จิตยังมีกิเลสดื้อทั้งนั้น (อบรมคณะ เอ็ม.ดี.ทัวร์)
วันที่ 29 มิถุนายน 2528 เวลา 7:40 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)

ค้นหา :

เทศน์อบรมคณะเอ็ม.ดี.ทัวร์

เมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๒๘

จิตยังมีกิเลสดื้อทั้งนั้น

ต่อไปนี้จะพูดธรรมะให้ท่านทั้งหลายฟังเล็กน้อย พอเป็นที่ระลึกในการมาเยี่ยมวัดนี้ วันนี้ท่านทั้งหลายมาแสวงบุญดังที่ปราชญ์ทั้งหลายท่านประกาศไว้ว่า บุญเป็นของเลิศของประเสริฐเหนือสิ่งใด ๆ ในโลก คำว่าบุญคือความสุข ตั้งแต่ความสุขพื้น ๆ ขึ้นไปจนกระทั่งถึงความสุขอันสุดยอด เป็นสิ่งที่โลกต้องการด้วยกันทั้งนั้น ทางพุทธศาสนาจึงสอนโลกให้ละเว้นในสิ่งไม่ดีทั้งหลายอันจะนำมาซึ่งความทุกข์ และให้บำเพ็ญความดีที่จะนำมาซึ่งความสุขได้แก่บุญ นี่เราท่านทั้งหลายได้มาเสาะแสวงบุญ ก็สมกับเราเป็นภูมิมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ รู้จักดีจักชั่วทุกสิ่งทุกอย่างก็คือมนุษย์ เพราะฉะนั้นศาสนาจึงมารวมลงที่มนุษย์เราจะเป็นผู้รับไว้ปฏิบัติ เพื่อประโยชน์แก่ตนและเพื่อเทิดทูนพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นองค์ศาสดา

คำว่าศาสนา ถ้าเราจะเทียบกับวัตถุต่าง ๆ ภายนอก ก็เหมือนเครื่องมือที่ก่อสร้างสิ่งต่าง ๆ ต้องมีเครื่องมือ ไม่มีเครื่องมือสิ่งเหล่านั้นจะสำเร็จรูปไปไม่ได้ เช่น ต้นไม้จะเป็นประเภทสวยงามหรือมีแก่นหนาแน่นมั่นคงเพียงไรก็ตาม ก็เป็นไม้ทั้งต้นอยู่อย่างนั้น จะสำเร็จประโยชน์เป็นบ้านเป็นเรือน เป็นตึกเป็นห้างขึ้นมาอะไรไม่ได้ ถ้าไม่มีสิ่งเข้าไปเกี่ยวข้อง ไม่มีเครื่องมือที่จะไปเจียระไนมันออกมา ให้เป็นรูปร่างต่าง ๆ ตามความต้องการของนายช่าง

เช่นช่างไม้ ช่างไม้ต้องมีเครื่องมือ ไม่มีเครื่องมือจะเป็นช่างไม้ไปไม่ได้ และไม้ทั้งต้นนั้นจะสำเร็จรูปร่างออกมาเป็นสิ่งต่าง ๆ ไม่ได้ ก็เป็นไม้ทั้งต้นอยู่อย่างนั้น จะเป็นไม้เนื้อดีก็ตามไม่ดีก็ตาม ก็เป็นไม้ทั้งต้นอยู่อย่างนั้น ต่อเมื่อนายช่างได้เจียระไนออกมาตัดมาเลื่อยมาไสกบลบเหลี่ยม แยกแยะออกมาทำเป็นวัตถุต่าง ๆ แล้วก็สำเร็จประโยชน์ เช่นอย่างปลูกบ้าน กว่าจะสำเร็จเป็นบ้านขึ้นมา ไม้มีกี่ประเภท ที่เขาเจียระไนออกมาให้เหมาะสมกับเครื่องเคราต่าง ๆ ที่จะปลูกเป็นบ้านเรือนได้

ลำพังไม้เฉย ๆ ถ้าไม่มีเครื่องมือ ไม่มีผู้ไปดัดแปลงก็ไม่สำเร็จประโยชน์ จะเป็นไม้เนื้อดีขนาดไหนก็ไม่สำเร็จประโยชน์ มีแต่เพียงชื่อเท่านั้น ต่อเมื่อนายช่างมีเครื่องมือและเป็นผู้ฉลาดนำไม้ต้นนั้น ๆ มาเจียระไนออกไปเพื่อสำเร็จรูปต่าง ๆ จะให้เป็นบ้านก็เป็น เป็นเรือนก็เป็น เป็นตึกเป็นห้าง เป็นตู้เป็นอะไรก็แล้วแต่เถอะ เป็นไปได้หมด จากความฉลาดของช่างที่มีเครื่องมือสมบูรณ์

นี่ศาสนธรรมของพระพุทธเจ้า คือเครื่องมือสำหรับชำระล้างหรือดัดแปลงผู้คนของเรานี้ให้ดีทางกาย ทางวาจา ทางใจ จึงต้องมีเครื่องมือ ได้แก่ อรรถธรรมคำสั่งสอนเป็นเครื่องชี้แนะแนวทางให้ ครูอาจารย์ก็หมายถึงศาสดาเป็นครูใหญ่ ลำดับลงมาก็พระอรหัตอรหันต์ท่านซึ่งเป็นนายช่าง มีแต่ประเภทนายช่างเอกทั้งนั้น จากนั้นมาก็ถึงครูบาอาจารย์จนกระทั่งถึงยุคสมัยทุกวันนี้ ที่ว่าเป็นครูเป็นอาจารย์ ก็คือเป็นผู้แนะนำสั่งสอน สั่งสอนตนได้เรียบร้อยแล้วก็สั่งสอนคนอื่นให้ประพฤติปฏิบัติตาม

การสั่งสอนตนได้เรียบร้อยนั้น หมายถึงว่าสมบูรณ์ทั้งเหตุสมบูรณ์ทั้งผล ผลเป็นที่พอใจหาที่ตำหนิไม่ได้ เพราะเหตุเป็นเครื่องราบรื่นดีงามสมควรที่จะรับผลอันเป็นที่พึงใจได้ ฉะนั้นจึงสมควรที่จะเป็นครูเป็นอาจารย์ของคน ดังศาสดาของพวกเราทั้งหลายนี้แล มาแนะนำสั่งสอนพวกเราด้วยอรรถด้วยธรรม ทีนี้เราก็เทียบกับว่าคนแต่ละคน ๆ นี้จะเป็นชาติชั้นวรรณะใดก็ตาม ก็เหมือนไม้ชนิดต่าง ๆ นั้นแหละ ไม้เนื้อดี ไม้เนื้อแข็ง ไม้เนื้ออ่อน ก็สำเร็จรูปอะไรไม่ได้ เป็นประโยชน์อะไรไม่ได้ ก็เป็นแต่ไม้เนื้อนั้น ๆ อยู่เท่านั้นเอง ทีนี้คนเราก็เหมือนกันเกิดขึ้นมาจะเป็นเกิดในชาติใดก็ตาม ชั้นวรรณะใดก็ตาม ก็เป็นรูปร่างของคนอยู่เท่านั้น ถ้าไม่มีเครื่องมือคือศาสนธรรม เข้าไปซักฟอกชำระสะสางให้รู้จักดีจักชั่ว รู้จักได้จักเสียแล้ว จะเป็นคนดีขึ้นมาไม่ได้

นี่เราท่านทั้งหลายที่อุตส่าห์มานี้ก็ เพื่อมาเสาะแสวงหาบุญหากุศล คำว่ากุศล ได้แก่ ความฉลาด คนไม่ฉลาดหาบุญไม่เจอ กุสล ๆ แปลว่า ความฉลาด คนมีความฉลาดย่อมเสาะแสวงหาบุญเจอ นี่เราฉลาดในทางเสาะแสวงหาคุณงามความดีมาเพื่อชำระซักฟอกตัวเอง ได้แก่นำโอวาทคำสั่งสอนของท่านไปประพฤติปฏิบัติตาม นั้นแหละชื่อว่าดัดแปลงตนเอง จะให้สำเร็จรูปเป็นชนิดใดก็ได้ คนคนหนึ่ง ๆ มีความเหลื่อมล้ำต่ำสูงต่างกัน ด้วยการชำระสะสางตนเองนั่นแล ขอให้ทุกๆ ท่านได้นำธรรมะนี้ไปกำจัดสิ่งที่ไม่ดีไม่งามทั้งหลาย ที่มันขัดข้องอยู่ภายในจิตใจของเราก็ได้แก่อธรรม ที่เป็นข้าศึกต่อศาสนธรรม แล้วก็เป็นข้าศึกต่อตัวของเราเองเช่นเดียวกัน ให้สิ่งเหล่านั้นได้สิ้นไปหมดไป ๆ เหลือแต่ธรรมเป็นเครื่องประคองจิตใจของเรา ก็จะมีความสุขความเจริญ

คำว่า อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ เหล่านี้ ไม่ใช่เป็นคำเล่น ๆ อรหํ ได้แก่ ท่านผู้วิเศษ สิ้นแล้วจากกิเลสซึ่งเป็นข้าศึกของใจมาแต่ไหนแต่ไร ได้สิ้นไปหมดแล้ว เป็นผู้ประเสริฐ พระพุทธเจ้าก็เหมือนกัน เราถึงได้เปล่งวาจาถึงท่านว่า พุทฺธํ ธมฺมํ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ คือถึงพระพุทธเจ้าหนึ่ง พระธรรมหนึ่ง พระสงฆ์หนึ่ง ว่าเป็นสรณะ คือเป็นที่ฝากเป็นฝากตายกับท่าน กายวาจาอะไรมอบกับท่าน ท่านว่าทำอะไรดีให้ทำตามท่าน ท่านว่าสิ่งใดไม่ดีให้ละตามท่าน นี่แหละคือการดัดแปลงตนเอง ได้แก่นำเครื่องมือคือโอวาทคำสั่งสอนของท่านมาแก้ไขดัดแปลงตนเอง

ตามธรรมดาจิตใจของคนเรามันดื้อทุกคนนั่นแหละ เราอย่าเข้าใจว่าจิตเราสุภาพอ่อนโยน ดิบดี จะออกไปแข่งคนอื่นเขาไม่ได้ จิตใจของทุกคนมันดื้อมันด้านด้วยกันนั่นแหละ แม้แต่จิตพระก็ยังดื้อ ถ้าจิตยังมีกิเลสดื้อทั้งนั้น นอกจากจิตสิ้นกิเลสแล้วเท่านั้น ถ้าสิ้นกิเลสแล้วไม่ดื้อ ถึงจะเป็นกิริยาอาการแสดงออกมาอย่างไรก็ตาม ก็สักแต่กิริยาท่าทาง แต่เป็นอรรถเป็นธรรมด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีกิเลสสิ่งคะนองผลักดันออกมาให้เป็นความดื้อด้าน

เมื่อจิตของเราทุกคนมีความดื้อด้านด้วยกันแล้ว อะไรที่จะปราบความดื้อด้านของใจตนได้ ก็มีแต่ธรรมเท่านั้น อย่างอื่นปราบไม่อยู่ มีแต่ธรรม เช่น มันอยากโกรธให้เขาก็อย่าโกรธซิ มันเกิดประโยชน์อะไร เขามาโกรธให้เรา เราเสียใจไหม ถ้าเรายังเสียใจอยู่เราก็อย่าโกรธให้เขาซิ เขาจะมาฆ่าเราเป็นยังไง เราเสียใจไหม เราอยากให้เขาฆ่าไหม ถ้าไม่อยากให้ฆ่า เราก็อย่าฆ่าเขาซี นี่ละธรรมแก้กันอย่างนี้เอง กิเลสมันอยากฆ่า มันอยากฉกอยากลัก อยากประพฤติร่วมประเวณี อยากโกหกมายาสาไถย อยากดื่มแต่น้ำเมาน้ำบ้าตลอดเวลาหาความดีไม่ได้ เพราะจิตดวงคะนองนั่นแหละ

อะไรพาให้มันคะนอง ก็คือสิ่งที่เป็นพิษฝังอยู่ภายในจิตใจ จึงทำใจคนให้คะนองได้ สิ่งที่นักปราชญ์ท่านว่าดี ไม่อยากทำ ถ้าท่านว่ามันเสียไม่ดี อยากทำ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ฝืนธรรม ไม่ใช่ของดี เราก็นำธรรมะเข้าไปกำจัดอย่างนี้ นี่เรียกว่าจิตดื้อ มันดื้ออยากทำสิ่งที่ไม่ควรทำ อยากพูดสิ่งที่ไม่ควรพูด อยากคิดสิ่งที่ไม่ควรคิด ซึ่งเป็นภัยล้วน ๆ ไม่มีคุณเคลือบแฝงอยู่เลย ธรรมจึงต้องแทรกเข้าไป ไม่ให้ทำ สิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายอย่าทำ ทำแล้วก็ต้องเป็นทุกข์ทำลายตัวเองนั่นแหละ

ดังศีลห้าท่านประกาศมาได้สองพันกว่าปีแล้ว ศีลห้าคืออะไร คือรู้ว่าป้องกันความชั่วช้าลามกของเราที่จะแสดงตัวออกไป มีรั้วกั้นเอาไว้ เมื่อรั้วกั้นของเราดีแล้ว เราก็กลายเป็นคนสวยงาม สุภาพเรียบร้อย ทีนี้จิตก็สุภาพ กายวาจา ความประพฤติ ทุกสิ่งทุกอย่างสุภาพอ่อนโยนไปหมด เพราะอำนาจแห่งธรรมเป็นเครื่องซักฟอก นี่เราให้นำธรรมะนี้ไปซักฟอกจิตใจ ไปดัดแปลงจิตใจของเรา

เวลาจะหลับจะนอนก็อย่าได้ลืม อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ สฺวากฺขาโต สุปฏิปนฺโน ฯ ไหว้ท่านเสียก่อน ไหว้ท่านก็คือนำความดีมาสู่เรานั่นแหละ ไหว้ท่านคือไหว้ตัวเอง ธรรมอยู่กับเรา ให้พยายามทำทุกวัน อย่าให้ตัวขี้เกียจขี้คร้านมาเหยียบย่ำทำลายไปได้

ส่วนมากพอเราจะไหว้พระสวดมนต์นี่ แข้งมันก็จะหัก ขามันก็จะหัก หัวก็ปวด อะไรปวดหมด ท้องก็ปวดอยากวิ่งเข้าส้วมเข้าถานไปนั่นแหละ กิเลสมันไล่ ถ้าจะนั่งภาวนามันไล่ไม่ให้นั่ง จะสวดมนต์มันไล่ไม่ให้สวดมนต์ เอาการเอางานที่ไหน กี่กัปกี่กัลป์ข้างหน้าข้างหลังที่ไหนมีไม่มีก็ตาม มันหามายุ่งไปหมดนั่นแหละ ก็วันพรุ่งนี้จะไปงานโน้น ๆ ไม่มีเวล่ำเวลา ถ้าวันนี้ไม่ได้พักแล้วไม่ไหว มันหลอกคนใส่หมอน กิเลสตัวหลอก ๆ มันหลอกอย่างนี้

เราอย่าไปเชื่อกิเลส นอนก็เคยนอนมาแล้วตั้งแต่วันเกิด อยู่ในท้องแม่ก็นอน เกิดตกคลอดมาแล้วก็นอน นอนอยู่ตลอด จะไปห่วงอะไรเรื่องเสื่อเรื่องหมอนนั้น มรรคผลนิพพาน สวรรค์นิพพาน มีอยู่ทำไมไม่ห่วง มันเลิศกว่าเสื่อกว่าหมอนก็ว่าอย่างนั้นซิ สอนเจ้าของต้องสอนอย่างนั้น ถ้าหากว่าเสื่อหมอนเป็นของเลิศของวิเศษแล้ว ก็ทำไมไม่เอาเสื่อเอาหมอนนี้เป็นศาสดาสอนล่ะ เราหาครูหาอาจารย์ทำไม เราต้องแก้กันอย่างนี้ สุดท้ายเสื่อหมอนก็ห่างจากเราไปเอง ถ้าจิตใจเราไม่หึงหวงในหมอน ธรรมก็แทรกเข้าในจิตในใจ มีความขยันหมั่นเพียร

ไหว้พระสวดมนต์นี้ก็ต้องทำวันหนึ่ง ๆ เมื่อเคยชินแล้ว และได้ผลเป็นที่พอใจในการกระทำความดีแล้ว อยู่ไม่ได้มนุษย์เรา ขี้เกียจขี้คร้านมาเท่าไรก็ตาม เคยขี้เกียจ ขี้คร้านขนาดไหนก็ตามเถอะ หากมีความขยันขันแข็งขึ้นมาเอง ทีนี้ไม่ได้ทำอยู่ไม่ได้ เมื่อธรรมเข้าสู่ใจแล้วกิเลสค่อยห่างไป ๆ จิตใจก็มีความเบิกบานยิ้มแย้มแจ่มใส เชื่อตัวเองก็ได้ที่นี่ ตั้งแต่ก่อนเชื่อคนอื่นก็ไม่ได้เชื่อตัวเองก็ไม่ได้ โลกอันนี้หาผู้เชื่อไม่ได้เลย เพราะเราก็เชื่อตัวเราไม่ได้ เขาก็เชื่อเขาไม่ได้ และเขาก็เชื่อเราไม่ได้ เราก็เชื่อเขาไม่ได้อีก ทีนี้พอเวลามีธรรมเข้าสู่ใจ ต่างคนต่างเชื่อตัวเองได้แล้วก็เชื่อกันได้มนุษย์เรา นี่ละธรรมเป็นของสำคัญ จึงขอให้พี่น้องทั้งหลายได้นำไปประพฤติปฏิบัติ อบรมจิตใจ อย่าให้ห่างเหินจาก พุทโธ ธัมโม สังโฆ

วันหนึ่งๆ อย่าได้ลืม การให้ทานก็ดี การรักษาศีลก็ดี การภาวนาก็ดี นี่เป็นสมบัติของมนุษย์เราที่จะสั่งสมคุณงามความดีทั้งหลายจากการกระทำเหล่านี้ เข้าสู่ใจของตน อย่าให้ได้ขาดวันขาดคืน เวลาตายแล้วหมดท่าทั้งนั้นแหละ ไม่ว่าชาติชั้นวรรณะใด ตายแล้วก็ทิ้งโด่อยู่ เขาเอาศพเอาเมรุเอาชนิดไหนมาประดับประดา ก็ประดับประดาคนตายมีคุณค่าอะไร เพราะฉะนั้นเราจึงต้องเสาะแสวงหาความดีมาประดับประดาจิตใจของเราเสียตั้งแต่บัดนี้ จะไม่เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนาด้วย ขอให้ทุกท่านจงมีความสุขความเจริญโดยทั่วกัน

ขอยุติเพียงเท่านี้


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก