ใครเคยสมหวังเพราะตัณหา
วันที่ 28 กรกฎาคม. 2528 เวลา 19:00 น. ความยาว 57.52 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :

เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๒๘

ใครเคยสมหวังเพราะตัณหา

คำว่าธรรมมีความละเอียดมากเกินกว่าจะคาดจะหมาย จะคิดจะด้นจะเดาใด ๆ ทั้งสิ้น ถ้าจิตไม่ไปสัมผัสเองจะไม่รู้ว่าธรรมคืออะไรเลย นับแต่สมาธิธรรมซึ่งเป็นธรรมขั้นพื้น ๆ ขึ้นไปจนกระทั่งถึงธรรมขั้นวิมุตติหลุดพ้น เป็นความละเอียดลออเข้าไปโดยลำดับตามขั้นของตน ๆ คำว่าโลกกับธรรมนี้คือจอมปราชญ์ผู้รู้รอบขอบชิดในธรรมทั้งหลายอย่างประจักษ์และสมบูรณ์เต็มที่ในพระทัย คือพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ๆ แล้ว จึงได้ให้นามว่าธรรม อันเป็นคู่เคียงของโลก

คำว่าโลกนี้มีทั้งฝ่ายอธรรม มีทั้งธรรมแทรกอยู่ด้วยกัน สัตว์ทั้งหลายจึงมีการแสดงกิริยาชั่วและดีอยู่เป็นประจำ เพราะคำว่าโลกมีได้ทั้งสอง ฝ่ายธรรมก็แสดงออกมาได้ ฝ่ายอธรรมก็แสดงออกมาได้ ส่วนคำว่าธรรมล้วน ๆ นั้นจะสัมผัสได้จากหัวใจ และแสดงได้ประจักษ์เฉพาะใจเท่านั้น ใจเป็นผู้แสดงได้ ใจเป็นผู้สัมผัสรับรู้ ใจเป็นผู้ทรง จึงเรียกว่าธรรม ธรรมนี้แลที่เป็นพื้นฐานให้โลกได้รับความร่มเย็น พอพักผ่อนหรือพอยับยั้ง พอมีเกาะมีดอนให้สัตว์ทั้งหลายได้อาศัยพึ่งพิง ในเวลาจำเป็นจริง ๆ ก็พอได้เกาะพอได้ยึด เหมือนอย่างความแผดเผาของอธรรม มีมากมีน้อยแสดงขึ้นภายในกายในจิตของสัตว์โลก แผดเผากายจิตของสัตว์โลก ก็ย่อมมีธรรมเป็นเครื่องบรรเทา เป็นเครื่องรักษา เป็นเครื่องพึ่งพิง พอปลดเปลื้องหรือบรรเทากันไปได้เป็นระยะ ๆ

หากไม่มีธรรมเลย ไม่มีโลกใดที่จะร้อนยิ่งกว่าโลกของสัตว์ที่ปราศจากธรรม มีแต่โลกล้วน ๆ แสดง ก็คือมีแต่อธรรมล้วน ๆ แสดงแผดเผา เหมือนกับว่ามีแต่ไฟอย่างเดียว ไม่มีน้ำเป็นเครื่องดับไฟบ้างเลย นั่นละโลกร้อนมากตรงนั้น นี่พูดพอเป็นแนวทางให้ท่านนักปฏิบัติทั้งหลายได้ โอปนยิโก น้อมเข้ามาสู่ใจของเรา ในระยะที่ไม่รู้ภาษีภาษาอะไรเลย สนใจไปตามอำนาจแห่งความดึงดูดหรือความฉุดลากของอธรรมโดยถ่ายเดียว ย่อมจะแสดงความทุกข์ความลำบาก แล้วถูกฉุดลากไปสู่ความทุกข์ความทรมาน โดยเอาความหวังมาหลอกไปเรื่อย ๆ ไม่มียับยั้ง ไม่มีเขตไม่มีแดนเลย นี่คือเรื่องของอธรรมเป็นอย่างนี้ และในระยะนั้นแลเป็นระยะที่มีความทุกข์ความลำบากมากภายในจิตใจของสัตว์ของเรา

ระยะใดพอเราได้มีความระลึกรู้ภายในอรรถในธรรม มีสติเป็นเครื่องรักษา มีปัญญาเป็นเครื่องกลั่นกรองพินิจพิจารณา ระยะนั้นหรือเวลานั้น ถ้าเป็นโรคก็เท่ากับได้ยารักษาหรือบรรเทากันไปได้โดยลำดับเพราะยา นี่หมายถึงบุคคลแต่ละคนคือเรานักปฏิบัติแต่ละองค์ละรูปละรายนี้ ดูเอาตรงนี้

ถ้าเวลาใดสติไม่มี สติล้มลุกคลุกคลานมาก ปัญญาหาทางเกิดไม่ได้เลย เพราะกระแสของกิเลสมันพัดมันผัน เวลานั้นความทุกข์ภายในจิตใจมาก ร้อนก็ร้อนมาก ความส่ายแส่ ความว้าวุ่นขุ่นมัวทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วรวมลงไปก็เป็นกองทุกข์ รวมอยู่ในดวงใจที่หาสติหาปัญญาเครื่องต้านทานไม่ได้นั้นแล เพราะกระแสของกิเลสตามปกติแล้ว มีความรุนแรงอยู่โดยลำพังตนเองเสมอ นอกจากไม่แสดงผาดโผนอยู่เรื่อย ๆ เท่านั้นในวงผู้ปฏิบัติ เพราะได้อาศัยธรรม สติธรรม ปัญญาธรรม วิริยธรรม เป็นต้น เป็นเครื่องกำจัดปัดเป่ากันอยู่ ไม่ปล่อยให้ฝ่ายอธรรมทำหน้าที่ของตนโดยถ่ายเดียว จึงพอฟัดพอเหวี่ยงกันไปได้ แม้จะล้มลุกคลุกคลานหรือได้รับความทุกข์ความลำบาก ก็ยังมีหวังที่จะสงบตัวลงเพราะอำนาจแห่งธรรมพาให้สงบ นี่ได้เคยพูดให้บรรดาท่านทั้งหลายฟังเพราะเคยอยู่ด้วยกันมานาน การพูดทั้งนี้พูดเพื่อเป็นคติได้ยึดได้ถือเป็นหลักเป็นเกณฑ์ ไม่ได้พูดเพื่อความโอ้อวดแต่ประการใด

ดังพระพุทธเจ้าท่านทรงแสดงธรรมให้บรรดาสาวกหรือแก่ผู้ใดก็ตาม บางครั้งทรงยกพระองค์ขึ้นเป็นหลักเป็นประธาน เป็นตัวประกัน นั่นไม่ใช่พระองค์ตั้งใจจะประกาศหรือโอ้อวดพระองค์เองให้โลกทั้งหลายได้เห็นว่า พระองค์นี้เป็นผู้อัศจรรย์ด้วยการโอ้อวด ไม่ได้อัศจรรย์ด้วยความจริง แต่ความจริงพระพุทธเจ้าทรงประกาศความจริงอันเด่นในพระทัยทั้งฝ่ายเหตุและฝ่ายผล ให้เป็นคติตัวอย่างและเป็นวิถีทางเดินให้บรรดาสัตว์ทั้งหลายได้ยึดได้นำไปปฏิบัตินั่นแล ไม่ได้มีการโอ้อวดแม้เม็ดหินเม็ดทรายเข้าไปแทรกเลย

เพราะธรรมที่แสดงออกมาและพระทัยที่มีความมุ่งหวังต่อสัตว์นั้น เป็นพระทัยที่เต็มไปด้วยเมตตาล้วน ๆ จึงแสดงออกมาด้วยวิธีการใดที่สัตว์โลกหรือผู้มาสดับตรับฟังแต่ละพวกแต่ละคณะ แต่ละบริษัทบริวาร จะได้เข้าอกเข้าใจได้เป็นคติเครื่องยึดเหนี่ยวจากพระองค์ไป พระองค์ย่อมจะแสดงอุบายวิธีการนั้น ๆ เพื่อให้ท่านเหล่านั้นได้ยึดเป็นวรรคเป็นตอนหรือเป็นขณะ ๆ ไป

เพราะฉะนั้นการแสดงของพระพุทธเจ้าจะเป็นวิธีใดก็ตาม เช่น การยกพระองค์ขึ้นเป็นสักขีพยานก็ตาม จึงไม่มีคำว่าโอ้อวดพระองค์โดยเจตนาแฝงอยู่แม้นิดหนึ่งเลย แต่เป็นเรื่องของพระเมตตาล้วน ๆ ที่เกิดขึ้นในพระทัย ที่เป็นอยู่ในพระทัย ว่าทำอย่างไรสัตว์ทั้งหลายจึงจะได้อุบายได้แนวทาง หรือเรายื่นมือไปจึงจะจับมือเราได้ เพื่อเราจะได้ฉุดได้ลากขึ้นมาจากหล่มลึก พระองค์จึงได้ใช้อุบายต่าง ๆ ตามพระสติกำลังความสามารถของศาสดาองค์เอกนั้นแล

ไม่ว่าศาสดาองค์ใด พระทัยจะเต็มไปด้วยพระเมตตาล้นฟ้าเหลือแผ่นดินไปหมด ไม่มีอะไรเป็นประมาณได้เลย ไม่มีอะไรวัดไม่มีอะไรตวงในพระเมตตาของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ นั่นละการแสดงออกของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ จึงแสดงออกด้วยลวดลายของศาสดาที่เต็มไปด้วยพระเมตตาแก่บรรดาสัตว์ทั้งหลาย ให้ได้รับเป็นที่พึงพอใจตามสติกำลังความสามารถ หรือว่าภาชนะแห่งใจของตน อำนาจวาสนาของตนจะรับได้มากน้อยเพียงไร ก็ตักตวงไปเต็มสติปัญญาความสามารถของตน

ที่เราเกี่ยวข้องกับหมู่คณะเราก็มีอย่างนั้นเหมือนกัน เราพูดได้อย่างองอาจกล้าหาญภายในความจริงที่เต็มอยู่ในหัวใจนี้ว่า เวลาล้มลุกคลุกคลานไม่เป็นท่าเราก็เคยเป็นมาแล้ว ได้พูดให้หมู่เพื่อนฟัง จนถึงนั่งหายใจแขม่ว ๆ เพราะถูกกิเลสมันย่ำยีตีแหลก ไม่มีสติปัญญาใดที่จะโผล่ขึ้นมาต่อสู้กับมันได้ แหลกไปหมด ถ้าจะยกเป็นข้อเปรียบเทียบก็ยกมีดขึ้นมาถูกมันปัดลงไป มีดขาดสะบั้นลงไป มีดเป็นเหล็กทั้งแท่งไม่น่าจะขาด แต่ขาดลงไปเพราะพลังของมัน เพราะอำนาจของกิเลสมันเชี่ยวจัดขนาดนั้น นี่เวลาธรรมะเราอ่อนเปียกยกอะไรขึ้นมาไม่เป็นท่า เดินจงกรมก็เดินสักแต่ว่าเท้าก้าวเดินไปเช่นนั้น เหมือนกับคนทั้งหลายเขาเดินตามแผ่นดินสถานที่ต่าง ๆ ไม่ได้มีแปลกอะไรเลย เพราะสติปัญญาถูกมันปัดมันตีออกหมด นั่งกลืนน้ำลายอยู่ นี่ก็เป็นมาแล้ว

แต่สำคัญที่ความพยายามไม่ลดละ ถ้าลงมีความท้อถอยน้อยใจอ่อนแอแล้วจะล้มละลายไปเลยหาทางฟื้นตัวไม่ได้ แต่นี้เดชะไม่เป็น ถึงจะเป็นขนาดไหน ความมุ่งมั่นที่จะต่อสู้ที่จะเอาให้ได้นี้ยังมีอยู่เต็มหัวใจ แพ้ยอมให้แพ้ เวลาแพ้เวลาไม่เป็นท่า เอ้ายอม เวลาล้ม ๆ แต่ว่าล้มด้วยการจะลุก แพ้ด้วยการจะเอาให้ชนะ หมุนไปหมุนมาอยู่เช่นนั้น

วิธีการที่ฝึกทรมานก็หลายแบบหลายฉบับ เพราะอยากรู้อยากเห็น อยากให้จิตมีความสงบร่มเย็น อยากให้จิตมีความเฉลียวฉลาดคล่องแคล่วด้วยปัญญา ตามครูบาอาจารย์ท่านแนะนำสั่งสอนเรามา เห็นอยู่ต่อหน้าต่อตา รู้อยู่ประจักษ์ใจว่า โอวาทคำสั่งสอนของท่านนั้นฉลาดแหลมคมมาก กระหยิ่มยิ้มย่อง ฟังในบทใดบาทใดไม่เคยเบื่อภายในจิตใจ เป็นแต่เพียงกิเลสไม่ให้โอกาสที่จะดำเนินตนให้เป็นไปตามแถวธรรมที่ท่านแสดงให้ด้วยความเมตตาเท่านั้น แม้เช่นนั้นก็ไม่ลดละพยายาม

วิธีการฝึกอบรมก็หาวิธีการหลายด้านหลายทาง เช่น อดนอนนี่ก็เคยอดทดลองดู ๒ คืน ๓ คืนไม่นอนก็ลองดู ไม่เป็นท่ารู้เจ้าของ คือมันทื่อไปหมด ในหัวสมองไม่ทำงาน สติไม่ค่อยดีคอยแต่จะหลับ ไม่ดีไม่ถูกก็รู้ เพราะทดลองทำด้วยความตั้งสติจริง ๆ แต่มันก็ทื่อไปได้ทั้ง ๆ ที่เราตั้งสติด้วยวิธีการไม่นอน เดิน นั่ง นั่งมันก็จะหลับ เดินก็คอยโซซัดโซเซคอยแต่จะง่วงเหงาคอยแต่จะหลับ ไม่เป็นท่า อ๋อ วิธีนี้ไม่เป็นเรื่อง ไม่เป็นท่าแหละสำหรับเรา ต้องได้งด เดินมาก ๆ ดีหน่อย เคย

แต่สุดท้ายก็มาถูกกับผ่อนอาหาร ก้าวเข้าสู่ความอดอาหาร พอผ่อนเข้าไปใจก็รู้สึกว่ามีความเบาบาง ความคึกความคะนองของร่างกายที่ดีดผึงผัง ๆ อยู่ภายในตัว พร้อมที่จะรับสิ่งที่เสริมมาจากใจ ได้แก่ราคะตัณหาอยู่ตลอดเวลาก็เบาลง ในขณะที่ผ่อนอาหารและอดอาหาร เพราะกำลังของกิเลสตัณหาอาสวะภายในจิตใจไม่มีมาก เนื่องจากร่างกายอ่อนลงไป ไม่มีเครื่องเสริม ทีนี้สติปัญญาก็ค่อยเสริมตัวกันขึ้นมาได้

พยายามฝึกฝนอบรมหลายครั้งหลายหนก็จับเงื่อนได้ จับได้ถึงขนาดที่ว่าในเวลาอดอาหารกี่วันก็ตาม ๗-๘ วัน ๙ วันก็ตาม สติไม่เผลอเลยในเวลาอด นั่น ระลึกอะไรทันหมด ๆ แต่พอกลับมาฉันไม่กี่วันมันก็ทันบ้างไม่ทันบ้าง สุดท้ายก็ไม่ทัน นี่เราก็รู้ แต่ก็มีวิธีนี้เท่านั้นที่จะพอบำบัด พูดให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยก็คือว่า คนอยู่ในวัยอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ นี้ ราคะตัณหามักจะแสดงความรุนแรงมากยิ่งกว่ากิเลสประเภทอื่น จึงต้องได้ใช้ความอดความทน ความอดอาหารผ่อนอาหารลงไปเรื่อย ๆ เพื่อตัดกำลังของราคะตัณหาที่จะอาศัยร่างกายนี้เป็นเครื่องเสริมจิต เป็นเครื่องมือที่ทันสมัยของจิต อดไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งได้อุบาย จิตก็ค่อยสงบตัวเข้าไป

สติปัญญาเราใช้เสมอ สำหรับการอดนี้เป็นเพียงอุบายอันหนึ่ง แต่เราไม่ได้เอามรรคเอาผล เอาสมาธิสมาบัติ เอาปัญญา เอาวิมุตติหลุดพ้นจากการอดอาหาร เอาด้วยสติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร ซึ่งอาศัยวิธีการแห่งการอดอาหารนี้เป็นปุ๋ยช่วยแต่อุบายของสติปัญญานั้นเท่านั้น สุดท้ายมันก็ได้ประโยชน์ขึ้นมาโดยลำดับลำดา เห็นได้ชัดภายในตัวเอง จากนั้นก็ก้าว จิตที่มันดิ้นมันดีดจนไม่มีวันมีคืน ยืนเดินนั่งนอนไม่ว่า มันดีดตลอดเวลา นั้นสงบตัวลงไปเพราะไม่มีกำลังเสริม เนื่องจากตัดปัญหาหรือตัดกำลังของมันลงด้วยวิธีการอย่างนี้ เพราะการอดอาหารย่อมไม่ง่วงเหงาหาวนอน อดไปหลายวันเท่าไรความง่วงเหงาหาวนอนก็มีน้อย น้อยลง ๆ คืนหนึ่งหลับชั่วโมง ๒ ชั่วโมงพอแล้ว ทีนี้ก็มีแต่เรื่องความเพียร มีแต่เรื่องสติปัญญาตั้งตัวอยู่เรื่อย ๆ

การพิจารณาทางด้านปัญญาเป็นของสำคัญ ที่จะทำให้จิตก้าวออกสู่ธรรมความแยบคายไปได้โดยลำดับ สมาธิเมื่อปรากฏขึ้นมาก็ทำให้จิตสงบร่มเย็นไม่วุ่นวายส่ายแส่ จิตอิ่มตัว เหมือนเรารับประทานอิ่ม สบาย จิตอิ่มตัวก็คือว่าอิ่มอารมณ์ของกิเลสตัณหาอาสวะประเภทต่าง ๆ ไม่ไปเกี่ยว เนื่องจากธรรมได้บรรจุเข้าสู่จิต คือ สมาธิธรรม สมถธรรม บรรจุเข้าสู่ใจ ใจย่อมมีความสงบ เมื่อใจได้รับความสงบ ได้อาหารคือธรรมารสแล้วย่อมเย็นสบาย นั่นละนำออกพินิจพิจารณา

คำว่าพิจารณา-พิจารณาอย่างไร อันนี้เราก็ได้ยินแต่ชื่อ แต่ก่อนคำว่าสมาธิก็มีแต่ครูอาจารย์สอนให้ฟัง สอนอยู่ตลอดเวลา ไอ้เราจะทำให้เป็นสมาธิก็เป็นไปไม่ได้ มีแต่ความฟุ้งซ่านวุ่นวายแทนสมาธิ มีแต่ความทุกข์ความลำบากแทนความสุข สุดท้ายมันก็ปรากฏขึ้นมาดังที่กล่าวนี้ พอเลยจากล้มลุกคลุกคลานมาก็เป็นความสงบความเย็น จิตใจพอได้มีที่ปลงที่วาง เพราะจิตไม่ว้าวุ่นขุ่นมัวตลอดเวลา เหมือนฟุตบอลที่ถูกเตะกลิ้งอยู่ตลอดย่อมมีพัก จากนั้นให้ใช้ปัญญา พอเราใช้ปัญญา การใช้ปัญญานี้แล้วแต่อุบายวิธีของแต่ละราย ๆ เราจะถือครูถืออาจารย์ ถืออุบายของท่านผู้ใดมาเป็นแบบโดยเฉพาะไม่ได้ ถือก็ถือ แต่อุบายวิธีการที่เราจะนำมาใช้จำเพาะเรา ให้เป็นเทคนิคอุบายของตนเองนั้นละเป็นของสำคัญ ควรจะนำออกมาใช้หาอุบายพินิจพิจารณา

เรื่องสกลกายนี้เป็นของสำคัญมากสำหรับจิตที่อยู่ในขั้นหยาบ ขั้นที่จะไวต่อราคะ โทสะ ราคะตัณหานี้ร่างกายเป็นของสำคัญ พิจารณาภายนอกก็ตามภายในก็ตาม พิจารณาให้ได้อุบายต่าง ๆ หาวิธีการที่ใจของเราจะสะดุดด้วยปัญญา เมื่อปัญญาแหย่เข้าไปตรงไหน พิจารณาอุบายใดเข้าไป จิตเกิดความสลดสังเวชขึ้นมา นั่นเป็นอุบายที่ถูกต้อง แต่อุบายของปัญญาเราจะนำมาใช้ให้เป็นอันเดียวแบบเดียวฉบับเดียว ดังที่เราเคยทำได้รับผลมาแล้วนั้นไม่ได้ จำต้องผลิตขึ้นมาเรื่อย ๆ เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ

เรื่องปัญญาต้องให้เป็นปัจจุบัน เราจะไปคิดคว้าเอาอดีตที่เคยเป็นมาแล้วได้ผลมาแล้ว มีความแยบคายอย่างนั้น ๆ จะมาทำให้เป็นความแยบคายในวงปัจจุบัน โดยยึดนั้นมาเป็นสัญญาไม่ได้ มันกลายเป็นสัญญาไปเสีย เรียกว่าเป็นปริยัติไปเลยไม่เป็นปฏิบัติ ให้ย่นเข้ามาสู่ปัจจุบัน

อุบายวิธีการพินิจพิจารณาสติปัญญาให้เป็นขึ้นภายในตัวเอง หาอุบายคิด เอ้า จะว่า อนิจฺจํ ก็ให้จิตมุ่งต่อ อนิจฺจํ จริง ๆ พิจารณาดูแต่ละสภาพ ๆ ให้เป็นความแปรสภาพ เพราะหลักธรรมชาติมันแปรอยู่แล้ว ทุกฺขํ อนตฺตา เหมือนกัน เรื่องอสุภะอสุภังนี้เป็นของสำคัญมาก จิตอยู่ในขั้นนี้ควรจะเจริญอสุภกรรมฐานปฏิกูลโสโครก เอ้า ให้พินิจพิจารณา

เราอย่ากำหนดเวล่ำเวลา อย่ากำหนดเที่ยวของการพิจารณา ว่าได้เท่านั้นเที่ยวเท่านี้เที่ยว นั้นเป็นการคิดการคาดคะเน การเดาการหมายเอา ไม่ใช่ทางของผู้ปฏิบัติ ไม่ใช่วิถีทางแห่งการปฏิบัติ ให้ใช้ในวงปัจจุบัน สติปัญญาให้เกิดขึ้นในวงปัจจุบัน จะเป็นเรื่องอสุภะใดก็ดี หรือ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา อันใดก็ตาม ให้เกิดขึ้นในปัจจุบันของตัวเอง ๆ เราจะพิจารณารูปนอกก็ได้ รูปในก็ได้ไม่สำคัญ เพราะสมุทัยเป็นไปได้ทั้งข้างนอกข้างใน ถ้าสำคัญมั่นหมายว่าสวยว่างามตรงไหน นั้นแหละสมุทัยเกิดขึ้นที่ตรงนั้น จะเป็นนอกก็ตาม ในก็ตาม สำคัญตนว่าสวยว่างามก็เกิดสมุทัยขึ้นมาที่นี่ สำคัญข้างนอกว่าสวยว่างามว่าน่ารักใคร่ชอบใจ ก็เป็นสมุทัยขึ้นที่นั่น

เพราะฉะนั้นการพิจารณาด้วยมรรค เพื่อให้เป็นมรรคโดยทางสติปัญญา ว่าสิ่งนั้นไม่เที่ยง สิ่งนั้นแปรสภาพ สิ่งนั้นเป็นกองทุกข์ สิ่งนั้นเป็นกอง อนิจฺจํ เป็น ทุกฺขํ เป็น อนตฺตา สิ่งนั้นเป็นธาตุ เป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ ฝืนว่าเป็นสัตว์เป็นบุคคล ว่าเป็นหญิงเป็นชาย ว่าเป็นของสวยของงามไปทำไม นี่คือเรื่องของมรรค เมื่อพิจารณาหลายครั้งหลายหนซ้ำ ๆ ซาก ๆ ไม่ให้จิตไปไหน ให้หยั่งลงสู่มรรคคือทางเดิน เพื่อทะลุปรุโปร่งในความจริงทั้งหลาย ว่าเป็นธาตุแท้ เป็น อนิจฺจํ แท้ เป็น ทุกฺขํ แท้ เป็น อนตฺตา แท้ แห่งธาตุแห่งขันธ์ของเราและธาตุขันธ์ของใครก็ตาม จิตย่อมจะปลอดโปร่งโล่งไปโดยลำดับลำดา นี่คืออุบายวิธีแห่งการพิจารณาทางด้านปัญญา

สำคัญที่เรื่องของปัญญา ต้องคิดต้องค้นขึ้นมาให้เป็นปัจจุบันโดยลำพัง ๆ โดยเฉพาะ ๆ เราจะไปยึดอดีตเข้ามาเป็นวงปัจจุบันนั้นไม่ได้ นอกจากจะเป็นวงปัจจุบันเป็นปัจจุบันของตัวเอง เราไปคิดไปคาดมาให้เป็นอย่างเมื่อวานนี้ เป็นอย่างวานซืนนี้ไม่ได้ นั้นไม่ถูก หากว่าจะเป็นตรงกันก็ตาม ก็ให้ตรงในหลักธรรมชาติในหลักปัจจุบันที่ตรงกันเองก็ให้มันเป็น อันนั้นไม่ผิด คือเป็นปัจจุบันโดยแท้ นี่หลักสำคัญในการพิจารณา

เมื่อก้าวเข้ามาถึงขั้นปัญญานี้แล้ว ความล้มลุกคลุกคลานเริ่มหายไปจางไปแล้ว เราก็ทราบทำไมจะไม่ทราบ ความล้มลุกคลุกคลานเป็นเพราะอำนาจของกิเลสมันเตะมันถีบมันยันไม่ใช่อะไรละ ทีนี้มันสงบตัวเพราะการชำระสะสาง ความเตะความดัน ความก่อกวนของกิเลสด้วยอรรถด้วยธรรม ด้วยสมาธิธรรม วิริยธรรมและปัญญาธรรม กำจัดกันไปโดยลำดับ ๆ สิ่งเหล่านี้ก็สงบตัวลงไป ๆ ใจก็มีความกล้าหาญชาญชัยขึ้นมา ยิ่งพิจารณาโดยทางปัญญาเห็นแจ่มแจ้งเข้าไปโดยลำดับมากน้อยเพียงไร สติปัญญายิ่งจะก้าวตัวออกไปเรื่อย ๆ กว้างขวางออกไปเรื่อย ละเอียดลออเข้าไปเรื่อย ความพากความเพียรหมุนตัวไปโดยลำดับลำดา นั่นละที่นี่คำว่าความเพียรเป็นยังไงเราก็จะรู้ สติเป็นยังไง ปัญญาเป็นยังไง ที่ท่านสอนไว้ตามตำรับตำรา หรือครูอาจารย์ท่านสอนอยู่ตลอดเวลานั้นเป็นยังไง ของท่านท่านสอนออกมาตามความจริงของท่านแท้ ๆ ความจริงของเราที่รู้เป็นยังไง ให้มันเห็นด้วยการปฏิบัติของเรา

เมื่อปรากฏว่า อ๋อ สติเป็นอย่างนี้ ปัญญาเป็นอย่างนี้ คำว่า อนิจฺจํ เป็นอย่างนี้ ทุกฺขํ เป็นอย่างนี้ อนตฺตา เป็นอย่างนี้ อสุภะอสุภัง เป็นอย่างนี้ให้เห็นในใจของเรา มันถึงจะถอนกิเลสได้ เพียงคาดเพียงหมายเฉย ๆ เพียงบรรเทาไปเท่านั้น เดี๋ยวก็กำเริบเสิบสานขึ้นมาอีกไม่เป็นท่าเป็นทางอะไร ให้มันเห็นประจักษ์ ๆ ซิ เมื่อเห็นประจักษ์แล้วไม่ต้องบอก มันจะหนาแน่นยิ่งกว่ากำแพง ๗ ชั้นก็ตามเถอะ ไอ้เรื่องของกิเลสตัณหาน่ะพังไปหมด จะทนสติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียรนี้ไปไม่ได้เลย

เพราะฉะนั้นท่านจึงสอนให้เพียร ภาวิโต พหุลีกโต ทำให้มากเจริญให้มากอย่าลดอย่าละ อย่าไปอ้างกาลอ้างเวลา อ้างสถานที่ หรือเท่านั้นเที่ยวเท่านี้เที่ยว นั้นไม่ใช่เรื่องของธรรม เป็นเรื่องของกิเลสหลอกให้เราหลงให้เราเพลิน หยิ่งอยู่ในความสำคัญของตนเท่านั้นไม่ใช่เป็นความจริงอันใดเลย ให้พิจารณา

นี่พูดถึงเรื่องความล้มลุกคลุกคลาน มันล้มมาเสียก่อนนั่นแหละ ให้ทราบไว้ว่าล้มได้ลุกได้ ถ้ายังมีความเพียรอยู่แล้วต้องลุกได้แน่ ๆ เกรียงไกรขึ้นไปเรื่อย ๆ เชี่ยวชาญเรื่อย ๆ คล่องตัวเรื่อย ๆ สติปัญญา จนกลายเป็นสติปัญญาอัตโนมัติ ฟังซิ มีสด ๆ ร้อน ๆ อยู่ในหัวใจเราผู้มีความเพียรนี้ไม่อยู่ไหนนะ อย่าไปคาดอดีตว่ามีอยู่กับพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ๆ สาวกองค์นั้น ๆ ในครั้งนั้น ๆ สถานที่นั้น ๆ นั่นเป็นเรื่องของท่าน เป็นทุกข์ของท่าน เป็นสมุทัยของท่าน เป็นมรรคของท่าน เป็นนิโรธของท่าน เป็นมรรคผลนิพพานของท่านต่างหาก นี่เป็นของเรา พิจารณาอยู่นี่

ทุกข์เกิดขึ้นภายในใจ เพราะสมุทัยเป็นเครื่องผลักเครื่องดัน เป็นเครื่องก่อเหตุขึ้นมา ก็อยู่ในใจของเรานี้ ตัวสมุทัยความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ความลืมเนื้อลืมตัวเป็นต้น ก็อยู่ในใจของเรานี้ มรรคหรือสติปัญญาศรัทธาความเพียร หวดกันลงไป ฟาดฟันหั่นแหลกกันลงไป ก็เป็นมรรคของเราอยู่ในใจของเรา ทุกข์ดับไปโดยลำดับเพราะอำนาจแห่งสติปัญญาศรัทธาความเพียร ก็เป็นนิโรธคือความดับทุกข์ของเราเอง นี่เป็นสมบัติของเราโดยแท้ ดูตรงนี้อย่าไปดูที่อื่นนักปฏิบัติ สด ๆ ร้อน ๆ อยู่นี้ กิเลสก็มีอยู่สด ๆ ร้อน ๆ ประกาศท้าทายตลอดเวลา ท้าทายเรา สติปัญญาเมื่อเราได้ผลิตขึ้นมาก็ท้าทายกับกิเลสอยู่ตลอดเวลาเช่นเดียวกัน จะมีอดีตอนาคตที่ไหน

สัจธรรมถ้าลงเรายังไม่ตายย่อมเป็นปัจจุบันตลอดเวลากับเรา ถ้าตายแล้วหมดคุณค่า จะเป็นอดีตอนาคตก็ไม่มีความหมายทั้งนั้นแหละคนตายแล้วน่ะ ถ้ายังไม่ตายและเป็นผู้ปฏิบัติอยู่แล้ว จะได้เห็นสัจธรรมอย่างประจักษ์ภายในองค์แห่งความเพียรของเรา มีจิตเป็นสถานที่หรือเป็นเวทีห้ำหั่นกับกิเลสทั้งหลายไม่มีที่อื่น เราอย่าคาดอย่าหมาย เรื่องของกิเลสนั้นผลักดันออกไปทั้งนั้นแหละ ที่จะให้ออกจากร่องรอยของธรรม นี้มีตลอดเวลาให้ระวัง

อันนี้เราเป็นไปตามมันอยู่ตลอดเวลา เราก็ไม่ทราบว่านี่คืออุบายวิธีการของกิเลส มันผลักมันดันเราออกจากร่องรอยแห่งธรรม แล้วกว้านเข้าไปสู่เงื้อมมือของมันเราก็ไม่รู้ โดยอ้างว่าเราอำนาจวาสนาน้อย เราเป็นคนบาปหนาสาโหด มีนิสัยน้อยวาสนาน้อย เป็นคนทึบคนล้าสมัย แล้วก็ทิ้งไปให้อดีตอนาคตยุ่งไปหมด ทิ้งไปกับครั้งพุทธกาลบ้าง อดีตล่วงมาแล้วเป็นยังไง ๆ สมัยปัจจุบันนี้เป็นยังไง ๆ ความหมดหวังเลยมาอยู่กับเรา ความสมหวังกิเลสเอาไปกินหมด ความหมดหวังกิเลสยัดเข้ามาใส่เรา ส่วนเรื่องที่มันจะกินมันกินไปแล้ว ส่วนทุกข์มันยัดเข้ามาใส่ปากของเรา ใส่ท้องใส่จิตใส่ใจของเรา หมดหวัง อะไรก็ก้าวขาไม่ออก ประพฤติปฏิบัติก็ก้าวขาไม่ออก เลยหมดหวัง ๆ นี่แหละคือถูกกิเลสต้มเอาอย่างเปื่อยแล้วทั้ง ๆ ที่ยังไม่ตาย ถ้าคาดถ้าหมายอย่างนั้น

นี่เป็นทางเดินของกิเลสทั้งนั้น มันผลักมันดันออกนอกลู่นอกทาง เราไม่รู้ซิ เพราะฉะนั้นจึงบอกให้ทราบว่า นี้เป็นอุบายวิธีการของกิเลสมันเคยหลอกเคยต้มตุ๋นโลกมานานแสนนานแล้ว เราก็เป็นคนหนึ่งในโลกอย่าให้ถูกกิเลสต้มตุ๋น ทั้ง ๆ ที่มีธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า มีครูมีอาจารย์คอยแนะนำสั่งสอนยื่นเครื่องมือให้อยู่ตลอดเวลา ฟันมันลงไปด้วยสติด้วยปัญญา กิเลสไม่ใช่ดิน ไม่ใช่น้ำ ไม่ใช่ลม ไม่ใช่ไฟ ไม่ใช่อดีต ไม่ใช่อนาคต ไม่ใช่กาลสถานที่ใด ๆ ทั้งนั้น แต่กิเลสคือกิเลสฝังอยู่ที่หัวใจในวงปัจจุบันนี้ ธรรมก็เหมือนกัน ไม่ใช่ดิน น้ำ ลม ไฟ เช่นเดียวกัน สติธรรมก็เป็นเครื่องฆ่ากิเลสอยู่ในหัวใจเรานี้ หมุนลงไปที่ตรงนี้ พระพุทธเจ้าพระองค์ใดสอน สอนลงที่ตรงนี้แหละไม่ที่อื่น

เรื่องกองฟืนกองไฟบ่อเกิดแก่เจ็บตายอยู่ที่ใจ ใจเป็นตัวสำคัญที่จะรับความแทรกสิงของเชื้อทั้งหลายฝังลงที่ใจ และทำใจให้เป็นฟุตบอลกลิ้งไปภพนั้นกลิ้งไปภพนี้ ให้ไปเกิดภพนั้นให้ไปเกิดภพนี้ ถ้าหากว่าไม่มีธรรมแทรกอยู่ในใจ ก็จะมีแต่กิเลสมันหมุนตัวหรือผลักดันเหยียบย่ำทำลายลงไป ให้ทำแต่ความชั่วช้าลามกอย่างเดียว เวลาตายก็จมลงไปนรกอเวจี หากมีธรรมเป็นเครื่องแฝงกันอยู่ เป็นเครื่องต้านทานกันอยู่ คนเราเกิดก็ยังมีทางที่จะไปเกิดดีได้ อย่างเกิดเป็นเทวบุตรเทวดา เป็นมนุษย์ผู้มีอำนาจวาสนาฤทธาศักดานุภาพด้วยความเป็นธรรม มีสมบัติศฤงคารบริวารด้วยความเป็นธรรม หากเป็นเทวดาอินทร์พรหมก็เป็นไปได้ สุดท้ายเมื่อบุญกุศลมีมากก็หนุนเข้าไปจนกระทั่งถึงนิพพาน พ้นทุกข์ไปได้เลย นี่อำนาจของธรรมเป็นเช่นนี้

เราจงตั้งใจประพฤติปฏิบัติ อย่าได้ลดได้ละความพากเพียร เอาให้เห็นจริงอยู่ภายในใจ เราถูกกิเลสต้มตุ๋นหลอกมาด้วยความหวังต่าง ๆ นั้นหวังมานานแล้ว ไม่เห็นมีอะไรสมหวัง กิเลสตัวใดมาทำเราให้สมหวังมีไหมไม่เคยมี พอจะก้าวเข้านี้มันหลอกไปโน้นอีกแล้ว พอจะก้าวเข้าสู่นี้มันหลอกไปโน้นอีกแล้ว ๆ ไม่เคยให้อยู่ในความอิ่มพอ ให้มีความสุขเพราะความอิ่มพอ เพราะกิเลสจัดการให้ กิเลสแต่งให้ไม่มี กิเลสสร้างบ้านสร้างเรือน กิเลสสร้างสมบัติเงินทองข้าวของ กิเลสสร้างรูป สร้างเสียง สร้างกลิ่น สร้างรส เครื่องสัมผัสต่าง ๆ ให้อยู่ในความพอดี ให้มนุษย์ทั้งหลายได้เสวยความสุขความสบายตลอดไปไม่เคยมี

ขึ้นชื่อว่ากิเลสแล้วจะเอาความหิวความโหยความทรมานยัดเข้าไป แทรกเข้าไป ๆ ให้กลิ้งไปตลอดเวลาด้วยความหิวความโหยความกระหาย มีเงินเป็นล้าน ๆ ก็ตามเถอะ ความหิวความกระหายมันจะแทรกเข้าไปเป็นกองใหญ่เท่านั้นแหละ มันหลอกว่าถ้าได้อีกกองหนึ่งเท่านี้จะพอดี และมาอีกกองหนึ่ง ถ้าได้สองกองอีกเท่านี้จะพอดี จะพอดีเรื่อย แต่ไม่เคยพอดี นี่ละท่านว่า นตฺถิ ตณฺหาสมา นที ความหิวความโหย ความทะเยอทะยานอยากอันใดจะเกินตัณหานี้เป็นไม่มี คิดดูแม่น้ำมหาสมุทรก็ไม่เทียบเท่ากับตัณหานี้ได้เลย ท่านจึงว่า นตฺถิ ตณฺหาสมา นที แม่น้ำเสมอด้วยตัณหานี้ไม่มี นั่นฟังซิ แล้วเรายังจะหวังอยู่เหรอว่า จะเอาความสุขความพอดิบพอดีจากกิเลสตัณหามันตบแต่งให้ เคยมีพอดีไหม ก็บอกว่าไม่เคยมีอยู่แล้ว เราจะหาที่ไหนเมื่อมันไม่เคยมี ฟังซิ ถ้าเคยมีก็ยังจะพอเสาะพอแสวงหาได้ เพราะเคยมีเราก็อาจจะเจอ อันนี้มันไม่เคยมีจะเอาอะไรมาเจอ ก็มีแต่ถูกมันต้มจมไปเรื่อย ๆ

ธรรมะประกาศกังวานอยู่ตลอดเวลา เราไม่คิดไม่อ่านไม่เชื่อแล้วเราจะทำยังไง สร้างความหวังมาจากไหน สร้างความความหวังมาจากกิเลสไม่มีทาง ต้องสร้างความหวังจากธรรม ธรรมนี้เคยให้ความหวังแก่โลกมามากต่อมากแล้ว พ้นทุกข์ก็เพราะธรรม มีความสุขความสบายก็เพราะธรรม ฟังแต่ว่าธรรม ๆ ไม่เคยทำผู้หนึ่งผู้ใดให้มีความล่มจมฉิบหายไปบ้างเลย มีแต่ส่งเสริมให้เป็นสิริมงคลเป็นความสุขความสบายทั้งปัจจุบันและอนาคตตลอดไป ธรรมเป็นเช่นนั้น สร้างความหวังให้แก่คนมามากขนาดไหนแล้วธรรม ส่วนกิเลสมันสร้างความหมดหวังให้คนมามากเท่าไรแล้ว เอามาเทียบกัน เราเป็นนักปฏิบัตินำมาพินิจพิจารณาซิ

สติปัญญามีอยู่หุงต้มแกงกินไม่ได้ทำไมไม่เอามาใช้ พระพุทธเจ้าท่านใช้จนได้เป็นศาสดาเอกของโลก สาวกทั้งหลายใช้จนได้พ้นจากโลก ให้กิเลสพาใช้มันได้เรื่องอะไร มันพาให้จมมามากต่อมากแล้วทำไมไม่เข็ดไม่หลาบมนุษย์เรา เฉพาะอย่างยิ่งนักบวชนักปฏิบัติเราไม่เข็ดใครจะเข็ด จะให้ตาสีตาสาเขาไม่เคยสนใจกับอรรถกับธรรมอะไร เอาอะไรมาเข็ด ความรู้สึกในทางธรรมแม้นิดหนึ่งก็ไม่ปรากฏจะเอาอะไรมาเข็ด ผู้ที่สำนึกในธรรม สำนึกในโทษ พินิจพิจารณาย้อนหน้าย้อนหลังในตัวเองโดยอรรถโดยธรรมเท่านั้น เป็นผู้ที่จะเห็นโทษเห็นภัย เป็นผู้ที่จะละจะถอดถอนได้บรรดาเสี้ยนหนามที่มีอยู่ภายในจิตใจ ฉะนั้นขอให้ทุกท่านตั้งอกตั้งใจพินิจพิจารณา

ผมน่ะเป็นห่วงพวกท่านทั้งหลายมากทีเดียว ไม่ใช่ว่าพูดด้วยความดูถูกเหยียดหยาม ห่วงจริง ๆ รับก็รับด้วยความเมตตาสงสารไม่ได้รับด้วยความอะไร ด้วยความอวดอำนาจวาสนาเย่อหยิ่งจองหองนั้นไม่มี เรายันได้เลย ร้อยทั้งร้อยไม่มีอะไรบิ่น มีแต่ความเมตตาสงสารล้วน ๆ เพราะฉะนั้นเมื่อพากันมาประพฤติปฏิบัติแล้ว ขอจงเห็นใจเราผู้อบรมแนะนำสั่งสอนว่าเจตนามีต่อพวกท่านขนาดไหน แล้วก็นำอันนี้เข้าไปพิจารณาตัวเอง ให้มีความเมตตาสงสารตนเอง เห็นแก่ตัวเองโดยอรรถโดยธรรม มากเช่นเดียวกับครูบาอาจารย์ท่านมอบให้หรือยิ่งกว่านั้น จนกลายเป็นสมบัติล้วน ๆ ของตนขึ้นมาภายในใจ ระหว่างธรรมกับใจกลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เป็นธรรมทั้งแท่งภายในใจแล้ว นั้นละเป็นสมบัติที่ท่านทั้งหลายจะพึงได้รับเอง โดยที่ครูบาอาจารย์หรือใคร ๆ ก็ตามไม่ได้ไปแบ่งสันปันส่วนเอาด้วยเลยแม้แต่นิดเดียว นั่นเป็นสมบัติของเราแท้ ๆ นี่เวลาเรามาศึกษาให้ตั้งอกตั้งใจ ทำให้จริงให้จังนักปฏิบัติ

เวลานี้ร่อยหรอลงมากแล้วครูบาอาจารย์ ปีหนึ่งตาย ๒ องค์ ๓ องค์ก็มีแล้วเห็นไหม เมื่อตอนต้นปีนี้ก็หลวงปู่คำดี ตอนปลายปีนี้อีกก็หลวงปู่แหวน มีแต่เพชรน้ำหนึ่งทั้งนั้น ถ้าเป็นครั้งพุทธกาลแล้วจะพูดว่ายังไงถ้าไม่ใช่ว่าเป็นพระอรหันต์ นอกจากพวกหูหนวกตาบอดไม่เคยสนใจกับอรรถกับธรรมเท่านั้น จึงจะขยะแขยงในคำว่าอรหัตอรหันต์ มันจะดิ้นล้มดิ้นตายไปด้วยความกระเสือกกระสนเพราะอำนาจแห่งกิเลสตัณหาเท่านั้น มันสนใจไปทางนั้นเท่านั้นพวกนั้น

ผู้สนใจในธรรมฟังว่าอรหัตอรหันต์แล้วทำไมจะไม่กระหยิ่มยิ้มย่องล่ะ พระพุทธเจ้าเป็นองค์เช่นไร ที่เป็นอรหันต์เป็นศาสดาของโลกเป็นองค์เช่นไร สาวกทั้งหลายเป็นองค์เช่นไร เป็นตัวเสนียดจัญไรของโลกหรือ ถึงจะพูดถึงเรื่องพระอรหันต์ พูดเรื่องของผู้ปฏิบัติธรรมบรรลุธรรมบ้างไม่ได้ มันเป็นอะไรถ้าไม่ใช่จะเคารพกิเลสเสียจนไม่มีตับไม่มีพุงให้มันกินให้มันยัดแล้ว เอ้า ฟังให้ถึงใจซิท่านทั้งหลาย

กิเลสมันเอาเรามันเอาอย่างถึงใจ ทำไมเราจะเอามันอย่างถึงใจบ้างไม่ได้ แต่กิเลสมันเอาเราอย่างถึงใจมันถึงจริง ๆ มันเป็นกิเลสทุกประเภท เป็นความโกรธ ความอิจฉาพยาบาทราคะจองเวร ความเคียดความแค้น แต่เราเอามันสู้มันไม่มีเคียดมีแค้น เป็นธรรม นักธรรมะล้วน ๆ เอาให้เห็นกันซิ คุณค่าของกิเลสคุณค่าของธรรมต่างกันอย่างไรในหัวใจของเราดวงเดียวนี่ เอาให้ชัด

หมดไป ๆ นี่อดคิดไม่ได้นะผมก็ดี หัวใจมีอยู่ทำไมจะไม่คิด แต่ก่อนครูบาอาจารย์มีหลายท่านหลายองค์ องค์นั้นก็เฉลี่ยเจือจานกันไปตามอัธยาศัยของตน อยากไปหาครูบาอาจารย์องค์ใดก็ไป เพราะเป็นที่แน่ใจ ๆ ด้วยกันทั้งนั้น บรรดาครูบาอาจารย์ที่ให้คำแนะนำสั่งสอนตลอดการพาดำเนิน เราไม่แสลงหูแสลงตา เพราะหลักใหญ่ก็เป็นลูกศิษย์ของครูบาอาจารย์คือหลวงปู่มั่น ซึ่งเป็นผู้พาดำเนินปฏิปทาที่ราบเรียบที่สุดในสมัยปัจจุบัน นี่ก็มีแต่ลูกศิษย์ของท่าน ถึงจะแผลงไปบ้างก็เล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่มาก หลักใหญ่ก็อยู่ในกฎเกณฑ์ของท่าน มันก็น่าไว้ใจเป็นที่พอใจ

องค์นั้นไปอยู่กับครูบาอาจารย์นั้น ๆ องค์นั้นมีคุณนั้น ๆ กับครูบาอาจารย์องค์นั้น เฉลี่ยกันไปก็เป็นน้ำไหลบ่า ภาระก็พอดิบพอดีกับครูอาจารย์แต่ละองค์ที่จะรับ นี่ที่นี่หมดไปทำยังไง ไม่กี่ปีมาแล้วครูบาอาจารย์องค์วิเศษวิโส เป็นทองทั้งแท่ง ๆ หรือว่าเพชรน้ำหนึ่งหมดไป ๆ จนกระทั่งจะไม่มีอะไรเหลือแล้วจะทำยังไง เราจะไม่ตื่นเนื้อตื่นตัว สร้างตัวของเราให้เป็นอย่างนั้นบ้างเหรอ เวลาอยู่กับครูบาอาจารย์เอาให้จริงให้จังซิ ให้ธรรมนี้ได้ถึงใจดูซิจะเป็นยังไง

อยู่กับใครมันไม่สนิทใจละ ให้อยู่กับหัวใจเรานี่สนิทใจมากทีเดียว ตายใจเลย เอ้า หมด..เท่านั้นพอ ครูบาอาจารย์ก็สาธุยกไว้ ให้ยึดให้เกาะท่านเหมือนอย่างแต่ก่อนไม่เกาะ แต่เรื่องความเห็นบุญเห็นคุณนั้นเป็นมหากตัญญูกตเวทีแหละไม่ต้องบอก เพราะอันนี้เป็นหลักธรรมชาติ เมื่อจิตได้ถึงขั้นแห่งความบริสุทธิ์แล้ว ต้องเป็นมหากตัญญูมหากตเวทีทันทีเลย ไอ้ส่วนที่จะไปเกาะไปเกี่ยว ไปหน่วงไปเหนี่ยวท่านเหมือนอย่างแต่ก่อน เหมือนเด็กที่กำลังดื่มนมแม่นั้นไม่เป็น เรื่องเห็นคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ คุณของครูบาอาจารย์นี้ยกไว้ ไม่มีอะไรเทียบแห่งใจของพระอรหันต์ที่เห็นคุณ เพราะใจของพระอรหันต์ที่เห็นคุณนั้นเป็นใจล้วน ๆ ไม่มีกิเลสเข้าไปเคลือบไปแฝงไปคัดค้านต้านทานบ้างเลย เอาให้มันเห็นซิหัวใจของเรา ท่านสอน-สอนลงในจุดนี้ทั้งนั้น ๆ

อย่าเห็นอะไรเป็นของประเสริฐของอัศจรรย์ เราเคยกลิ้งเกลือกล้มตายกับสิ่งเหล่านี้มานานแสนนานแล้วแหละ โลกธรรม ๘ มันดีอะไรพิจารณาซิ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ นินทา สรรเสริญ สุข ทุกข์ แน่ะฟังซิ มันก็มีอยู่เต็มหัวใจในกายในใจของเราอยู่แล้ว ไม่มีใครมานินทาสรรเสริญโลกธรรม ๘ นี้ก็เต็มหัวใจของเราอยู่แล้ว เราตื่นอะไร เอาธรรมสังหารสิ่งเหล่านี้ให้แหลกแตกกระจายไปหมด ยังเหลือแต่ธรรมทั้งแท่งดูซิจะเป็นยังไง นินทา สรรเสริญ มีไหม โลกธรรม ๘ มีไหม

มันไม่ได้มีอะไร มีแต่ความพอ อดีตไม่มี อนาคตไม่มี ความหวังอย่างนั้นอย่างนี้หมดเพราะสร้างไว้เต็มที่แล้ว เรียกว่าเต็มแล้ว ความหวังก็สมบูรณ์แล้ว หมด ไม่มีอะไรที่จะมาเกาะเกี่ยว นั่นละท่านจึงไม่มีอดีตไม่มีอนาคต อยู่ตามหลักธรรมชาติ ถึงกาลที่ควรจะไปแล้วไป ไม่หึงไม่หวงไม่ห่วงไม่เสียดาย เสียดายมันอะไร ดินน้ำลมไฟก็ทราบอยู่แล้วตั้งแต่ยังไม่ตาย นี้คืออะไรนั้นคืออะไร แน่ะ ในตัวของเราเอง สิ่งภายนอกที่เกี่ยวข้องกับเราก็สภาพอันเดียวกันตื่นอะไร นี่จึงเรียกว่าปัญญารอบตัว เมื่อรอบตัวจนกระทั่งรอบใจแล้วก็หมดปัญหาโดยประการทั้งปวง ขอให้ทุกท่านนำไปประพฤติปฏิบัติ

เอาละ วันนี้รู้สึกเหนื่อยแล้ว พอ


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก