้กเก้ก ๆ พอค่ำลงไปก็ถ่าย ถ่ายเสียจนหมด วันหลังมาก็อดอีกเสีย แน่ะ จนกระทั่งถึงต้องการจะฉันเมื่อไรค่อยฉัน ก็เป็นอย่างนั้นไปเรื่อย ๆ เมื่อนานเข้าไป ๆ อดกี่วันก็ตาม เพียง ๔-๕ วันเท่านั้นมันก็ไม่ย่อยแล้ว ถ่ายออกหมด ๆ ก็เลยได้พักมาตั้งแต่พรรษา ๑๖ ล่วงไปแล้ว ดูจะเริ่มหยุดการอดอาหารมาตั้งแต่จะเข้าพรรษาของปีพรรษา ๑๗ เรื่อยมาจนป่านนี้ก็ไม่ได้อดอีกนะ และท้องก็เป็นมาเรื่อยตั้งแต่โน้นจนบัดนี้ละ แต่ได้ฉันยาเขานี้ค่อยดีขึ้นบ้าง
ยาไทยเรานี้ แต่ก่อนมันเป็นเอามากทีเดียว ถ่ายเสียจนไม่มีอะไรเหลือ ๆ
นี่พูดถึงเรื่องการฝึกทรมาน การกดบีบบังคับธาตุขันธ์ไว้ไม่ให้รุนแรง เพราะมันเป็นเครื่องมือของกิเลสได้ดี เฉพาะอย่างยิ่งราคะตัณหานี้รวดเร็ว การภาวนาก็ฝืดอืดอาดเนือยนาย แต่พออดอาหารลงไป ผ่อนอาหารลงไปแล้ว สมาธิก็ดี ดีขึ้นเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้นถึงวันที่จะฉันจึงเสียดายไม่อยากฉัน ถ้าฉันแล้วก็เหมือนกับรถบรรทุกของหนัก อืดอาดไม่คล่องตัว แต่ก็จำต้องได้ฉันไม่งั้นก็ตาย เพราะเราอาศัยธาตุขันธ์จะทำไง นี่มันฟัดมันเหวี่ยงกันไปอย่างนี้
ทีนี้เมื่อถึงขั้นปัญญามันก็คล่องตัว การอดอาหารนี้ช่วยได้ทั้งสองอย่าง ทางสมาธิก็ช่วย ทางด้านปัญญาก็ช่วย สำหรับเราเองเป็นอย่างนั้น ปัญญานี้คล่องตัวที่สุดเลยเพราะอดอาหาร แต่ก่อนมันเป็นอยู่แล้ว เมื่อถึงขั้นปัญญาอัตโนมัติหรือภาวนามยปัญญาแล้ว ปัญญามักจะคล่องตัวหรือคล่องตัวอยู่เสมอ แต่เวลาอดอาหารเข้าไปอีกยิ่งเพิ่มเข้าไปให้แหลมคมเข้าไป คล่องตัวเข้าไป นี่ซิมันเห็นได้ชัด ๆ เพราะฉะนั้นจึงไม่สนใจกับเรื่องการอยู่การกินยิ่งกว่าธรรม นี่ในขั้นนี้เริ่มเห็นโทษของกิเลสไปโดยลำดับลำดาแล้ว ในขณะเดียวกันก็เริ่มเห็นคุณค่าของธรรม ของความพ้นทุกข์หนักขึ้น มากขึ้น ๆ นี่ที่นี่เมื่อธรรมมีอำนาจสูงขึ้นไปเป็นลำดับลำดาแล้ว กิเลสย่อมอ่อนตัวลงไป ก็ยิ่งเห็นได้ชัด ฆ่ากันได้ง่าย แน่ะ
ตอนต้นลำบากลำบนอย่างนั้นเอง แต่ที่จะได้ความดิบความดีหรือการภาวนาตั้งรากตั้งฐานได้ ก็เพราะการล้มลุกคลุกคลาน การอดอยากขาดแคลนนั้นแหละเป็นพื้นฐาน เพราะฉะนั้นเราจึงไม่ได้วิตกวิจารณ์กับเรื่องธาตุเรื่องขันธ์ว่าจะเป็นจะตายอะไรอย่างทุกวันนี้ เพราะเป็นเครื่องหนุนปฏิปทาที่ทำมาแบบสมบุกสมบัน นั้นเป็นเครื่องหนุนความดีของเราให้ก้าวขึ้นไปโดยลำดับลำดา จนกระทั่งเห็นได้ชัดเพราะการทรมานตนแบบนี้ จึงไม่ได้เสียดาย
อย่างทุกวันนี้ก็ไม่เคยคิดเสียดายย้อนหลังว่าเกินไป หรือทำความเพียรเกินไปนี้ไม่คิด ถ้าหากจะคิดมันก็ราวกับจะเป็นอย่างนั้นแหละ เพราะถึงขั้น ถ้าเป็นนักมวยก็ถึงขั้นไม่ให้มีกรรมการแยกกันนั่นละ มันจะทุ่นเวลาตายช้าลงไปอย่างนี้ไม่ให้มี เอา ใครดีอยู่ใครไม่ดีแล้วให้พังลงไปเลย ไม่ต้องมีกรรมการแยก นี่ถึงขั้นมันเด็ดเด็ดอย่างนั้นนะ เรื่องของสติปัญญาที่ต่อสู้กับกิเลสเด็ดถึงขนาดนั้น จนกระทั่งเด็ดจนถึงว่าไม่มีกรรมการประจำในเวทีนั้นเลย นั่น
เมื่อปัญญาได้แก่กล้าสามารถเข้าไปแล้วไม่มีกลัวอะไรทั้งนั้น กิเลสนี้ให้โผล่ขึ้นมา การคุ้ยเขี่ยขุดค้นในเวลากิเลสมันหลบซ่อนตัวก็เป็นงานอันหนึ่ง คุ้ยเขี่ยขุดค้นอยู่ตลอดเวลา พอได้เจอกันก็เหมือนกับว่าได้งานแล้ว สุดท้ายก็เรียกว่างานทั้งสองนั่นเอง งานขุดค้นหากิเลสก็มี เรียกว่างานประเภทหนึ่ง พอเจอกิเลสแล้วห้ำหั่นกันก็เป็นงานประเภทหนึ่ง เพราะฉะนั้นจิตจึงไม่ว่างจากงานในวันหนึ่งคืนหนึ่งของจิตขั้นเกรียงไกร สติปัญญาขั้นเกรียงไกรแล้วเป็นอย่างนั้น นี่ทีนี้มันผิดกันไหมล่ะกับในขณะที่ล้มลุกคลุกคลาน เหมือนไม่ใช่จิตดวงนี้เลย เหมือนไม่ใช่สติปัญญาที่เราใช้อยู่เวลานี้เลย เพราะมันไม่มีแต่ก่อน ต่อมาก็มีได้ เมื่อเสาะแสวงเมื่อบำเพ็ญอยู่เสมอก็มีได้อย่างนั้น
เมื่อถึงขั้นเห็นโทษเห็นจริง ๆ ไม่ใช่เห็นธรรมดา เห็นประจักษ์ในหัวใจ ไม่อยากอยู่ ไม่อยากตกค้างในภพใดภูมิใด แม้ที่สุดดังท่านแสดงไว้ในสุทธาวาส ๕ เป็นที่อยู่ของพระอนาคามี ตั้งแต่ชั้นอวิหาขึ้นไป อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี อกนิฏฐา นี้ ผู้ที่ก้าวเข้าพรหมโลก ๕ ชั้นนี้แล้วไม่กลับ แม้จะไม่กลับก็ตามแต่จะตกค้างอยู่ในภูมิใดในชั้นใดของสุทธาวาสนั้นก็ไม่ปรารถนา นอกจากจะให้หลุดพ้นเสียอย่างเดียวสด ๆ ร้อน ๆ ต่อหน้าต่อตาในภพนี้ชาตินี้หรือวันนี้เท่านั้น นั่นเมื่อถึงขั้นของจิตที่เด็ด เห็นโทษของกิเลสอย่างประจักษ์ใจแล้ว ย่อมเห็นคุณค่าของธรรมที่จะก้าวให้พ้นไปเสียนั้นอย่างถึงใจเช่นเดียวกัน
อันนี้ยังทำให้คิดย้อนหลังไปถึงคราวป่วยอยู่อำเภออะไร ระหว่าง อ.บ้านผือ กับ อ.ท่าบ่อ ต่อเขตต่อแดนกัน มีแม่น้ำทอนเป็นเขตแดน เราไปป่วยอยู่ตรงนั้น ป่วยอันนี้เขาเรียกไข้เจ็บขัดในหัวอก เราทำให้สงสัยเหมือนกันว่าถ้าไม่มีเชื้อทำไมคนป่วยจึงดาดาษกันไปหมด เหมือนอหิวาต์ เหมือนโรคฝีดาษ วันหนึ่ง ๆ เป็นกันเท่าไร ๆ ตายกันเท่าไร ๆ วันละสามคน สี่คน ห้าคน เจ็ดแปดคน นั่นฟังซิ โรคเจ็บขัดในหัวอกนะ
เราไปพักอยู่ในป่าเขาก็ไปนิมนต์มา กุสลา มาติกา ให้คนตาย เพราะแถวนั้นไม่มีพระอีกด้วย ก็ลำบากอีกแหละ มีอะไร้ มีแต่ กุสลา มาติกา ให้บุญคนตายไม่หยุดไม่ถอย ทั้งวัน ๆ เพราะวันหนึ่งตายสักเท่าไร เลยจะไม่ได้หนีจากป่าช้านะ ถึงขนาดนั้นแหละ บ้านกะโหม-โพนทอง ตายกันถึงขนาดนั้น และสุดท้ายก็มาเป็นขึ้นกับเราเอง จนรู้สึกว่าจะเป็นความแน่ใจนะในเวลานั้น
แต่มีอยู่ข้อหนึ่งที่ว่า ธรรมของเรานี้ก็แข็งกร้าวเหมือนกัน ไม่ใช่เล่นนะ พอมาปรากฏขึ้นในหัวอกของเราเท่านั้น โอ้ คราวนี้เราละคนหนึ่ง นั่นเริ่มแล้ว อ๋อ โรคเจ็บขัดหัวอกเป็นอย่างนี้เอง และรู้ทันที คือมันเหมือนกับเหล็กแหลมกับหลาวทิ่มแทงเข้าไปในหัวอกในหัวใจนั่นน่ะ หายใจแรงก็ไม่ได้ขัดเจ็บ มันขัดมันอะไรชอบกลพูดไม่ถูก ธรรมดามันเจ็บในหัวอก แน่นในหัวอก จากนั้นพอเราหายใจแรง ๆ หน่อยก็เป็นเหมือนหอกเหมือนหลาวทิ่มเข้าไปในนั้น
ก็ทราบทันที อ๋อ โรคอย่างนี้เองที่โรคเจ็บหัวอกเขาเป็นกัน เป็นอย่างนี้เอง เรารู้ โอ๋ ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วไม่นาน เพราะมันจะหายใจไม่ได้ คับเข้า แน่นเข้า ๆ หายใจแรงไม่ได้ แล้วสุดท้ายก็เลยไม่ไปมาติกา กุสลา ให้เขาแหละ ก็บอกเขาขอตัวเถอะ ที่นี่เป็นแล้วเป็นอย่างนั้นแล้ว บอกเขา ต้องหลบตัวมาอยู่ที่พัก เพราะอยู่ป่าไผ่ กอไผ่ที่ตีนภูเขา
นี่ละเป็นเหตุที่ให้คิด ที่ไม่ลืมนะ ในระยะนั้นจิตก็ละเอียดมากทีเดียว เรื่องร่างกายนี้เป็นอันว่าปล่อยกันไปหมดแล้วไม่มีอะไรเหลือ เหลือแต่นามธรรม ความคิดความปรุงที่ฟัดเหวี่ยงกันอยู่ตรงนั้น จิตก็รู้สึกละเอียดมาก ผ่องใสมาก กล้าหาญมากในขั้นนั้น นี่หลังจากถวายเพลิงของพ่อแม่ครูบาอาจารย์แล้วนะ ปีนั้นแหละขโมยหนีจากหมู่เพื่อนไปอยู่ในป่าในเขาลำพังตัวคนเดียว เพราะความเพียรในขั้นนั้นในเวลานั้นเป็นความเพียรที่อยู่กับใครไม่ได้ ต้องอยู่คนเดียวเท่านั้น จึงเหมาะกับงานของเราที่ไม่มีเวลาว่างเว้นแต่หลับเท่านั้น หมุนกันติ้ว ๆ ทั้งวันทั้งคืน เรียกว่าเป็นสติปัญญาอัตโนมัติแล้ว ทีนี้เมื่อโรคเจ็บขัดหัวอกนี้ได้ปรากฏขึ้นก็ชักจะรวนเร เออ เรานี้จะไปเสียแล้วเหรอนี่ นี่ที่ทำให้คิดนะ
ไปเวลานี้เรายังไม่อยากไป นั่น เพราะในหัวใจนี้ยังรู้อยู่ชัด ๆ ว่าถึงจะละเอียดขนาดไหนก็ตาม จิตนี้ยังไม่ได้เป็นอิสระ ยังมีอะไรอยู่ในจิตของเรา หากว่าตายนี้เราก็แน่ว่าจะไปเกิดในที่นั้น ๆ ยังไงก็ต้องค้างไม่ถึงที่ ค้างก็ไม่อยากค้าง นี่ละที่ทำให้วิตกวิจารณ์ว่ายังไม่อยากตาย เพราะจิตยังจะค้างอยู่ในชั้นใดชั้นหนึ่ง
ในความรู้สึกของเรารู้อยู่อย่างชัด ๆ อย่างนั้นไม่สงสัย ไม่มีใครมาบอกแหละ สนฺทิฏฺฐิโก บอกอยู่ชัด ๆ ในภูมิของจิตภูมิของธรรม และสถานที่ที่จิตจะไปไปอยู่ พูดจะว่าไปเกิดก็ไปเกิด พูดง่าย ๆ มันรู้ได้ชัด ๆ ยังไงก็ตามเรื่องค้างนี้ไม่อยากตกอยากค้างในสถานที่ใด มีอย่างเดียวที่ว่าให้หลุดพ้นไปเสียต่อหน้าต่อตาเท่านั้น ตายเมื่อไรก็ไม่ว่า แต่เวลานี้ยังไม่อยากตาย
ในความรู้สึกยังมีอาลัยอาวรณ์อยู่กับ
ไม่ใช่ว่าชีวิตนะ อยู่กับมรรคผลนิพพานที่ตนต้องการจะได้ เพราะความปรารถนาความมุ่งมั่นในจิตเวลานั้น ไม่ต้องการอะไรนอกจากถึงนิพพานโดยถ่ายเดียวเท่านั้น นั่นถ้าเป็นภูมิธรรมก็อรหัตภูมิเท่านั้น เวลานี้ยังไม่ถึงรู้เจ้าของอยู่ชัด ๆ นี่ละทำให้เจ้าของมีความอาลัยให้รู้ชัด ๆ ไม่ลืมนะ
อาลัยนี้เพราะยังไม่ถึงจุดที่ต้องการ จึงอาลัยยังไม่อยากตาย อยากจะเร่งให้ถึงนั้นก่อนแล้วไปเมื่อไรไม่ว่า แต่เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วโรคมันก็บีบบังคับตลอดเวลา ต้องหมุนติ้วกลับย้อนหลังเอา ไม่อยากตายก็ต้องได้ตายเมื่อถึงกาลมันแล้วห้ามไม่ได้ สิ่งเหล่านี้เป็นคติธรรมดายุ่งไปทำไม นั่นมันย้อนกลับมา แล้วก็ทำให้คิดเรื่องของเจ้าของเอง ว่าเรื่องทุกขเวทนานี้เราเคยผ่านเราเคยรบมาแล้ว ได้ความอัศจรรย์ไม่รู้กี่ครั้งกี่หนในเวลาที่เรา เฉพาะอย่างยิ่งเรานั่งหามรุ่งหามค่ำนี้
ทุกขเวทนามากแสนสาหัสเราก็เคยต่อสู้ได้ความอัศจรรย์มาแล้ว นี่ก็เป็นทุกขเวทนาหน้าเดียวกัน อริยสัจอันเดียวกัน เราจะถอยไปไม่ได้ จะต้องเอาให้เห็นดำเห็นแดงกันในคืนวันนี้ เป็นก็เป็น ตายก็ตาย ให้ตายอยู่ในสนามรบนี้เท่านั้น ถอยไม่ได้ นั่งฟังซิจิตมันกล้า ถึงคราวกล้ากล้าขนาดนั้นนะ จะเป็นจะตายอยู่ไม่ได้ถอย คำว่ากลัวตายก็มีแต่ที่ว่ามันไม่ถึงที่เท่านั้นเอง ไม่ใช่กลัวแบบที่โลกเขากลัวกันนะ ถ้าว่ากลัวก็มีเท่านั้น ไม่เพียงไม่อยากตาย คือยังไม่ถึงที่แล้วยังไม่อยากตาย อยากให้ถึงที่ก่อนแล้วไปเมื่อไรไปเถอะ นั่น
จากนั้นมาก็โหมกำลังสติปัญญาหมุนเข้าในจุดตรงกลางอกนี้เลย เอ้า ทีนี้เป็นยังไงก็เป็นกันเถอะ ญาติโยมก็ไปเยี่ยมยกกันไปทั้งบ้านเลยนะ เป็นร้อย ๆ เราก็ไล่เขากลับหมด ไม่ให้ใครมายุ่งเลย เพราะวันนี้เราจะขึ้นเวทีต่อกรกันกับทุกขเวทนา เอาให้ถึงเหตุถึงผลถึงพริกถึงขิงถึงเป็นถึงตาย ไล่เขาเขาก็กลับไปหมด ยังเหลือแต่ผู้เฒ่าคนหนึ่งแอบอยู่ที่ต้นกอไผ่ในป่า แกไม่กลับเพราะกลัวเราจะตาย แกคงจะเหมือนกับว่าจะคอยมาดูหัวใจเราเวลาจะตายท่า เพราะทราบอยู่ประจักษ์นี่ว่าคนตายเกลื่อนอยู่ตลอดเวลา ในระยะนั้นคนกำลังตาย ก็กลัวว่าเราจะตายเช่นเดียวกัน นั่นละที่นี่ฟัดกันไปตั้งแต่หัวค่ำจนกระทั่งถึง ๖ ทุ่ม เวลานั้นเรามีนาฬิกาแล้ว เรารู้แล้วที่นี่ เอาตั้งแต่หัวค่ำ โยมเข้าไปเยี่ยมก็รีบไล่เขากลับแล้วเข้าที่เลย
ค้นเรื่องทุกขเวทนาที่อยู่ในหัวใจนี้ เอากันหมุนอยู่ในหัวใจนี้เลย เป็นยังไงเกิดขึ้นจากอะไร เสียดแทงเสียดแทงอะไร เวทนาเป็นหอกเป็นหลาวเมื่อไร มันก็เป็นทุกข์ธรรมดา ๆ ทุกข์นี้ก็เป็นสภาพอันหนึ่ง ท่านว่าเป็นของจริง ทุกฺขํ อริยสจฺจํ ค้นกันไปค้นกันมาไม่ถอยเลย เป็นกับตายไม่ได้สนใจ สนใจแต่ให้รู้ความจริงในวันนี้ เมื่อเวลาเข้าตะลุมบอนกันอย่างไม่หยุดไม่ถอย ทีนี้ทุกขเวทนามากเท่าไรมันแทงในหัวอก สติปัญญายิ่งหมุนติ้ว ๆ เช่นเดียวกับเรานั่งหามรุ่งหามค่ำนั่นเองด้วยสติปัญญาอันนี้ เพราะมันเคยอยู่แล้วนี่ ปล่อยให้เข้าสนามให้ขึ้นเวทีมันก็ขึ้นเลย ทันทีเลยไม่ถอย เอาอยู่จนกระทั่งถึง ๖ ทุ่มกว่าเวลาดูนาฬิกาแล้ว
พอเอากันเต็มที่เห็นประจักษ์นะ โห ถอน เวลาถอนนี้ถอนอย่างประจักษ์ เช่นเดียวกับทุกขเวทนาของเราถอนในเวลาที่เรานั่งหามรุ่งหามค่ำ จิตรอบด้วยปัญญา ทุกขเวทนาถอนแบบเดียวกัน ทีนี้เวลาถอนนี้แหมมันเหมือนกับเป็นตัวเป็นตนจริง ๆ นะ ถอนออกจากหัวใจนี่ ถอนออก ๆ กำหนดตามกัน ๆ ทีนี้ถอนออกจนโล่งหมดเลย หายเงียบไม่มีอะไรเหลือ กำหนดดูให้ชัดเจนขนาดนั้น มันไม่มีอะไรเหลือ โล่งหมดในหัวอกนี่ สุดท้ายก็เหมือนกับร่างกายไม่มี ว่างไปหมดเลย
เอ้าพักอยู่นั้นก่อน คือหมายความว่าพักดูความอัศจรรย์ของจิต ที่นี่เมื่อทุกขเวทนาดับไปหมดแล้ว มีแต่ความว่างของร่างกาย จากนั้นก็เป็นความว่างของจิต กายหายเงียบ เอากันเต็มที่เลย จนกระทั่งจิตมันพอตัวแล้วก็ยิบแย็บ ๆ ถอยออกมา ๆ จิตก็ยังว่าง ร่างกายแม้จะมีอยู่ก็ตามแต่ไม่มีเจ็บมีปวด มีเสียดแทงในหัวอกอย่างที่เคยเป็นมาเลย โล่งไปหมด เอาละทีนี้ไม่ตาย นั่น พอจากนั้นก็ดูนาฬิกา ๖ ทุ่มกว่า ทีนี้แน่ใจว่าไม่ตาย รู้สึกเป็นความแน่ใจเพราะโล่งหมด และยังไงก็หาย โรคนี้หาย ไม่ยากอะไรเลย แน่ะ แก้กันด้วยอริยสัจ
พอหลังจากนั้นแล้วก็ลงเดินจงกรม เขาเรียกตะเกียงอะไร แก้วครอบเล็ก ๆ นั่นน่ะ ภาษาทางภาคอีสานเขาเรียกตะเกียงโป๊ะ เล็ก ๆ นั่น จุดไว้ข้างนอกมุ้งโน้น ตั้งไว้โน้น ตั้งแต่ต่อสู้กันอยู่โน้นนะ จุดไว้แล้วก็เข้าที่ละ มองเห็นไฟอยู่นอกมุ้งโน้น ไม่ได้เอาเข้ามาในมุ้ง จากนั้นก็ลงเดินจงกรม โอ๋ย เดินก็ตัวปลิวไปเลย หายเงียบไม่มีอะไรเหลือ นั่นฟังซิเพื่อนฝูง นี่ละเวลาต่อสู้กันเห็นได้ชัด นี่ละอริยสัจ เป็นยังไงอริยสัจ ทำให้เราเป็นยังไงบ้างฟังซิ
ทุกขสัจนี้เป็นเหมือนหินลับปัญญานะ ถ้าเราพิจารณาแบบพระพุทธเจ้าสอน แบบอริยสัจเป็นของจริง ๆ เรื่องทุกขเวทนานี้เป็นหินลับปัญญาให้คมกล้า ทุกขเวทนากล้าสาหัสเข้าไปเท่าไร สติปัญญายิ่งหมุนตัวติ้ว ๆ ถอยไม่ได้ จนกระทั่งได้ถอนพรวดออกมาให้เห็นประจักษ์ชัดเจน จนถึงขนาดที่ว่า เอ้า ไม่ตายแล้วที่นี่ ร่างกายก็โล่ง นอกจากนั้นจิตก็โล่งไปหมด สุดท้ายก็หายเงียบไปหมด จากนั้นก็ลงเดินจงกรม และสุดท้ายวันนั้นไม่ลงนอนเลยนะ ตลอดรุ่ง พอสว่างบ้างไม่บ้างนี้ โยมนั้นปุบปับเข้ามาหา เอ้า โยมมาทำไมล่ะ โห ผมนอนอยู่นี้ ข้างกอไผ่นี่ เอ้า นอนทำไมก็บอกให้ไปตั้งแต่เมื่อคืนนี้ โอ๋ย ผมไม่ไป ผมกลัวท่านจะตาย ผมคอยแอบอยู่นี้ ผมก็ไม่ได้นอนเหมือนกันเมื่อคืน ว่าอย่างนั้นนะ ไฟของท่านสว่างตลอดรุ่ง เห็นท่านมาเดินจงกรมผมก็ดีใจบ้าง ว่างั้น
นั่นละพูดถึงเรื่องที่ว่าจิตที่มันอาลัย อาลัยในความเป็นอยู่ในชีวิต คือยังไม่อยากตายนั้นมันมีส่วนมีสิ่งที่หมายอยู่ ความมุ่งมั่นยังไม่ถึงขั้นจบสิ้นลงไป มันจึงเหมือนกับว่ายังไม่อยากตาย นี่เป็นได้ พูดถึงเบื้องต้นมาถึงขั้นนี้ละ มันเป็นได้ เวลาตายมันก็รู้ชัด ๆ ว่ายังไม่ถึง จะต้องค้างอยู่ในที่ใดที่หนึ่ง ค้างก็ไม่อยากค้างเพราะไม่เป็นจุดที่เราต้องการ เราต้องการให้พ้นไปเสียอย่างเดียวเท่านั้น เอา ไปเมื่อไรไม่ว่า นี่ละจิตเป็นอย่างนั้น
เราจึงว่าลำบากสำหรับเราเองการประพฤติปฏิบัติตัว แต่มันได้สิ่งที่อัศจรรย์ในเวลาจนตรอกจนมุมทุกครั้งเชียวนะ ตั้งแต่เริ่มนั่งตลอดรุ่งมาจนถึงขั้นที่ว่าเจ็บขัดหัวอกนี้ นี่ก็เอากันจนได้ ออกได้ เห็นได้อย่างชัดเจน ไม่งั้นผมแน่ใจว่าผมต้องตายเช่นเดียวกับชาวบ้านที่เขาตายวันละน้อยวันละ ๓ วันละมากวันละ ๘ คน ฟังซิ โรคอันนี้เหมือนกับว่าจะเป็นโรคระบาด มีเชื้อมีอะไรอย่างนั้นแหละ ตามอย่างที่เป็นในผมนี้มันขัดหัวอกนะ ขัดอยู่ในหัวอก มันทิ่มแทงเข้าไปเหมือนกับหอกกับหลาว ทิ่มเข้าไป ๆ แล้วทำให้แน่นในหัวอก อยู่ปกติแน่นในหัวอกมาก ออกจากนั้นพอกระดิกอย่างนี้มันจะเสียดแทงเข้าไป หายใจแรง ๆ ก็เหมือนกับเป็นหลาวทิ่มเข้าไป ๆ นี่ละเราก็มองเห็นได้เท่านั้น ว่าเป็นเชื้อมาจากที่ไหนก็ไม่เห็น มันก็มีเท่านั้น
แต่เวลาพิจารณาแล้วแก้ถอนกัน มันก็ถอนให้เห็นชัด ๆ นี่นะ ก็ไม่ทราบว่ามันโรคมีเชื้อหรือไม่มีผมทราบไม่ได้ ทราบได้แต่มันแก้กันได้ด้วยอริยสัจ ปัญญาพิจารณากองทุกข์ แยกแยะกันกับร่างกายของเราออกให้เห็นอย่างชัดเจน ดังที่เราเคยปฏิบัติมาในสมัยที่นั่งหามรุ่งหามค่ำไม่ได้ผิดกันเลย แต่เรื่องสติปัญญาต้องขึ้นสด ๆ ร้อน ๆ เราจะไปเอาเรื่องเก่าเรื่องที่เคยเป็นมามาปฏิบัติไม่ได้ เป็นเรื่องนิทานหรือเป็นเรื่องปริยัติเป็นตำรับตำราไปเสีย มันไม่ขึ้นสด ๆ ร้อน ๆ แก้ไม่ได้นะ
เรื่องแก้กิเลสแก้อะไรทุกสิ่งทุกอย่าง แก้ทุกขเวทนานี้มันต้องสด ๆ ร้อน ๆ หากว่าจะเป็นอุบายของสติปัญญาที่เคยเป็นมาแล้ว ก็ให้เกิดขึ้นมาโดยสด ๆ ร้อน ๆ อย่าให้เกิดขึ้นมาด้วยการคาดการหมาย นี่วิธีการพิจารณาต้องเป็นอย่างนั้น มันถึงแก้สด ๆ ร้อน ๆ จริง ๆ พูดถึงเรื่องชัดในอริยสัจ ทุกขเวทนานี้เป็นอย่างนั้นจริง ๆ กล้าพูดได้อย่างเต็มปากไม่สงสัย
ปีนั้นเป็นเดือนเมษายนนะ ผมไม่ลืม เดือนเมษายน ไปอยู่ในป่าในเขาที่ว่านั่นละพอหลังจากนั้นก็กลับมาสกลนคร ก็ขึ้นไปวัดดอยธรรมเจดีย์นั้น มันก็ก้าวไปเดือนหกแล้วนั่น มาถึงนี้เป็นเดือนหก แล้วก็ไปอยู่วัดดอยธรรมเจดีย์นั่น ลงจากวัดดอยฯ ก็เป็นเดือนหกดับแล้ว ก็มาอยู่สุทธาวาสสองสามคืนก็หนีไป อ.วาริชภูมิ คิดว่าจะไปจำพรรษาที่นั่น ภูเขานั้น แต่ก็มาทราบเสียว่าวัดหนองผือไม่มีพระเล้ย มีหลวงตาสองสามองค์ เขามาเล่าให้ฟังเกิดความสลดสังเวช เพราะบ้านนี้มีคุณต่อพระสงฆ์มากมายก่ายกอง เลยย้อนกลับมาจำพรรษาที่บ้านหนองผือนี้อีก ออกพรรษาแล้วถึงได้ออกเที่ยวต่อไปจนกระทั่งถึง ๓๐ ปีนี้ถึงได้ย้อนกลับไปอีก เป็นเวลา ๓๐ ปีตั้งแต่จากหนองผือไป
นี่เราพูดถึงเรื่องการปฏิบัติ เวลานี้ครูบาอาจารย์ทั้งหลายก็ล่วงไป ๆ ที่เกาะที่ยึดของเราด้วยความตายใจเช่นอย่างหลวงปู่ฝั้น หลวงปู่พรหม หลวงปู่ขาว หลวงปู่แหวน หลวงปู่คำดี ครูอาจารย์เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นอาจารย์ที่ตายใจได้ทั้งนั้น ตายใจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เป็นครูบาอาจารย์ที่บริสุทธิ์วิมุตติหลุดพ้นจริง ๆ ทางจิตใจไม่สงสัย เพราะฉะนั้นการสอนใครก็ตามทางด้านจิตตภาวนาจึงไม่สงสัย ท่านเหล่านี้ไม่สงสัยในการสอน ถูกต้องแม่นยำหมด เพราะเจ้าของเคยเป็นเคยผ่านมาแล้ว การสอนก็ต้องสอนไปตามสิ่งที่เจ้าของรู้เจ้าของเห็นเจ้าของเคยเป็นมาแล้วจะผิดไปที่ตรงไหน ไอ้แบบสอนสุ่มสี่สุ่มห้านั่นซิ นี่ละที่มันลำบากนะ ที่หาเกาะหายึดผู้เช่นนี้หาได้ยากลงโดยลำดับลำดาแล้วนะทุกวันนี้ จนจะไม่มีแล้ว
ด้วยเหตุนี้ผมก็ตะเกียกตะกายรับหมู่เพื่อนไว้ มากผมก็ทนเอา แต่ถ้ามากเกินไปแล้วก็จะไม่เกิดประโยชน์อะไร สำหรับที่มาอยู่ด้วยกันมาก ๆ อย่างนี้ แม้รายเดียวก็จะไม่มีประโยชน์แหละ นี่เราจึงต้องได้พูดได้บอกในเรื่องเหล่านี้ ผู้ที่ศึกษาอบรมพอสมควรแล้วก็ขยับขยายกันออกไป เพื่อผู้อื่นจะได้ยินได้ฟังบ้าง แล้วก็ให้ตั้งอกตั้งใจเวลามาอยู่อย่างนี้ อย่าไปเป็นแบบอย่างที่ผมเคยเล่าให้ฟังด้วยความเข็ดหลาบ ที่หนองผือนะ นี่ได้เห็นประจักษ์ ผมได้พูดเต็มปากต่อหมู่ต่อเพื่อน บางทีต้องประชุมลับกันก็มี ไปแล้วมากเข้า ๆ ก็ทับถมท่าน คนหนึ่งเป็นอย่างหนึ่ง คนหนึ่งแสดงอย่างหนึ่ง มันหากกระทบกระเทือนกันอยู่นั้น
เพราะฉะนั้นเราก็ต้องได้ประชุมแนะนำ ถึงกับได้พูดว่านี่ เพราะมันเห็นอยู่ต่อหน้าต่อตา ว่านี่ที่มาอยู่กับครูบาอาจารย์เวลานี้มันเหมือนกับมาซ่อนเล็บไว้นะ และออกจากนี้แล้วจะเล่นออกลวดลายเต็มเพลงนั่นแหละ ใครมียังไง ๆ จะออกลวดลายนะนี่ แล้วมันก็เห็นอย่างที่ว่านี่ มีกี่องค์มาอยู่กับครูบาอาจารย์มากขนาดไหน ผู้ที่จะปรากฏชื่อลือนามพอเป็นหลักเป็นเกณฑ์มีกี่องค์ดูซิ นอกนั้นก็เหลวไหลไปหมด ออกไปแล้วเหมือนไม่มีหูมีตา นอกจากเอาชื่อเอาเสียงครูบาอาจารย์ไปจับจ่ายขายกิน อวดดิบอวดดีโม้หลอกญาติโยมเขาไปเท่านั้นจะมีอะไร นี่ซิที่มันทำให้ทุเรศนะ
พวกท่านทั้งหลายมานี้เอาให้จริงให้จังนะ อันไหนที่สอนไว้แล้ว อันไหนที่พาดำเนินให้ถือเป็นว่าอันนั้นถูกต้องแล้ว เป็นเครื่องดำเนินเพื่อมรรคผลนิพพานได้โดยสมบูรณ์แล้วไม่ต้องสงสัย สิ่งใดที่สอนไว้แล้ว ท่านพาดำเนินมาแล้ว เอ้า ยากก็ยาก ก็รู้อยู่แล้วว่ากิเลสมันเหนียว ดึงมันก็ต้องยาก ฆ่ามันก็ยาก เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้วยังไงก็ไม่พ้นแหละจากอรรถจากธรรมได้ต่อสู้กัน
ทุกวันนี้กำลังก็อ่อนลง ๆ จะว่ายังไง เทศนาว่าการไม่ได้สะดวก ต้องถือธาตุขันธ์เป็นประมาณ ๆ ในระยะนี้ที่พอเทศน์ได้บ้างก็ถูไถไป เนื่องจากโรคหัวใจระยะนี้ค่อยสงบพอประมาณ จึงได้พูดบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ นอกจากนั้นก็ยังมีตาอีกแหละ ปีนี้มีแต่พยาบาลรักษาโรคตาเป็นประจำ เลยไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรนี่ ใครมาอยู่ให้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ อย่ามาเหลาะ ๆ แหละ ๆ นะ อย่าให้ได้เห็นไอ้เรื่องที่หยาบ ๆ ที่สุดคือเรื่องการทะเลาะเบาะแว้ง ๆ การไม่ลงรอยกัน อย่าให้เห็นเป็นอันขาดนะ อันนี้หยาบที่สุด กิเลสประเภทนี้หยาบที่สุด อย่าให้มาแสดงออกในวงของพระผู้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ มันขายที่สุดเลยนะ แสดงว่ากิเลสนี้เก่งมาก เหยียบย่ำทำลายธรรมต่อหน้าต่อตาครูบาอาจารย์เพื่อนฝูงอย่างไม่อายเลย แบบหน้าด้านที่สุด ขออย่าให้แสดงเรื่องเหล่านี้
มีเหตุมีผลอะไรพูดกันให้รู้เรื่องรู้ราว ให้มีเหตุมีผลในการพูดกันไม่ว่าผู้ใหญ่ผู้น้อย ให้ถือเหตุผลเป็นหลักเป็นเกณฑ์สำคัญ อย่าอวดทิฐิมานะ ว่าตนมาอยู่ก่อน หรือว่าตนมีอายุพรรษาแก่ ว่าตนมีความรู้ความฉลาด หรือว่ามีฐานะดี หรือมียศถาบรรดาศักดิ์สูง อย่าเอาเข้ามา นี้เป็นเรื่องของโลก ถ้าเรื่องของธรรมแล้วยอมกันโดยเหตุโดยผล อยู่ด้วยกันด้วยความให้อภัยซึ่งกันและกัน นี่ละถูกต้อง ให้ ๆ อภัยกัน สมณะเราไม่ให้อภัยกันไม่มีใครให้ได้ในโลกนี้ สมณะไม่สงสารกันไม่มีใครสงสารให้เกินสมณะไปได้ละ เรายิ่งเป็นนักปฏิบัติอยู่ด้วยแล้ว ก็ยิ่งควรจะมีธรรมเหล่านี้เป็นพื้นของจิตใจอยู่เสมอ
เอาละเทศน์เพียงเท่านี้พอสมควร