ไม่มีภาคปฏิบัติก็ไม่เห็นแปลกประหลาดอะไร
วันที่ 12 มกราคม 2545 เวลา 7:30 น. ความยาว 17.48 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(Real)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)   วิดีโอแบบ(Win High Band)   วิดีโอแบบ(Real)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๒ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๕

ไม่มีภาคปฏิบัติก็ไม่เห็นแปลกประหลาดอะไร

นาแห้วนี้อยู่จังหวัดเลย เหมาะสมมากทีเดียวในการภาวนาของพระ อันนี้ก็ฝ่ายทหารเขามาขอมาติดต่อเราว่า ทางโน้นไม่มีพระเลย รู้สึกว่าว้าเหว่ หัวหน้านายทหารเขามาหาเราขอพระจากที่นี่ ไปอยู่อำเภอนาแห้ว เพราะหน่วยทหารตั้งอยู่แถวนั้นเยอะ เราเลยไปดูเอง ขึ้น ฮ.ไปเลย เขาให้ความสะดวกทุกอย่าง ผู้ใหญ่เขาก็สั่ง ฮ.มาเลย เราก็ขึ้น ฮ.จากนี้ไปลงนาแห้ว ทีแรกก็ไปลง จ.เลย ขึ้นจากเลยก็ลงนาแห้ว แล้วขึ้นรถต่อไปประมาณสัก ๔๐ กิโล จากนาแห้วเข้าไปอีกลึก ทางดีอยู่เขาลาดยางไปเรียบ ๆ พอเป็นพอไป ไปดูสถานที่ โอ๊ย เหมาะสมทุกอย่าง

นายทหารเขารออยู่ทางโน้นแล้ว พอเราลง ฮ.เขาก็รับไปดูสถานที่ เหมาะสม ก็เลยเอาจุดที่พระอยู่ทุกวันนี้ ทางทหารเขาจัดสรรให้พวกชาวบ้านอยู่แถวนั้น เราก็เลยตั้งวัดที่นั่นเลย บิณฑบาตแถวนั้น รู้สึกว่าเหมาะสมมาก ดูเหมือนไปสองสามหนนะ หลังจากไปดูที่แล้วว่าตรงนี้แหละเหมาะ เขาก็จัดการเลยทหาร เพราะทหารเป็นใหญ่ในพื้นที่แถวนั้น จะต้องการอะไรทหารจัดการทันที ๆ เลย ไม่มีอะไรมากีดมาขวางได้ ทหารเป็นทั้งรั้วฝั่งโน้นฝั่งนี้ เป็นทั้งหลักอยู่ในนั้นให้เป็นที่อบอุ่นของประชาชน เลยให้พระอยู่ที่นั่น อยู่ทีละสององค์สามองค์ บางทีก็ ๕ องค์ เข้าพรรษา ๕ องค์ก็มี ส่วนมากไม่ถึงนะ ๓ องค์ ๔ องค์ เหมาะตลอด

เขาจะขอถวายที่แถวนั้นอีกเราก็ไม่เอา เพราะรับที่ไหนต้องเป็นผู้รับผิดชอบในสิ่งที่เรารับ ลำบากมากอยู่ ไม่ใช่รับสุ่มสี่สุ่มห้า ให้พระมาอยู่สุ่มสี่สุ่มห้า แล้วโกโรโกโส แทนที่จะทำความอบอุ่นให้ประชาชน กลายเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้เขาก็ได้ เห็นมาพอแล้วนะ เพราะฉะนั้นเวลาเขาถวายที่ที่ไหนนี้ ถ้าไม่แน่ใจเสียก่อนเราไม่รับ ด้วยเหตุนี้เองจึงไม่ค่อยมีวัดมากสำหรับเรานะ เพราะเราไม่รับ ๆ ที่ไหนมีเยอะนะ จังหวัดไหน ๆ ก็เหมือนกัน ทางภาคกลางก็มีเยอะ เรารับไม่ได้

เพราะรับตรงไหนต้องรับผิดชอบในตัวของเราเอง ให้เป็นที่แน่ใจว่าเรารับแล้ว จัดพระนี่เป็นภาระ จัดพระมาอยู่ พระประเภทไหนอีก นั่น ไม่ใช่สักแต่ว่าพระหัวโล้น ๆ โยนเข้าไปตูมตามเลยไม่ได้ เดี๋ยวกัดบ้านกัดเมืองเขาเป็นเสือตัวหนึ่งขึ้นมาก็ได้ พระเราเป็นเสือได้นะ ด้วยความไม่มีอรรถมีธรรมในใจ จิตใจดำปี๋ นั่นก็เป็นเสือได้แล้ว หัวโล้นก็โล้นใครโกนก็ได้ยากอะไร ต้องได้คัดเลือกพระที่จะไปอยู่ แม้เช่นนั้นก็ยังมีแว่ว ๆ ในจิตในใจไม่สนิทใจนักก็ยังมี แต่ก็ไม่เป็นไร จะให้ได้อย่างใจอย่างเจ้าของชอบมันก็ไม่ได้แหละ ก็ลดหย่อนผ่อนผัน แต่พอเป็นพอไป

ที่ปทุมธานีก็ได้อาจารย์เจี๊ยะไปอยู่นั้น ก็อย่างนั้นแล้ว รับตรงไหนเราต้องเป็นผู้รับผิดชอบทุกอย่าง ทางเมืองกาญจน์ก็วัดป่าหลวงตาบัว นั่นก็เห็นว่าย่านนั้นห่างไกลจากวงกรรมฐานมาก มีทางทองผาภูมิไปนู้นไกล ในย่านนี้มานี้ไม่ค่อยมี พอดีเขามาขอถวายที่ตรงนั้น ถามดูระยะไหนถึงไหน เขาบอกแถวอำเภอไทรโยค เราเลยไปดูก็เลยรับ นั่นละเรื่องราว รับแล้วก็ให้พระมาอยู่ ท่านจันทร์ก็คนคลองด่าน สำเร็จปริญญาโท พอบวชแล้วท่านมาอยู่นี้ตั้งหลายปี ออกจากนี้ก็ไปอยู่เมืองกาญจน์ พอดีเขาถวายที่เมืองกาญจน์ก็เลยให้ท่านมาอยู่ที่นี่ เมื่อท่านเห็นว่าทางโน้นก็ว่างมีพระอยู่แล้วท่านก็รับทันที

นั่นละถึงไม่ได้รับมากนะ รับที่ไหนต้องรับผิดชอบ จังหวัดไหน ๆ แถวนั้นมีเยอะ แม้แต่ที่ภาชีก็ยังมี เขาถวายเป็นวัดเรารับไม่ได้ เขาก็เลยถวายที่ไว้เลย เราไม่รับเขาก็ให้จะทำยังไง ก็อยู่นั้นเวลานี้ เขาไม่สร้างวัด พอขายที่เขาจะขายที่ส่งเงินไปให้ทางวัดทำประโยชน์ จะทำอะไรก็แล้วแต่ ที่ก็อยู่นั้นละ เราก็ไม่ไปสนใจ เขาจัดการของเขาเอง ทางปราจีนทางไหนมี นี่หมายถึงว่าเราไม่รับนะ มีอยู่ทุกแห่ง ที่ไหนก็มี ทางเชียงใหม่ทางภาคเหนือก็มี หลายแห่งรับไม่ได้ทั้งนั้น เพราะรับตรงไหนต้องรับผิดชอบ เราไม่ได้รับสุ่มสี่สุ่มห้าโกโรโกโส เขาให้ก็มา ๆ เรื่อยแล้วไม่ดู สุดท้ายก็ไปขี้ใส่ที่เขาเสีย มันสกปรกรกรุงรังไปล่ะซีพระสุ่มสี่สุ่มห้าไปอยู่

ที่เราสร้างวัดใหม่นี่ ที่เรียกวัดใหม่นี่เห็นไหมล่ะ เราสร้างเราก็รับผิดชอบหมดเลย วัดนั้นเราสร้างให้ทั้งหมดเลย กำแพงรอบด้าน ศาลาใหญ่ก็ใช่ ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในนั้น สิ่งปลูกสร้างใหญ่ ๆ เราให้หมด กำแพงรอบให้หมด ก็อย่างนั้นแล้ว ที่เรารับเห็นว่ามันใกล้ที่นี่ เวลาลูกศิษย์ลูกหามามากก็ขยับขยายไปนอนที่นั่นก็ได้ เพราะวิ่งไปนี้ไม่ถึง ๑๐ นาที ดูจะประมาณสัก ๒ กิโล เข้าวัดก็คงจะ ๓ กิโล อันนี้ก็ดีอยู่ ต้นไม้กำลังหนาแน่นเวลานี้ การสร้างวัดไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย

มีทุกภาคนะพระวัดป่าบ้านตาด ทุกภาคอยู่นี้หมด ไม่ว่าภาคไหน ๆ ภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคอีสาน มีหมดทุกภาคไม่ขาด ตลอดมาอย่างนี้ หากติดหากต่อ องค์นั้นไปองค์นี้มา ภาคละ ๓ องค์ ๔ องค์ อยู่นี้เป็นประจำมาไม่ขาด เต็มไปหมด เพราะฉะนั้นลูกศิษย์ลูกหาจึงมีมาก บรรดาพระไปอยู่ทุกภาคออกจากวัดนี้เต็มไปหมด แต่ไม่ค่อยมีวี่แววนะมันเป็นยังไง ลูกศิษย์หลวงตาบัวนี่เป็นยังไง ออกไปที่ไหนก็ไม่เห็นมีวี่แววทางจะให้อบอุ่นใจ มีแต่วี่แววจะตีจะฟาดกันอยู่อย่างนั้น หวดกันอยู่เรื่อย ลูกศิษย์กับอาจารย์ไปเจอกันก็จี้กันแหละ แน่ะอย่างนั้นนะ

ทางวัดปทุมธานีก็ได้อาจารย์เจี๊ยะไปอยู่ก็ดี อันนี้ดี แต่สุขภาพก็ไม่ดีเสียนอนตั้งแต่บนเตียง โรคภัยไข้เจ็บ ออกจากโรงพยาบาลเข้าโรงพยาบาล เหมือนกับไปจ่ายตลาดกัน มันยังไงกัน ทางโน้นก็มี ๒ วัด ปทุมหนึ่ง วัดป่าหลวงตาบัวทางอำเภอไทรโยค เมืองกาญจน์หนึ่ง ที่เรารับไว้เราจัดไว้สองแห่ง นครปฐมเขาก็ถวายไว้ก็เลยมอบให้ท่านสมบูรณ์ ท่านสมบูรณ์เป็นคนกรุงเทพไปอยู่ที่นั่น สะดวกในการดูแลวัดนั้นก็เลยมอบให้ท่านสมบูรณ์เสีย แล้วแต่ท่านจะพิจารณายังไงก็แล้วแต่เถอะ อันนี้เขาเอาโฉนดมามอบให้เราเรียบร้อย เราก็เลยมอบให้ท่านสมบูรณ์ไปเลย อันนี้ผมไม่รับผิดชอบนะ มอบให้ท่านให้ท่านพิจารณาเอง ว่าอย่างนั้นแล้วก็ปล่อยเลย มีอันนี้ที่เราปล่อย มอบให้ท่านสมบูรณ์แล้วก็ปล่อยเลย ท่านจะพิจารณายังไงก็แล้วแต่ท่าน

พวกจะไปก็ไปได้นะ ใครจะไปก็ไปได้ มาจากทางไหนกันบ้างเหล่านี้ (จากกรุงเทพเจ้าค่ะ) จะพากันไปก็ไปได้ จะไปเที่ยวทางไหนก็ไป (ไปท่าเสด็จ หนองคาย ต่อเจ้าค่ะ) เอ้อไป ไปดูนะสะพานเขามี เดี๋ยวไปโดดลงแม่น้ำโขง ไม่ลืมหูลืมตามีแต่เพลินเรื่อย ไปโดดลงแม่น้ำโขงไม่รู้นะ เขามีสะพานให้ดูสะพานก่อน ไป ต้องสั่งเสียก่อน มีแต่พวกหูหนวกตาบอดไปไหนต้องได้บอกทาง ไม่งั้นมันตกแม่น้ำโขงจมไปเลย เอ้า ไป ดีแล้วหาเที่ยวทำบุญให้ทาน ให้ได้ทั้งกุศล ให้ได้ทั้งความเพลิดเพลิน เพลิดเพลินไม่ต้องบอกมันหากันวันยังค่ำ แต่จะได้หรือไม่ได้เราไม่รู้ แต่หาบุญนั้นแน่ ใส่ปั๊บได้เลย แต่หาด้วยกิเลสนี่ไม่แน่นะ ว่าจะไปปีนนู้นตกลงมาเสีย มันเป็นอย่างนั้น

เราเสียทางภาษานะ เราไม่ค่อยรู้ภาษา ถ้ารู้ภาษาแล้วไปที่ไหนก็จะเป็นประโยชน์อยู่สำหรับศาสนา เช่นอย่างไปอังกฤษนี้ โอ๊ น่าสงสารนะ ทีแรกมาก็ไม่มากนัก มาประมาณสัก ๕๐-๖๐ ครั้นต่อมานี้แน่นหมดเลย พวกฝรั่งมังค่าเต็มไปหมด นั่งไม่มีเก้าอี้ ใครมาที่ไหนนั่งเลย ๆ เก้าอี้เลยไม่มีความหมาย คือมันมากต่อมากเก้าอี้ไม่พอกัน เวลาเราจะจากมา โอ๊ย น่าสงสาร เหมือนผ้าพับไว้นะ ท่านเหล่านี้เป็นผู้ที่ฝึกหัดกิริยามารยาทขนบธรรมเนียมอันดีงามมาเรียบร้อยแล้ว เวลามาเข้ากับศาสนาซึ่งเป็นกฎแห่งระเบียบของธรรมวินัยด้วยแล้วยิ่งละเอียดเข้าไป เข้ากันได้สนิท เราจึงว่าน่าสงสาร ถ้าอยู่นั้นก็จะเป็นประโยชน์มากมาย คนหนาแน่นขึ้นเรื่อย ๆ ทีเดียว

เขาไม่อยากให้มา เราก็ไม่เคยเห็นคนอังกฤษน้ำตาร่วงนะ เวลาจะลามานี้ โหย น้ำตาพังเลย นี่ละจิตใจของคนเราไม่มีเพศ เข้าได้ทั้งดีทั้งชั่วทั้งกิเลสทั้งธรรม น่าสงสารมากนะ แต่ที่จะหาพระตั้งใจปฏิบัติจริง ๆ ให้เป็นหลักเป็นเกณฑ์ทั้งภายนอกภายใน ไม่ว่าเมืองไหนมันหายากนะ ไอ้โกโรโกโสมันเต็มบ้านเต็มเมือง เต็มวัดวาเต็มศาสนา จะหาของดิบของดีจริง ๆ ตามหลักธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้แล้ว ดำเนินตามนั้นมันไม่ค่อยมีนะ มีแต่โกโรโกโส เอากิเลสมาเป็นอุปัชฌาย์ทั้งหมด กิเลสเป็นอุปัชฌาย์ เป็นกรรมวาจาจารย์สวดเรียบหมดเลย ไม่มีธรรมเป็นอุปัชฌาย์

ศาสนานี้เป็นธรรมชาติที่ละเอียดอ่อนมากสุดขีดเลย เราเรียนมาเฉย ๆ ไม่ได้มีภาคปฏิบัติก็ไม่เห็นแปลกประหลาดอะไร เพราะฉะนั้นเขาถึงดูถูกศาสนาได้ เพราะมีแต่เรียนไม่ได้มีภาคปฏิบัติ พอจะสัมผัสสัมพันธ์ธรรมที่ละเอียดอ่อนของพระพุทธเจ้าได้ เพราะฉะนั้นการเรียนมากเรียนน้อย จึงไม่ค่อยมีฤทธิ์มีเดชทางดิบดีอะไรนัก เขาเหมือนเรา เราเหมือนเขา ท่านเหมือนเรา เราเหมือนท่านไปเสีย เพราะได้แต่คำพูดเฉย ๆ ไม่ได้ดึงเอาคำพูดที่เป็นแปลนออกมาเป็นภาคปฏิบัติ พอเป็นภาคปฏิบัติแล้วผลแห่งการปฏิบัติจะสัมผัสภายใน ๆ พอสัมผัสเข้ามันจะค่อยสว่างออกไป ๆ สิ่งที่ไม่เคยเห็นจะเห็นเรื่อย ๆ แต่ก่อนกิเลสปิดไว้มันก็ไม่เห็น เห็นก็เห็นแต่กิเลส จึงเพลินไปกับกิเลสเสียทั้งนั้น ไม่ได้เห็นธรรมพอที่จะเพลินในธรรม ศาสนาจึงเป็นเหมือนของเล่น เป็นเหมือนตุ๊กตาเครื่องเล่นของเด็กไปอย่างนั้น

ถ้ามีแต่เรียนล้วน ๆ ไม่ว่าท่านว่าเราเหมือนกัน ไม่มีภาคปฏิบัติแทรกเข้าแล้ว จะไม่เห็นวี่แววของศาสนาเลย เรียนเท่าไรก็เรียนเถอะ จบพระไตรปิฎกก็มีแต่คัมภีร์เฉย ๆ หัวใจตัวเป็นส้วมเป็นถาน จดจำแต่คัมภีร์ใบลานมาไว้ในส้วมในถานคือหัวใจที่เต็มไปด้วยกิเลส ก็ไม่มีอะไรเป็นความแปลกประหลาดในหัวใจตัวเอง แล้วจะแสดงให้คนอื่นได้ยังไง แสดงออกมาก็เขาเหมือนเรา เราเหมือนเขา ไม่มีใครฟังใครเสีย ถ้าเป็นเรื่องแสดงออกมาจากภายในจิตใจจริง ๆ จะเป็นของแปลกขึ้นมานะ เพราะใจนี้รู้ไม่ได้ขึ้นกับว่าเราเคยรู้เคยเห็นไม่เคยรู้เคยเห็น มันขึ้นอยู่กับใจ ใจที่สัมผัสสัมพันธ์ธรรมเป็นเครื่องส่องทางให้เห็นเป็นลำดับลำดา ไม่เคยรู้รู้ขึ้นมาแล้วก็ไม่สงสัย แปลกประหลาด ๆ

ที่ว่านี้แต่ก่อนเราไม่เคยรู้เคยเห็นเรายังไม่แน่ใจ ไม่มี พอเจอเข้าไปปั๊บ อ๋อ ๆ เข้าไปเรื่อยเลย นั่นละธรรมเป็นอย่างนั้น เรียกว่าธรรม นี่ธรรมภาคปฏิบัติไม่ค่อยมี มีแต่ภาคปริยัติเต็มบ้านเต็มเมือง ของแปลกประหลาดเลยไม่มี อย่างว่าชาวพุทธ ๆ กิริยาของชาวพุทธทั้งฆราวาสทั้งพระไม่เห็นแปลกต่างจากกัน เรื่องราวที่จะให้เป็นสิริมงคลแก่จิตใจและกิริยาที่แสดงออกให้โลกได้รับประโยชน์ไม่ค่อยมี ก็เพราะเจ้าของไม่มีในใจนั่นเอง ถ้ามีแล้วไปไหนก็เถอะว่างั้นเลย อย่างสาวกของพระพุทธเจ้า เคยเห็นพระพุทธเจ้าที่ไหนแต่ไหนแต่ไรมา พอฟังธรรมเท่านั้นตรัสรู้ผึง ๆ ยอมรับ ๆ ไปเลย เป็นอย่างนั้นนะ ธรรมถ้าเข้าสัมผัสใจแล้วไม่สงสัย

เราอยากให้พี่น้องทั้งหลายได้ปฏิบัติตัวให้มีแบบมีฉบับบ้าง ตามฐานะของเราที่เป็นฆราวาสญาติโยม เป็นลูกศิษย์พระ ไปที่ไหนก็ขอให้มีขอบมีเขตมีเหตุมีผลมีหลักมีเกณฑ์ประจำตัวบ้าง อย่าลุกลี้ลุกลนไปตามอำนาจของกิเลสโดยถ่ายเดียวจนชินต่อนิสัย แสดงปั๊บเป็นกิเลสทันที จะเป็นธรรมออกมาไม่ค่อยมี เพราะกิเลสมันเคยตัวแล้ว มันคล่องตัวของมัน ลากไปแต่ทางกิเลส ทางด้านอรรถธรรมไม่มี เมื่ออาศัยการฝึกอบรมอยู่โดยสม่ำเสมอหลายครั้งหลายหน อย่างเราคอยเช็ดคอยถูเรื่อย ๆ ก็ค่อยสะอาดไปเรื่อย ๆ ต่อไปก็สะอาด จิตใจก็เหมือนกัน กิเลสเป็นตัวเศร้าหมองเป็นมลทินมืดตื้ออยู่ในหัวใจ จึงไม่มองเห็นสิ่งใดที่จะเป็นสารประโยชน์ มองเห็นแต่เรื่องที่จะเป็นโทษเป็นภัยโดยถ่ายเดียว ฉะนั้นโลกถึงมีแต่ความรุ่มร้อน

ท่านทั้งหลายดูโลกดูยังไงกัน เราอยากถามว่าอย่างนี้นะ เขาก็โลก เราก็โลก ดูใคร ๆ มันก็เหมือนกันหมด ไม่มีใครแปลกต่างจากกัน มีแต่กองทุกข์ความทรมาน ไม่ว่าโลกไหนเมืองใดประเทศใด เราอย่าเข้าใจว่าเมืองนั้นเจริญ เมืองนี้เจริญ นี้ก็คือเครื่องหลอกของกิเลสทั้งนั้น ธรรมท่านเอาความจริงเข้าจับเห็นหมดอะไรเจริญ จะว่าเจริญขนาดไหนก็มีแต่กิเลสเสแสร้งขึ้นมา ยกยอปอปั้นขึ้นมา ธรรมเอาความจริงเข้าไปนี้ขาดสะบั้นเลย มันไม่มีสาระตามที่กิเลสยกยอ ความจริงใส่พุ่งขึ้นไปมันไม่มีก็บอกไม่มี มีแต่ฟืนแต่ไฟเต็มหัวใจสัตว์ เพราะกิเลสมันอยู่หัวใจ มันไม่อยู่ต้นไม้ภูเขาดินฟ้าอากาศ สามแดนโลกธาตุนี้กิเลสและธรรมไม่มีที่อยู่ อยู่ที่หัวใจดวงเดียว เพราะฉะนั้นจึงแสดงที่หัวใจของสัตวโลก ถ้าใครมีความดีก็แสดงความสงบร่มเย็นขึ้นมา ใครไม่ดีทำแต่ชั่วก็แสดงแต่ฟืนแต่ไฟ ไปอยู่บนหอปราสาทก็เป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ตัวเองอยู่บนหอปราสาท กิเลสอยู่เหนือหอปราสาทอีก คือมันอยู่เหนือหัวใจสัตวโลก นั่นซีมันถึงลำบากลำบน มองดูแล้ว โฮ้ ทุเรศนะ

เราไม่ได้ประมาทผู้ใดเลยนะ แต่ก่อนก็ไม่เคยรู้เคยเห็น ก็เราเหมือนท่าน ท่านเหมือนเรา ครั้นเวลามันรู้มันเห็นตรงไหน ๆ เข้าไป มันละมันถอนไปเรื่อย ๆ สิ่งที่เป็นสาระก็ปรากฏขึ้นเรื่อย ๆ ชำระไม่หยุด ล้างไม่หยุดไม่ถอยก็จ้าออก ๆ จ้าออกไปเลย ทีนี้อะไรจะมาปิดบังได้ มีกิเลสอย่างเดียว กิเลสพังหมดแล้วเอาอะไรมาปิด มันก็เห็นล่ะซี

นี่ละพระพุทธเจ้าเอาธรรมมาสอนโลก เอาออกจากพระทัยนะ แต่ก่อนคัมภีร์ยังไม่มี คัมภีร์ใบลานที่ว่าพระไตรปิฎกยังไม่มี ศาสนาล่วงไปดูเหมือนสังคายนาครั้งที่สามมั้ง เราก็ดูมาเสียจนช่ำชองแต่มันก็ลืม นานแล้ว เพราะเหล่านี้เป็นหลักวิชาของนักธรรม เรียนนักธรรมต้องเรียนสิ่งเหล่านี้ไปหมด ทีนี้มันผ่านมานานก็จำไม่ได้ ท่านมาจดจารึกเอาครั้งที่สามสังคายนา จึงได้มาเป็นคัมภีร์ใบลานออกมา แต่ก่อนจำด้วยปาก ออกมาจากใจของพระอรหันต์ท่าน ทีนี้ก็มาคิดครั้นนานไปนี้ ท่านผู้สิ้นกิเลสท่านผู้บริสุทธิ์ค่อยร่วงโรยไปนี้ ธรรมะทั้งหลายจะมัวหมองมืดตื้อ ต่อไปจะหาหลักหาเกณฑ์ไม่มี ก็เลยคิดจดจารึก สังคายนาดูว่าครั้งที่สาม

สังคายนาตั้งสี่ครั้งห้าครั้งนะ ดูว่าเป็นครั้งที่สาม ถ้าเราจำไม่ผิดนะ ท่านร้อยกรองพระธรรมวินัยขึ้นมาเป็นคัมภีร์ใบลานนี้ แต่สมัยพระพุทธเจ้าไม่มี ตรัสรู้ผึงขึ้นมานี้เป็นคัมภีร์ในหัวใจเลย พระสาวกเป็นคัมภีร์ในหัวใจ เวลาแสดงธรรมแก่โลกสงเคราะห์โลก ท่านไม่ไปหาคัมภีร์ไหน ถอดออกมาจากนี้ ๆ ตามนิสัยวาสนาของตัวที่มีความรู้กว้างแคบขนาดไหน ท่านออกของท่าน ๆ โดยลำดับ ต่อมาก็ไปอยู่ในคัมภีร์ ทีนี้เลยลืมตัวคัมภีร์ใหญ่ ใจนี้คือคัมภีร์ใหญ่ เป็นพ่อเป็นแม่เป็นบทเป็นบาท เป็นแม่พิมพ์ของคัมภีร์ทั้งหลาย ลืมดูอันนี้เสียซิ เลยเอาแต่เจ้าคัมภีร์มาเหยียบคัมภีร์ใหญ่นี้หมด

ภาษิตโบราณท่านว่า ทองคำมักบังพระพุทธ คือทองคำบังพระพุทธ เห็นไหมไปที่ไหนติดทองเหลืองอร่าม ยิ่งได้หล่อรูปเป็นทองคำแล้วเห็นแต่ทองคำ พระพุทธเจ้าอยู่ในนั้นไม่เห็นนะ นี่ละท่านว่า ทองคำมักบังพระพุทธ คือทองคำเหลืองอร่ามอยู่นอก เลยดูแต่ทองคำ ตัวพุทธะแท้ที่เป็นองค์สำคัญอยู่ภายในนั้นไม่ได้ดูกันเสีย เรียกว่าทองคำมักบังพระพุทธ สงฆ์สมมุติมักบังอริยสงฆ์ ก็อย่างที่เรารู้ ไปที่ไหนก็มีแต่นักปราชญ์ นักแปดมันไม่ได้ว่านะ เข้าใจไหม มันมาแต่นักปราชญ์ ๆ ยิ่งมีคนยอว่า นี่เป็นพระไตรปิฎกเคลื่อนที่ เลยเป็นบ้าไปเลย นั่นน่ะเขาเรียกว่า สงฆ์สมมุติมักบังอริยสงฆ์ อริยสงฆ์อยู่ในหัวใจนั่น แต่มันไม่มองดูนี้ มันมองดูแต่คัมภีร์ใบลาน ไขว่คว้าไปลม ๆ แล้ง ๆ อันของจริงอริยสงฆ์อยู่ภายในหัวใจตัวเองไม่ดู กระจายออกไปอีก ก็เห็นการศึกษาเล่าเรียนการจดจำมา ได้แต่เสียงได้แต่ลมเหมือนนกขุนทองว่าเป็นของดีไปเสีย ภาคปฏิบัติไม่สนใจจะปฏิบัติเอาธรรมที่เลิศเลอขึ้นมา นี่ก็บังอีกเข้าใจไหม สงฆ์สมมุติมักบังอริยสงฆ์ บังอย่างนี้ละ เห็นการปฏิบัติผู้ปฏิบัติไม่สำคัญยิ่งกว่าผู้ที่งมเงาเกาหมัดไปเสียอีก

ต่อไปก็ว่า

อันโคควายนี้เลี้ยงไว้ใช้งานไถ เมื่อตายไปเนื้อและหนังยังให้ผล

นิสัยพาลพาลเพียรเบียดเบียนคน ประพฤติตนเลวร้ายยิ่งกว่าควาย เข้าใจไหม ควายเวลาตายไปเขาเอาเนื้อหนังไปเป็นอาหารก็ได้ นิสัยคนพาลเอาไปเป็นอะไรไม่ได้ เข้าใจไหม นิสัยคนพาลพาลเพียรเบียดเบียนคน ประพฤติตนเลวร้ายยิ่งกว่าควาย ย่นเข้าไปอีกว่า

วัดจะดีไม่ใช่ดีเพราะโบสถ์สวย หรือร่ำรวยด้วยทรัพย์อสงไขย

แต่วัดดีเพราะพระเณรเก่งเคร่งวินัย ยึดหลักใจอรหันต์เป็นสันดาน

นั่นเห็นไหมล่ะ ว่างั้น หรู ๆ หรา ๆ ฟู่ ๆ ฟ่า ๆ ว่าวัดนี้ดี ๆ มันมองข้ามอย่างนั้นซิ ถ้าย้อนมาหาหลักความจริง คือวัดจะดีไม่ใช่ดีเพราะโบสถ์สวย หรือร่ำรวยด้วยทรัพย์อสงไขย วัดไหนมีเงินมีทองข้าวของมาก ๆ แล้ววัดนั้นมีสง่าราศี น่าเกรงขามไปแล้ว เป็นเรื่องของกิเลส แต่วัดจะดีนี้เพราะพระเณรเก่งเคร่งวินัย ยึดหลักใจอรหันต์เป็นสันดาน ดีที่ตรงนี้ต่างหากไม่ได้ดีที่ตรงนั้น วัดจะดีไม่ได้ดีเพราะโบสถ์สวย ร่ำรวยด้วยทรัพย์นะ แต่วัดดีเพราะพระเณรเก่งเคร่งวินัย ยึดหลักใจอรหันต์เป็นสันดาน ผู้ยึดหลักชัยอรหันต์เป็นสันดาน จะเป็นผู้ได้ธรรมเลิศเลอ จนกระทั่งถึงอรหันต์ฝังหัวใจได้เลย

นั่นละวัดดีดีอย่างนั้น มีข้อวัตรปฏิบัติ มีศีล มีสมาธิ มีปัญญา มีศีลาจารวัตรประพฤติปฏิบัติตัวให้รอบคอบอยู่ด้วยศีลด้วยธรรมประจำตน รักษาตนตลอดเวลา นี่วัดดีดีอยู่ที่พระผู้ตั้งใจปฏิบัติ ไม่ได้ดีอยู่ที่อิฐที่ปูนที่หินที่ทรายนะ หลักความจริงเป็นอย่างนี้ เวลานี้เป็นยังไง ไปที่ไหนเป็นตลาดขึ้นมา ว่าจะสร้างวัดแล้วต้องสร้างตลาดขึ้นมาก่อน อันนั้นไม่มีอันนี้ไม่มี กุฏิ ศาลา โบสถ์ วิหาร ทุกอย่างให้มีเต็มไปหมดนั้นจึงจะเรียกว่าวัด แน่ะ ส่วนข้อวัตรปฏิบัติที่จะทำตัวให้มีหลักแน่นหนามั่นคง เป็นที่อบอุ่นแก่ตนและโลกนั้นไม่สนใจ แล้วจะดีได้ยังไงวัดแบบนั้น มันก็มีแต่อิฐแต่ปูนเท่านั้น พระเณรไม่ดีเอาอะไรเป็นประโยชน์ เป็นอย่างนั้นนะเดี๋ยวนี้ ครอบกันเข้า ๆ พากันจำเอานะทุกคนให้ไปปฏิบัติ

ศาสนาของเรานี้เรียกว่าคงเส้นคงวาหนาแน่นตลอดเวลาสด ๆ ร้อน ๆ ด้วยมรรคผลนิพพาน ถ้านำไปปฏิบัติจะเป็นผู้ครองธรรมเหล่านี้ไม่สงสัย ในขณะเดียวกันกิเลสก็เป็น อกาลิโก มีตลอดเวลาเช่นเดียวกัน ในหัวใจดวงเดียวกันนั้นแหละกับธรรมที่สถิตอยู่ เอื้อมไปทางกิเลส คิดไปทางกิเลสจะเป็นกิเลสขึ้นมาทันทีสด ๆ ร้อน ๆ เหมือนกันกับธรรมไม่ได้ผิดแปลกกัน ทั้งสองอย่างนี้เหมือนแขนซ้ายแขนขวา เอื้อมไปทางธรรมเป็นธรรม เอื้อมไปทางกิเลสเป็นกิเลส จากใจดวงเดียวนี้ เป็นอย่างนั้นนะ เพราะฉะนั้นให้พากันเอื้อมไปทางอรรถทางธรรมบ้าง เราจะมีสาระเป็นที่พึ่งเป็นพึ่งตายตัวเอง

ยั้วเยี้ย ๆ เห็นไหมล่ะ ไปมีแต่ความเพลิดความเพลิน ไปดูอันนั้นไปดูอันนี้ หัวใจที่เต็มไปด้วยฟืนด้วยไฟไม่สนใจดูกัน เพราะฉะนั้นถึงไม่เจอของดีซิ ดับไฟได้แล้วก็เย็น นั่นละของดีอยู่ที่เย็นมันไม่ดู เร่ ๆ ร่อน ๆ มีมากมีน้อยจิตใจเพ่นพ่าน ๆ หาตั้งแต่ภายนอกที่เป็นความล้มเหลว ๆ ทั้งนั้น มันไม่ได้หาของดิบของดีอะไร มีแต่ความล้มเหลว มันไม่ได้หาที่ใจ ไปไหนอย่าลืมใจ สติธรรม ความรู้สึกตัว จะรู้สึกตัวอยู่กับธรรมใดก็ตาม แม้ที่สุดมีสติรู้ตัวอยู่นี้ก็เป็นธรรมแล้วนั่น ยังไม่คิดเรื่องอะไรมีความรู้ตัวอยู่เรียกว่า สติธรรม แล้วมีคิดอ่านไตร่ตรองในเรื่องต่าง ๆ ดีชั่วประการใดก็ตาม เพื่อแก้ไขดัดแปลง นั่นก็ธรรมอยู่ที่นี่ ถ้าเป็นอย่างนี้เรียกว่าไปไม่ปราศจากที่พึ่ง ถ้าไปเร่ ๆ ร่อน ๆ ดูนั้นดูนี้ ชมนั้นชมนี้ทั้งอ้าปาก ตาก็ค้างหลับตาไม่ลง เพลินในการดู ปากก็อ้า ถ้ามีหมูมีหมามันขี้ใส่ปากก็ไม่รู้นะ พองับปากแล้วมีแต่ขี้หมาเต็มปาก อุ๊ย.ทุเรศ นั่นละมันดูเซ่อ ๆ ซ่า ๆ ดูด้วยกิเลสสนตะพายจูงจมูกไป ก็เป็นแบบนั้น

ท่านทั้งหลายได้พิจารณาเหรอ เราไม่ได้ประมาทโลกนะ โลกนี้กว้างแสนกว้างขนาดไหน นั่นละฟืนไฟเต็มอยู่ในนั้นหมด ถ้าไม่มีธรรมในใจหาที่ลดหย่อนผ่อนคลายไม่ได้ ตายทิ้งเปล่า ๆ ตั้งแต่วันเกิดถึงวันตาย ขวนขวายหาตั้งแต่เรื่องของกิเลส เรื่องกิเลสก็คือฟืนคือไฟ ความผิดหวัง ๆ ทั้ง ๆ ที่หวังเต็มหัวใจ ผลได้มามีแต่ผิดหวัง ๆ ก็เป็นกองทุกข์ทั้งนั้น โลกนี้เกิดมาด้วยกองทุกข์ อยู่ด้วยกองทุกข์ ตายไปด้วยกองทุกข์ หาความเป็นหลักเป็นเกณฑ์แก่ตัวเองไม่ได้ ถ้าไม่มีธรรมในใจ ถ้ามีธรรมไม่ว่าคนมีคนจน หัวใจไม่ได้จน ขอให้มีธรรมในใจ คนนั้นไม่จน ไปไหนแน่นหนามั่นคง อยู่ก็แน่น ไปก็ได้หลักได้เกณฑ์ไม่สงสัย นี่ละธรรมเป็นอย่างนั้น ไม่ได้เหมือนโลกนะ

โอ๊ย.เราสลดสังเวชจริง ๆ ยิ่งจวนจะตายเท่าไรยิ่งพูดหนักเข้า ๆ แล้วโลกกิเลสมันก็โจมตี หาว่าหลวงตาบัวพูดบ้าพูดอะไรไปยังงั้นก็ได้ แต่ก็ช่างเถอะ เขาว่าปากเราเป็นบ้า เราไม่เป็นบ้าไม่เป็นไร เรากลัวแต่เขาจะเป็นบ้าเท่านั้นแหละ เข้าใจไหม เราไม่เป็นไรแหละ เขาจะว่ายังไงไม่เป็นไร เรากลัวแต่เขาจะเป็นบ้ากันเท่านั้นเอง อย่าเป็นบ้ากันนะ เข้าใจไหม เอาละวันนี้พูดเท่านั้น

โยมถาม : หลวงตาคะ ทำไมคนเขาถึงชอบแบบหรู ๆ หรา ๆ แทนที่จะดูพระปฏิบัติอะไรอย่างนี้ ทำไมคนชอบแบบที่หลวงตาเทศน์?

หลวงตา : ชอบยังไง

โยม : ชอบดูสิ่งปลูกสร้างหรู ๆ หรา ๆ วัดสวยงาม อะไรยังงี้ค่ะ เป็นเพราะอะไรคะ?

หลวงตา : แล้วเราถามเราหรือยังว่าเราชอบยังไง

โยม : หนูชอบอย่างหลวงตาเจ้าค่ะ

หลวงตา : ก็ต้องอย่างนั้นซิ ถ้าเราชอบอย่างเขาเราก็เหมือนเขา ไม่ควรถามเรา เข้าใจไหม คือกิเลสนี้มันจะต้องปิดสิ่งสกปรกเอาไว้ เอาสิ่งภายนอกมาประดับประดาให้คนสนใจแต่สิ่งนี้ ลืมเนื้อลืมตัว ไอ้สกปรกรกรุงรังอยู่ภายในก็เลยมีฤทธิ์มีเดชอยู่ภายใน ทั้ง ๆ ที่มันเป็นมูตรเป็นคูถ อันนี้หลอกไว้ข้างนอก คนเป็นบ้ากับอันนี้ ธรรมดูท่านทะลุหมด ท่านไม่พูดเฉย ๆ นั่นละกิเลสหลอกคนเป็นอย่างนั้น ธรรมไม่หลอก ธรรมเห็นหมดเลย ไม่งั้นจะพูดว่าส้วมว่าถานได้เหรอ

เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร ทาง internet

www.luangta.com


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก