เรียนรู้จำ ปฏิบัติรู้จริง
วันที่ 13 พฤษภาคม 2529 เวลา 19:00 น. ความยาว 59.17 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :

เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๓ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๒๙

เรียนรู้จำ ปฏิบัติรู้จริง

พุทธศาสนาของเราตามตำรับตำราท่านก็มีไว้สมบูรณ์ ทั้งพระสุตตันตปิฎก พระวินัยปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ถ้าแปลออกแล้ว ปิฎก ๆ คือ ตะกร้าหรือภาชนะนั้นเอง ท่านบรรจุไว้เรียบร้อย เราก็เรียนมาตามนั้น เรียนตามที่ท่านจดจารึกเอาไว้ในปิฎกต่าง ๆ เข้าสู่หัวใจด้วยความจำ ในระยะนี้การเรียนทั้งหมดไม่ว่าจะเรียนปิฎกใดเข้าสู่ใจ เป็นเข้าสู่ด้วยความจำ ธรรมะที่ได้เห็นได้ยินได้ฟังได้ท่องบ่นสังวัธยายทั้งหมดรวมเข้ามาสู่ใจนี้ เป็นธรรมะภาคความจำ ไหลเข้าสู่ใจด้วยความจำ ยังไม่เข้าสู่ใจด้วยความจริง เพราะฉะนั้นผู้ศึกษามามากน้อย จึงไม่พ้นความสงสัยในการดำเนินว่าจะดำเนินอย่างไรดี ดำเนินอย่างไรถูกหรืออย่างไรผิด ความสงสัยนี้จะต้องเป็นพื้นอยู่โดยดีในบรรดานักปริยัติทั้งหลาย ไม่ว่าท่านว่าเรา นี่พูดตามหลักความจริงซึ่งมีอยู่ในหัวใจของผู้ศึกษาเล่าเรียนมา

เราอยากจะพูดเต็มเม็ดเต็มหน่วยเลยว่า ทุกดวงใจเป็นอย่างนั้น เพราะเป็นเรื่องที่จะเป็นอย่างนั้นโดยแท้ เนื่องจากไม่มีผู้สันทัดจัดเจนในปฏิปทาเครื่องดำเนิน และรู้เห็นจากการดำเนินนั้น อันเป็นฝ่ายผลแล้วมาก่อนมาชี้แจงแสดงบอก จึงผู้ที่ศึกษามากน้อยอดสงสัยไม่ได้ จำต้องสงสัยอยู่โดยดี นี่เป็นคตินิสัยของปุถุชนเราโดยทั่ว ๆ ไป

การพูดถึงก็พูดถึงแต่ภาคความจำ ไม่ว่าจะพูดถึงธรรมในปิฎกใด พระสุตตันตปิฎกก็ดี พระวินัยปิฎกนั้นก็รู้แล้วว่า ต้องอาศัยความจำเป็นหลักสำคัญที่จะประพฤติปฏิบัติตัว อันนี้ไม่มีพิสดารอะไรมาก ที่พิสดารมากก็คือพระสุตตันตปิฎกและพระอภิธรรมปิฎก ซึ่งเป็นธรรมที่พิสดารมากจริง ๆ มากกว่าปิฎกทั้งสองนี้

ผู้ที่เรียนมาทั้งหลายนี้ไม่ได้มีความจริงเข้าสู่ใจ แล้วจะเอาอะไรไปประพฤติปฏิบัติ จึงต้องแบกความสงสัยเต็มหัวใจอยู่นั่นแล เรียนก็เรียน รู้ก็รู้ในภาคความจำ แต่วิธีปฏิบัติเมื่อไม่มีผู้ชำนิชำนาญ พร้อมทั้งการทรงผลมาแล้วมาพาดำเนิน จึงเป็นเรื่องลำบากอยู่มาก ไม่สามารถที่จะปฏิบัติได้โดยถูกต้องดีงามและราบรื่นไปโดยสม่ำเสมอเลย

ด้วยเหตุนี้จึงต้องเสาะแสวงหาครูหาอาจารย์ อย่างสมัยปัจจุบันนี้ ก็คือหลวงปู่มั่นเป็นสำคัญ เราพูดหลวงปู่มั่นก็ไม่สนิทสนมเท่ากับพ่อแม่ ทั้งพ่อทั้งแม่ครูอาจารย์มั่น อันนี้เราถึงใจ คือเป็นทั้งพ่อทั้งแม่เลี้ยงมาตลอดในอรรถในธรรม ด้วยความถูกต้องแม่นยำ ไม่มีผิดพลาดคลาดเคลื่อนเลย นี่ละปฏิปทาของท่านไม่มีคำว่าออกนอกลู่นอกทาง ดำเนินตามธุดงควัตรเป็นฐานสำคัญ หรือเป็นแนวทางอันสำคัญมากทีเดียว ส่วนพระวินัยนั้นก็รู้แล้วว่าพระวินัย ว่าอย่างไรไม่มีความพิสดาร ไม่มีความตีความหมาย ต้องตรงไปตรงมา ส่วนธรรมะนั้นมีความหมายแยกแยะ เพราะเป็นส่วนละเอียดดิ้นได้ ถ้าพูดแบบโลก ๆ เรียกว่าดิ้นได้พลิกได้ ส่วนพระวินัยนั้นไม่มี ตรงไปตรงมา

แต่เรื่องธรรมะนั่นซิ พ่อแม่ครูอาจารย์มั่นท่านพาดำเนินอย่างถูกต้องแม่นยำ ถือเอาธุดงควัตร ๑๓ นี้เป็นพื้นเพในการดำเนินและการประพฤติปฏิบัติ จิตใจของท่านก็เป็นไปโดยสม่ำเสมอ ไม่นอกลู่นอกทางทำให้ผู้อื่นสงสัย และริจะทำเพื่อความเด่นความดังอะไร ออกนอกลู่นอกทางนั้นก็ไม่มี เป็นแนวทางที่ราบรื่นดีงามมาก นี่ละเป็นที่นอนใจ เป็นที่ตายใจ ยึดถือไว้ได้โดยไม่ต้องสงสัย ก็คือปฏิปทาเครื่องดำเนินของท่าน

นี่ครูบาอาจารย์ที่เป็นลูกศิษย์ของท่านก็มีจำนวนมากพากันดำเนินมา ยึดถือหลักนั้นแหละมาปฏิบัติ ได้แพร่หลายหรือกระจายออกไปแก่บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายเป็นแขนง ๆ จนกระทั่งถึงพวกเรานี้ ก็มาจากสายของท่านนั่นเอง เป็นที่แน่ใจไม่สงสัย คือไม่มีคำว่าแฝง ๆ หรือแผลง ๆ อะไรออกไปให้เป็นที่สะดุดตาไม่แน่ใจอย่างนี้ไม่มี ท่านดำเนินอะไรเป็นที่เหมาะสมทั้งนั้น คือมีแบบมีฉบับเป็นเครื่องยืนยัน ไม่ผิดเพี้ยนไปเลย

นี่เพราะเหตุไร เพราะเบื้องต้นท่านก็ตะเกียกตะกายก็จริง แต่ตะเกียกตะกายตามหลักธรรมหลักวินัย ไม่ได้นอกเหนือไปจากหลักธรรมหลักวินัย หลักวินัยคือกฎของพระ ระเบียบของพระ ท่านตรงเป๋งเลย และหลักธรรมก็ยึดธุดงค์ ๑๓ ข้อนี้เป็นทางดำเนิน แม้จะล้มลุกคลุกคลานในเบื้องต้น ท่านก็ล้มไปตามแถวตามแนวของธุดงควัตร ไม่ได้ออกนอกลู่นอกทางนี้ไปอย่างทางอื่นบ้างเลย นี่จึงเป็นที่น่าอนุโมทนาเป็นอย่างยิ่งมาตั้งแต่ขั้นเริ่มแรกของท่าน

ต่อจากนั้นท่านก็ปรากฏเห็นผลขึ้นมาโดยลำดับลำดา ดังที่เคยเขียนไว้แล้วในประวัติของท่าน จนกระทั่งเป็นผู้ทรงมรรคทรงผลโดยสมบูรณ์ในหัวใจท่าน แล้วก็ประกาศสั่งสอนธรรมแก่บรรดาศิษย์ทั้งหลาย พร้อมทั้งปฏิปทาเครื่องดำเนินด้วยความองอาจกล้าหาญ ไม่มีคำว่าสะทกสะท้านแม้นิดหนึ่งเลย นี่เพราะความแน่ใจในใจของท่านเอง ทั้งฝ่ายเหตุทั้งฝ่ายผลท่านเป็นที่แน่ใจทั้งสองแล้ว บรรดาลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลายที่เข้าไปศึกษาอบรมกับท่าน จึงได้หลักได้เกณฑ์จากความถูกต้องแม่นยำที่ท่านพาดำเนินมา มาเป็นเครื่องดำเนินของตน แล้วถ่ายทอดไปโดยลำดับลำดาไม่มีประมาณ เฉพาะอย่างยิ่งภิกษุบริษัท มีกว้างขวางอยู่มากสำหรับลูกศิษย์ของพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นแตกกระจายออกไป

การที่ได้ปฏิปทาเครื่องดำเนินจากท่านผู้รู้ผู้ฉลาดพาดำเนินมาแล้วเช่นนี้ เป็นสิ่งที่หาได้ยากมาก นี่ละเป็นที่ให้ตายใจนอนใจอบอุ่นใจได้ ผิดกับที่เราเรียนมาโดยลำพังและปฏิบัติโดยลำพังเป็นไหน ๆ ยกตัวอย่างไม่ต้องเอาที่อื่นที่ไกลที่ไหนเลย ผมเองนี่แหละเรียน จะว่าอวดหรือไม่อวดก็ตามก็เรียนถึงมหา แต่เวลาจะหาหลักหาเกณฑ์มายึดเป็นเครื่องดำเนิน ด้วยความอบอุ่นแน่ใจตายใจสำหรับตัวเอง ไม่มีจะว่ายังไง นั่นเป็นอย่างนั้น

จิตเสาะแสวงหาแต่ครูบาอาจารย์อยู่ตลอดเวลา เฉพาะอย่างยิ่งพ่อแม่ครูอาจารย์มั่น จิตฝังลึกทีเดียวทั้งที่ยังไม่ได้พบองค์ท่านก็ตาม และยิ่งไปพบท่านในวาระแรกที่ท่านจะออกจากเชียงใหม่มา เรายังไม่มีโอกาสที่จะออกมากับท่านเวลานั้นด้วยแล้ว ก็ยิ่งฝังลึกลงไปโดยลำดับลำดา เพราะฉะนั้นเวลาหยุดจากการศึกษาเล่าเรียนตามเจตนาที่เจ้าของตั้งไว้แล้ว จึงตั้งหน้าตั้งตามุ่งหน้าที่จะไปหาท่านโดยถ่ายเดียวเท่านั้น นี่เพราะความฝังใจ

ลำพังเจ้าของเรียนมามากน้อยหาที่ยึดไม่ได้ ไม่ใช่ผมประมาทธรรมของพระพุทธเจ้า เราพูดถึงเรื่องความโง่ของเรา ทั้ง ๆ ที่ธรรมของพระพุทธเจ้าก็เป็นเพชร ปราบกิเลสอย่างราบมาแล้ว แต่เราไม่รู้วิธีปราบ ยกศาสตราอาวุธซึ่งเป็นอาวุธที่ทันสมัย หรือเยี่ยมยอดขนาดไหนมาก็ตาม ก็ปฏิบัติต่ออาวุธนั้นเพื่อสังหารสิ่งที่เป็นข้าศึกไม่ถูก ก็ไม่สำเร็จประโยชน์อันใด นี่ละเป็นของสำคัญ

เรียนสมาธิก็เรียน ปัญญาก็เรียน ท่านมีไว้หมดตามตำรับตำรา เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา เฉพาะอย่างยิ่งบรรดาสาวกองค์นั้น อยู่ในป่านั้น อยู่ในเขานั้น นั่นคือเยี่ยงอย่างอันดีของท่านที่พาดำเนินมา ควรจะยึดถือเป็นหลักเป็นเกณฑ์ได้แล้ว และปฏิบัติตนไปเลย แต่นี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น มันยึดเอาเป็นหลักเป็นเกณฑ์ไม่ได้ นี่ละความสด ๆ ร้อน ๆ ความเห็นต่อหน้าต่อตา เป็นของสำคัญมากกว่าความที่คาดคะเนไปตาม

เช่นอย่างเราไปพบพ่อแม่ครูบาอาจารย์มั่นท่านพาดำเนิน ตาเห็นชัด ๆ ประจักษ์ตา หูได้ยินประจักษ์แล้วเข้าสู่ใจ จากธรรมที่ท่านแสดงออกมาด้วยความจริงใจ ด้วยความรู้จริงเห็นจริงของท่าน ไม่มีคำว่าเห็นจะ มีแต่ต้อง ต้องเป็นอย่างนั้นต้องเป็นอย่างนี้ เพราะความแน่ใจของท่าน นี่ละจึงทำให้จิตใจมีความแน่นหนามั่นคงอบอุ่นขึ้นมา เพราะได้ครูบาอาจารย์อันเป็นหลักปัจจุบันยึดถือ

การที่กล่าวนี้ผมไม่ได้ประมาทธรรมพระพุทธเจ้านะ ผมก็เรียน แต่เพราะความโง่ของเจ้าของ ครั้งพุทธกาลท่านซึ่งเคยประหารมาแล้ว จนปรากฏเป็นสาวกอรหัตอรหันต์ก็มีจำนวนมาก แต่ยังไงก็ตามอย่าลืมว่า การศึกษาต่อพระพักตร์ของพระพุทธเจ้านี้สำคัญมากทีเดียว สำคัญกว่าการศึกษาจากคัมภีร์ใบลาน เพราะคัมภีร์ใบลานนี้เกิดทีหลังพระพุทธเจ้า ปรินิพพานนานไปแล้วได้ไม่รู้กี่ร้อยปี จึงได้จดจารึกขึ้นมาด้วยความระลึกได้ของปราชญ์นั่นเองแหละ ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีอะไรจะเป็นร่องรอยให้เราทั้งหลายได้ยึด การจดจารึกมาจึงขึ้นอยู่กับภูมิหรือรากฐานของจิตใจแห่งผู้จดจารึกว่าเป็นคนประเภทใด

เอ้า จะเป็นคนประเภทใดก็ตาม เราก็ได้ธรรมะออกมาจากพุทธศาสนามาประกาศธรรมสอนโลก โดยมีสักขีพยานทั้งพระสุตตันตปิฎก ทั้งพระวินัยปิฎก ทั้งพระอภิธรรมปิฎกแล้ว มันก็เป็นเรื่องที่น่าภูมิใจแล้ว อันนี้เรายกไว้ แต่เราขอพูดเน้นลงไปอีกในหลักสำคัญของธรรมที่สด ๆ ร้อน ๆ ที่จะรื้อฟื้นจิตใจให้ขึ้นได้อย่างทันอกทันใจ นี้ก็คือการฟังธรรมในที่เฉพาะพระพักตร์ของพระพุทธเจ้าหนึ่ง ฟังธรรมเฉพาะหน้าของพระอรหันต์ซึ่งเป็นสาวกของท่าน ที่เต็มเปี่ยมด้วยอรรถด้วยธรรมแล้วหนึ่ง นี่ต่างกันกับการศึกษาเล่าเรียนการจดจำจากตำรับตำราอยู่มากทีเดียว เพราะนั้นเป็นภาคปฏิบัติในขณะที่ฟังด้วย ไม่เพียงแต่ว่าไปฟังเพื่อเป็นความจำอันเรียกว่าเรียน ๆ อย่างเดียว ยังเป็นภาคปฏิบัติในขณะที่ฟังด้วย

เช่นอย่างเราทั้งหลายฟังอยู่เวลานี้ จิตได้ส่งไปไหนเล่า ไม่ได้ส่งไปไหน ตั้งไว้สำหรับตัวเอง รู้ตัวเองอยู่ในจุดแห่งความรู้นั้นโดยเฉพาะ แล้วคอยฟังความสัมผัสแห่งธรรมที่ออกไปจากปากครูบาอาจารย์จะเข้าสู่จิตใจนี้เท่านั้น นั่นจึงเป็นภาคปฏิบัติ การแสดงธรรมของพระพุทธเจ้า กับการที่เราเรียนตามตำรับตำราอันเป็นความจำมาเปล่า ๆ เฉย ๆ นั้นผิดกันอยู่มากทีเดียวราวฟ้ากับดิน เพราะพระพุทธเจ้าทรงรู้ ถ้าหากพูดถึงว่าพระหัตถ์ ธรรมก็อยู่ในพระหัตถ์นี่ แล้วยื่นให้ ๆ ไม่ไปหยิบยืมเอาคัมภีร์นั้นคัมภีร์นี้ ชื่อนั้นชื่อนี้แห่งธรรมมาสอนโลกสอนสงสารอะไร เอาออกมาจากพระหัตถ์

เอ้า ย่นเข้าไปอีก เอาออกมาจากพระทัย คือคว้าเอามาจากพระทัยยื่นให้ด้วยพระหัตถ์ ล้วนแล้วแต่เป็นของจริงล้วน ๆ ซึ่งได้เคยรู้เคยเห็น ได้เคยค้นพบมาแล้วด้วยวิธีการอันถูกต้อง จึงเห็นผลเป็นที่พอพระทัย แล้วนำมายื่นให้แก่บรรดาบริษัททั้งหลายสด ๆ ร้อน ๆ ทำไมผู้ต้องการความจริงจากของจริงอยู่แล้วจะไม่ถึงใจ จะไม่รู้ไม่เห็น นั่นละท่านว่าภาคปฏิบัติ เป็นในขณะที่รับฟังนั่นเอง ถอดจากใจหนึ่งเข้าสู่ใจหนึ่ง คือถอดจากพระทัยของพระพุทธเจ้าเข้าสู่ใจของผู้ฟังทั้งหลาย ด้วยความสัตย์ความจริงล้วน ๆ ไม่มีคำว่าแปลงปลอมแฝงอยู่เลย จึงสามารถบรรลุธรรมได้เป็นขั้น ๆ หรือตามอำนาจวาสนาของตน และเลื่อนระดับของธรรมไปโดยลำดับ ๆ จากการฟังแต่ละครั้ง ๆ จนกระทั่งถึงหลุดพ้นไปได้โดยไม่สงสัย นี่ต่างกันอย่างนี้เอง

พระสาวกอรหันต์เล่า ท่านเหล่านี้ก็เป็นผู้ทรงอริยสัจ ๔ ไว้โดยสมบูรณ์ และทรงมรรคทรงผล สมบูรณ์เต็มหัวใจด้วย ท่านจะสอนผิดไปที่ไหน ท่านผ่านไปด้วยความความถูกต้องจนกระทั่งถึงขั้นหลุดพ้นไม่มีอะไรสงสัยแล้ว ท่านจะนำความงมงายมาสอนพวกเราได้ยังไง เอาความงมงายมาจากไหน ก็ท่านไม่ใช่พระงมงาย ท่านเป็นพระที่บริสุทธิ์พุทโธทั้งดวงภายในใจของท่าน และภายในพระทัยของพระพุทธเจ้า สอนโลกจะเคลื่อนคลาดไปไหน จะเป็นของปลอมไปที่ไหน เป็นไปไม่ได้ ล้วนแล้วแต่เป็นของจริงล้วน ๆ เท่านั้น ที่จะก้าวเข้าสู่จิตใจของพุทธบริษัทที่ฟัง หรือของลูกศิษย์ลูกหาที่จ่อฟังอยู่ด้วยภาชนะที่หงายเต็มที่แล้วนั้น จะพ้นจากความรู้จริงเห็นจริงไปได้อย่างไร

นี่แหละคือภาคปฏิบัติออกจากการสดับตรับฟัง ทั้งเรียนทั้งปฏิบัติเป็นไปในตัวเสร็จ ไม่เหมือนกับที่เราเรียนท่องบ่นสังวัธยายจากคัมภีร์ อันนั้นไม่ได้ปฏิบัติ มีแต่เรียน ๆ ล้วน ๆ เป็นความจำล้วน ๆ ความจริงไม่มี ขณะที่ฟังนี้มีเต็มไปด้วยความจริง ท่านเทศน์ ๆ สอนออกมาจากความจริงทั้งหมด ผู้ฟังก็เป็นความจริง จิตตั้งแล้วด้วยสติ นั่นเป็นความจริงอันหนึ่งแล้ว รอที่จะรับฟังเหตุผลกลไกใด ๆ ซึ่งออกมาจากความจริงไม่ผิดไม่พลาดแล้ว มันต้องรับความจริงได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยโดยลำดับลำดา นี่ละที่ทำให้เกิดผลขึ้นมา

ในครั้งพุทธกาลว่าได้บรรลุธรรมเท่านั้น ๆ เวลาฟังธรรมจากตรงพระพักตร์พระพุทธเจ้า ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ สิ่งที่เป็นไปได้แท้ ๆ เราจะหาเรื่องอะไรมาบิดเบือนกันว่าเป็นไปไม่ได้ นอกจากกิเลสเท่านั้นที่มันตัวพลิกแพลงเปลี่ยนแปลง ตัวหลอกลวงสัตวโลกผู้โง่เขลาเบาปัญญาให้ล้มไปตามมันเท่านั้นว่าเป็นไปไม่ได้ ว่าไม่จริง นี่คือเรื่องของกิเลสต้องค้านธรรมเสมอ ถ้าเรื่องของธรรมแล้ว หัวใจเปิดอยู่ด้วยมรรคด้วยผล ทำไมเปิดเทลงในจุดในหัวใจดวงที่ต้องการมรรคผลอยู่แล้วซึ่งเป็นความจริงด้วยกัน ทำไมจะรับกันไม่ได้ นั่นมีอดีตที่ตรงไหน มีอนาคตที่ตรงไหน

สัจธรรมไม่ใช่อดีต สัจธรรมไม่ใช่อนาคต ปรากฏอยู่ที่กายที่ใจของสัตวโลกด้วยกันทั้งนั้น เว้นแต่ผู้ที่ตายไปแล้วร่างกายก็หมดความหมายไป นั่นสัจธรรมไม่มีสำหรับคนตายไปแล้ว นี่ความจริงเป็นเช่นนี้

พวกเราทั้งหลายก็ได้ครูบาอาจารย์เป็นแนวทางเครื่องดำเนิน เป็นที่อบอุ่นเป็นที่แน่ใจว่าไม่สงสัยแล้ว ก็น่าจะได้ดำเนินตนให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย เพื่อได้สติขึ้นมา ได้สมาธิความแน่นหนามั่นคง ความสงบใจ ความอิ่มตัวอิ่มใจสบายใจขึ้นมา แล้วความแยบคายภายในใจด้วยปัญญา มีความเฉลียวฉลาดรอบคอบไปโดยลำดับลำดาขึ้นมาภายในใจของตน จากการปฏิบัติกับครูกับอาจารย์ที่เป็นแบบฉบับอันดีงาม แทนที่จะเป็นอย่างนั้นทำไมจึงเป็นไปไม่ได้ ถ้าไม่ตั้งหน้าตั้งตาเป็นความเหลวไหลเหลวแหลกเสียเท่านั้น

อย่าลืม เคยพูดเสมอว่ากิเลสนั้นรวดเร็วที่สุด ในหัวใจแต่ละดวง ๆ ไม่มีอะไรจะรวดเร็วยิ่งกว่ากิเลสทำงานบนหัวใจเรา ความเคลื่อนไหวมันต้องเป็นที่หนึ่งออกก่อน มิหนำซ้ำความเคลื่อนไหวมันเองเป็นผู้กระตุกให้คิดให้ปรุง นั่นฟังซิ มันฉุดมันลากให้คิดให้ปรุง เรื่องรูป เรื่องเสียง เรื่องกลิ่น เรื่องรส อะไรในอดีตที่ล่วงมาแล้วก็ตาม ที่ยังไม่มีมันก็วาดภาพหลอกขึ้นมา เรียกว่าเป็นลม ๆ แล้ง ๆ ขึ้นมาให้เป็นตนเป็นตัว ให้เราเพลินในความคิดความปรุงของตัวเอง โดยหาเหตุหาผลต้นปลายไม่ได้อยู่วันยังค่ำไม่มีความเบื่อหน่ายเลย นี่ตัวกิเลสมันเร็วอย่างนั้นให้ดูเอา

นี่ที่สอนแล้วนี้ เอ๊า ๆ พิจารณาซิ ไม่ได้มีอยู่ในหัวใจของผู้สอนนี้อย่างเดียว มีอยู่กับทุกคน ความจริงจะต้องทราบด้วยกันทุกคน ถ้าใจได้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติตามที่กล่าวที่สอนนี้จะเป็นอื่นไปไม่ได้ ต้องเป็นอย่างนั้น วันหนึ่งมันปรุงเท่าไร ดูซิหัวใจเจ้าของ

นี่ละการศึกษาการอบรม ก็คือการอบรมดูความคิดความเคลื่อนไหวของใจ มันปรุงเรื่องอะไรบ้างในวันหนึ่ง ๆ รูป รูปนี้มีอะไรอัศจรรย์ อัศจรรย์อะไรบ้าง ดูซิรูป รูปต้นไม้ รูปภูเขา รูปหญิง รูปชาย รูปสัตว์ รูปบุคคล รูปดิน รูปน้ำ รูปอะไรก็แล้วแต่เถอะ ที่เป็นวิสัยของตาเห็นมาแล้วมันเอามาปรุงมาคิด สิ่งเหล่านี้มีอะไรวิเศษ เราเคยเห็นเคยเจอเคยพบมาแล้วตั้งแต่วันเกิดมาจนกระทั่งบัดนี้ ในร่างกายของเราก็คือรูปนั่นเอง ก็เห็นกันอยู่ชัด ๆ วิเศษอะไร ถึงขนาดนั้นยังต้องยอมกิเลสโดยไม่รู้สึกตัว ให้มันกล่อมจนหลับด้วยการปรุงเรื่องของรูป ไม่มีคำว่าสิ้นสุด ไม่มีคำว่าชราคร่ำคร่าไปแล้ว ไม่มี คำว่าเป็นเดนไปแล้ว นานไปแล้ว เน่าเฟะไปแล้ว เหม็นคลุ้งไปหมดแล้ว..ไม่ได้ว่า อุ่นขึ้นมากินตลอด หลงตลอดนั่นเอง คือกินตลอดติดตลอดนั่นเอง

ดีก็ติด ชั่วก็ติด ปรุงอยู่ตลอดเวลา ส่วนมากติดแต่เรื่องชั่วเรื่องนั่นทั้งนั้นแหละ รักก็รัก ชังก็ชัง เคยรักเคยชังมาแล้วกับสิ่งที่กล่าวมาเหล่านี้ ทำไมจึงไม่ชินไม่ชา ไม่รู้กลอุบายของกิเลสที่หลอกอยู่ตลอดเวลา มันก็เอาเรื่องเก่านั่นแหละมาหลอก ไม่ใช่เอาเรื่องใหม่มาหลอกนี่นาพอจะได้หลงกลของมันว่าไม่ทัน เพราะเป็นกลใหม่ อันนี้มีแต่กลเก่าทั้งนั้น กลจากรูป กลจากเสียง กลจากกลิ่น รส สัมผัสต่าง ๆ มีแต่เรื่องของเก่ากลเก่า ปรุงอันเก่าขึ้นมาหลอกอยู่อย่างนั้น โง่ขนาดไหนพวกเรานี่ ดูเข้าไปซิดูที่หัวใจนั้น เมื่อดูเข้าไปตรงนี้แล้วจะทราบอย่างที่ว่านี้หนีไม่พ้น

เบื้องต้นขอให้สติมีก่อน เอ้า เร่งสติให้ดี ความรู้อยู่กับตัวแท้ ๆ ทำไมจึงไม่รู้ตัว มันโง่ขนาดไหนเรานี่ให้ว่าอย่างนั้นซิ ถามตัวเองว่าตัวเอง อย่าไปคิดเรื่องของคนอื่นยิ่งกว่าเรื่องของตัวเอง พิสูจน์ดูเรื่องของตัวเอง ตัวรู้แท้ ๆ อยู่ที่ไหน อยู่ที่ใจ ใจเป็นตัวรู้ ทรงความรู้อยู่ตลอดเวลา ทำไมจึงให้สิ่งลามกจกเปรตทั้งหลายลากเอาความรู้นี้ไปเป็นเครื่องมือ ใช้ความรู้ในสิ่งที่เป็นภัยมาทำลายตัวเองโดยไม่รู้สึกตัวตลอดมาเล่า มันไม่โง่มากเกินไปแล้วหรือมนุษย์เรา เฉพาะอย่างยิ่งนักปฏิบัติเรา พระกรรมฐานเรานี่ทำไมไม่ดู

เอ้า เราพูดแต่เพียงรูปอย่างเดียวเท่านั้นมันก็กระเทือนโลกธาตุแล้ว กว้างแคบขนาดไหนรูปนี่ และติดกว้างแคบขนาดไหน จิตมันเคยติดสิ่งเหล่านี้และติดมานานเท่าไรแล้ว ได้คำนึงดูแล้วยัง มันติดมานานเท่าไรเมื่อไรจะเบื่อ สิ่งเหล่านี้ไม่น่าเบื่อเพราะอะไร มันวิเศษวิโสอันใดจึงไม่น่าเบื่อ นั่น เพราะกิเลสทำให้เราติดตลอดนั่นเองเราถึงได้ติด ทุกอย่างขึ้นชื่อว่ากิเลสได้เสกให้แล้วติดทั้งหมด เพราะกิเลสอยู่กับจิตของเรานี้ มันไม่มีคำว่าเบื่อ เพราะความฉลาดแหลมคมมันเยี่ยมกว่าเรา เราจึงไม่มีความรู้วิชาสามารถที่จะรู้กลของมันพอที่จะทราบเรื่องราวแล้วถอนตัวออกมา และเห็นโทษของมันได้นี้เองไม่ใช่อะไร

เสียง กลิ่น รส เอามันเหมือนกันนี่แหละ เป็นของวิเศษวิโสอะไร มันมีอยู่เต็มตัวเราทุกคน รูปก็อยู่เต็มตัวของเรา เสียงก็ออกจากตัวของเราก็ได้นี่ กลิ่น รส เครื่องสัมผัส อยู่ในตัวของเราครบหมด ตื่นไปที่ไหน ดูซิสัมผัสดูตัวเราเป็นยังไง ไปตื่นอะไรทางภายนอก ดูเหล่านี้มันก็ครบแล้ว เมื่อรู้อันนี้แล้วก็รู้ข้างนอกครบอีกเช่นเดียวกัน ปล่อยอันนี้แล้วก็ปล่อยไปได้หมด สงสัยอะไร นี่การเรียนรู้เรื่องของตัวเองให้เรียนอย่างนี้นักปฏิบัติ ดูภายในใจมันจะเปิดออกหมดนั่นแหละ

ถ้าลงใจได้เปิดด้วยสติด้วยปัญญาแล้ว จะไม่มีอะไรเข้ามาเหยียบย่ำทำลายได้เหมือนอย่างที่เคยเป็นมา เพียงจะกระดิกตัวปรุงขึ้นมาเท่านั้น สติปัญญาจะพร้อมแล้ว ๆ และการปรุงขึ้นมาแต่ละขณะของจิต จะเป็นการปลุกประสาทคือสติปัญญาให้ตื่นตัวทันที ๆ นี่เมื่อถึงขั้นที่รู้ทันกันเป็นอย่างนั้น

สติปัญญาไม่ใช่เป็นของล้าสมัย ไม่ใช่เป็นของครึ ไม่ใช่เป็นของโง่ แต่เราไม่ได้ค้นได้คิดขึ้นมาใช้ต่างหาก เราจึงได้โง่ให้กิเลสมันลากมันจูงไปทุกแห่งทุกหนทุกมุมโลกมุมสงสาร ที่ตรงไหนที่เราไม่ได้เกิดไม่มี มันได้เกิดทั้งนั้น จิตดวงเดียวของเรานี่แหละตัวขยันเกิดจนนับไม่ถ้วน เอาปัจจุบันเป็นรากฐานสำคัญยืนยันไปได้หมด เรื่องอนาคตหาประมาณไม่ได้ เพราะความเกิดตายของจิตที่พาให้เป็นไปนี้ และอนาคตก็เหมือนกันจะไม่มีประมาณเลย ถ้าไม่ตัดให้ขาดสะบั้นลงไปในวงปัจจุบันนี้ คือ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา นี้สำคัญมากทีเดียว เอานี้ให้ขาดลงไป

วิธีตัดอวิชชาก็ดังที่กล่าวมาแล้วนี้แหละ อุบายวิธีเริ่มต้นตั้งแต่ฝึกหัดดัดแปลง เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา บริกรรมพุทโธ ๆ หรือจะกำหนดธรรมบทใดก็ตาม อันนี้เคยสอนไว้แล้ว นี้เป็นอุบายเบื้องต้น การยกครูที่จะขึ้นบนเวทีต่อยกับคู่ต่อสู้หรือข้าศึกคือกิเลสประเภทต่าง ๆ เราฝึกหัดของเราจากครูจากอาจารย์ ที่ได้ยินได้ฟังอยู่ทุกวันนี้เองคือการฝึกการอบรม แล้วก็ไปฝึกตัวเองสอนตัวเองซิ อุบายวิธีการที่จะตั้งสติให้คิดเป็นอุบายปัญญาอีกอันหนึ่ง ไม่งั้นไม่รอบเจ้าของ ไม่ทันกลอุบายของกิเลสนะ

กิเลสมันใหม่เอี่ยม แต่อุบายวิธีการที่จะปราบกิเลสนั้นมันล้าสมัยได้นะ เพราะกิเลสมาเป่าพุดเดียวเท่านั้นล้าสมัย ถ้ามีดก็คมปื้นไปหมดหาคมไม่ได้นี่ละ ปลายก็ทู่ไปหมด ถูกกิเลสเป่าเสียทีเดียวเท่านั้นอะไรก็ทื่อไปหมด ๆ ทู่ไปหมด ไม่มีคำว่าแหลมว่าคม เพราะกิเลสมันเก่งมาก มนต์คาถาของมันเป่าพุดเดียว ๆ แต่เราไปเป่ากิเลสดูซิ เอ้า อันนี้มันครึแล้วนะอันนี้ล้าสมัยแล้วนะ กิเลสหลอกมานี่ ไม่มี มีแต่ทันสมัยทั้งนั้น วิ่งเอาจนแทบเป็นแทบตาย ในเวลาสติปัญญายังไม่ทันต้องเป็นอย่างนี้ด้วยกันเรื่องหัวใจนี้

แต่อย่าลืมว่าสติปัญญานี้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เวลาได้เกิดขึ้นด้วยการฝึกการอบรมนี้แล้ว กิเลสจะเป็นตัวไหนก็ตาม ซึ่งเคยฉลาดแหลมคมมาแต่ก่อน ปัญญาจะเข้าเหยียบย่ำทำลายไปได้ทั้งนั้น ๆ จนกระทั่งไม่มีอะไรเหลือภายในใจเลย นั่นเก่งไหมปัญญา

ท่านบอกถึงขั้นสติปัญญาธรรมดาแล้วยังไม่แล้ว ยังบอกถึงขั้นมหาสติมหาปัญญา มหาวิริยะ ฟังซิ มหาวิริยะคือความเพียรแก่กล้าสามารถ อุตสาหะมาพร้อมกันหมดทีเดียว เป็นเกลียวเดียว ถ้าเป็นเชือกก็เข้าเป็นเกลียวเดียว หมุนติ้ว ๆ เลย นี่คือจิตที่ฝึกได้ตามหลักตามแบบฉบับของศาสดาที่สอน เรียกว่าสวากขาตธรรม ที่ท่านตรัสไว้ชอบแล้วชอบอย่างนี้แหละ

ผู้ปฏิบัติตามได้ดำเนินเป็นไปตามอย่างนี้ ๆ จนกระทั่งถึงพระพุทธเจ้าบริสุทธิ์เช่นไร ลูกศิษย์ก็บริสุทธิ์เช่นนั้นด้วยปฏิปทาอันเดียวกัน สาวกทั้งหลายล้วนแล้วแต่บรรลุถึงวิมุตติหลุดพ้นเช่นเดียวกับพระพุทธเจ้าอันเดียวกัน ๆ นั่นจึงเรียกว่าสวากขาตธรรม ชอบ ๆ ถ้านำมาปฏิบัติให้ตรง แก้ไขให้มันทันซิ แต่นี่มีแต่มันลากเอา ๆ มันจึง โอ้โหหนักใจนะ ผู้อบรมสั่งสอนก็หนัก

นี่ได้พยายามเต็มเม็ดเต็มหน่วยการสอนหมู่สอนเพื่อนก็ดี ส่วนเจ้าของได้ฝึกฝนอบรมเจ้าของก็เคยได้เล่าให้ฟังแล้ว มันเดนตายถึงได้มารับความเสกสรรปั้นยอว่าเป็นครูเป็นอาจารย์สอนหมู่สอนคณะอยู่เวลานี้ เราจึงได้เห็นฤทธิ์ของกิเลสว่าสำคัญอยู่มาก ฤทธิ์มากจริง ๆ ไม่มีฤทธิ์อันใดในโลกนี้สู้ฤทธิ์กิเลสได้ และในขณะเดียวกันก็ไม่มีอะไรที่จะเยี่ยมยิ่งกว่าธรรมปราบกิเลสได้ นั่นฟังซิ

เครื่องมือก็คือสติธรรม ปัญญาธรรมนี่ละ เมื่อถึงขั้นเต็มภูมิแล้วสติปัญญาก็เป็นของอัศจรรย์ไปตาม ๆ กัน รวดเร็ว ไม่มีคำว่ากาลสถานที่เวล่ำเวลาและอิริยาบถในการปราบกิเลส ไม่มีเลย รวดเร็วขนาดนั้นละ จนกระทั่งเราคำนึงไม่ทัน ไม่เห็นถึงเรื่องเหตุเรื่องผลว่าเพราะเหตุไร ๆ สติปัญญาถึงได้เป็นอย่างนั้น ๆ เพราะเหตุไรถึงไม่ทัน นั่นละเวลาความรวดเร็วของปัญญาเกิด

ก็เช่นเดียวกับกิเลสเกิดขึ้นภายในจิตของเราเพราะเหตุไร ๆ ทันยังไงทันเมื่อไร.ไม่ทัน เรื่องความรัก ความชัง ความเกลียด ความโกรธต่าง ๆ ที่เกิดเพราะอำนาจของกิเลสนี้ทันเมื่อไร ไม่ทัน นี่ละเวลามันรวดเร็วเป็นอย่างนั้น กระดิกพับเดียวเป็นเรื่องของมันออกแล้ว ๆ ทั้งหมด นี่เวลากิเลสมีอำนาจ ตัวของเราทั้งหมดนี้เป็นสถานที่ทำงานของกิเลส เราเป็นตุ๊กตาเท่านั้นเอง มีแต่ลมหายใจฟอด ๆ นี่เวลามันโง่ โง่อย่างนั้น...ใจ

แต่เวลาได้ฝึกให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยเข้าไปแล้ว ก็ตรงกันข้ามอีกเช่นเดียวกัน บทเวลาธรรมได้เคลื่อนแล้ว กิเลสนี้พังลง ๆ ไม่มีเวลาไหนที่ธรรมจะไม่ฆ่ากิเลส มีแต่ฆ่าตลอด ถ้าหากว่าเป็นรูปภาพต่าง ๆ เหมือนมีรูปมีร่าง กิเลสมีรูปมีร่างนี้ ไปไหนเกลื่อนไปด้วยซากของกิเลส ไม่ว่าจะสถานที่เดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนาเกลื่อนหมด เดินไปไหน ตา หู จมูก ลิ้น กาย สัมผัสสัมพันธ์ไปที่ตรงไหน ๆ มีแต่เรื่องฆ่ากิเลสทั้งนั้น ๆ ความคิดปรุงออกในแง่ใด มีแต่เรื่องของสติปัญญาสังหารกิเลสเกลื่อนโลกธาตุว่าเป็นไร ถ้าเราจะพูดอย่างนี้นะ แต่นี้กิเลสไม่ใช่เป็นตัวเป็นตนอย่างนั้น

การปฏิบัติเพื่อเอาจริงเอาจังต่อตนนี่ซิมันล้มเหลวนะ สอนเท่าไร ๆ มันก็ไม่ได้เรื่อง นี่ละเวลาจิตมันด้าน ด้านอย่างนั้นนะ

นี่ก็จวนเข้าพรรษาแล้วพระยังมาก ๆ อย่างนี้ก็ไม่ไหวเหมือนกัน จึงต้องให้พากันขยับขยายออกหาสถานที่วิเวกสงัดประกอบความพากเพียร ที่จะเป็นคติตัวอย่างเครื่องดำเนินนั้นก็น่าจะได้แล้ว ก็ไม่ใช่เป็นของที่ลี้ลับ เป็นสิ่งที่เปิดเผย ตาก็เห็นหมู่เพื่อนครูบาอาจารย์พาดำเนินอย่างไร หูก็ได้ยินท่านแนะนำสั่งสอนอะไร ทุกสิ่งทุกอย่างก็เห็นด้วยตาอยู่นี้ เปิดเผยกันอยู่นี้ ก็น่าจะได้เป็นแบบเป็นฉบับแล้ว ถ้าไม่นอนใจเสียตายใจเสียอย่างเดียวเท่านั้น

เอาละการแสดงธรรมก็เห็นว่าสมควรแล้ว เอาละหยุดแค่นี้


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก