ต่อไปนี้จะพูดธรรมะให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบโดยทั่วกันพอประมาณ ท่านทั้งหลายมาบำเพ็ญบุญกุศลอันเป็นทางของนักปราชญ์ พาดำเนินมาแล้วมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น นี่เป็นทางเอกไม่มีทางใดเสมอ เพราะเป็นทางบุญทางกุศล ทางนำมาซึ่งความสงบสุขแก่เราและประเทศชาติบ้านเมืองทั่วโลกดินแดน ถ้าโลกนี้ยังมีความใคร่ความพอใจในการบำเพ็ญคุณงามความดี มีความรักใคร่ในศีลในธรรมอยู่ตราบใด โลกนี้ยังมีหวังอยู่ตราบนั้น ถ้าเป็นน้ำก็มีเกาะมีดอน มีความหิวความกระหายก็มีสิ่งไว้สนองความต้องการ เช่น อาหารหวานคาว เป็นต้น ไม่ใช่หิวโหยอยู่เฉย ๆ โดยหาสิ่งสนองตอบแทนไม่ได้ โลกเราที่มีความสงบร่มเย็นต่อไปได้ ก็ต้องอาศัยศีลธรรมเป็นของสำคัญ
เพราะฉะนั้นคำว่า ธรรมกับโลก จึงเป็นของคู่เคียงกันมาแต่กาลไหน ๆ จนนับไม่ได้แล้ว ไม่ทราบว่ากี่หมื่นกี่แสนกี่ล้านกัปล้านกัลป์ เพราะเป็นของคู่เคียงกันมา ตั้งแต่โลกปรากฏ ธรรมก็ปรากฏ ด้วยเหตุนี้คำว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้แต่ละองค์ ๆ จึงเป็นการสืบทอดกันมา ตั้งแต่เริ่มแรกของโลกที่มีขึ้นมา ธรรมก็มีขึ้นมาพร้อมกัน เหมือนกับโรคปรากฏขึ้นมา ก็ค้นคว้าหายามาเป็นคู่ปรับกัน เป็นเครื่องแก้ไขกัน โรคมียาจึงต้องมี ถ้าหากว่ามีแต่โรคล้วน ๆ และมีแต่ของแสลงที่จะทำโรคให้กำเริบล้วน ๆ โดยถ่ายเดียวแล้ว โลกเรานี้ฉิบหายได้ เพราะโรคทำลายสัตว์และบุคคล
แต่เท่าที่พอเป็นไปได้อยู่ก็เพราะมียามีหมอ เป็นเครื่องต้านทานซึ่งกันและกัน พอฟัดพอเหวี่ยงกันไปได้ อย่างน้อยอยู่ในบ้านเราก็มียาประจำบ้าน ออกจากนั้นไปก็ไปหาหมอที่คลินิกหรือตามโรงพยาบาลต่างๆ ก็พอบรรเทาเบาไปได้ บางรายก็หายไปเลย ๆ มีจำนวนมากเพราะอำนาจแห่งยา นี่ถ้าจะปล่อยให้มีตั้งแต่โรคชนิดกิเลสตัณหาอาสวะประเภทต่างๆ เสียดแทงจิตใจ โดยไม่มีธรรมะเป็นเครื่องเยียวยา และไม่มีพระพุทธเจ้า ไม่มีครูมีอาจารย์คอยแนะนำพร่ำสอน คอยดูแลรักษาแก้ไขดัดแปลงแล้ว โรคชนิดนี้ก็จะทำลายสัตว์โลกให้ฉิบหายป่นปี้ไปได้โดยไม่ต้องสงสัย เช่นเดียวกับโรคชนิดต่าง ๆ ซึ่งทำลายร่างกายนั่นแล
ด้วยเหตุนี้ถ้าพี่น้องทั้งหลายมีความรักใคร่ มีความสนใจ ใฝ่ใจในอรรถในธรรม จึงเป็นทางที่ถูกต้องตามนักปราชญ์ที่ดำเนินมาแล้ว และสรรเสริญมาเป็นประจำองค์ศาสดาแต่ละองค์ ๆ ขอให้พี่น้องทั้งหลายจงมีความรักใคร่ชอบใจในธรรมความดีทั้งหลาย
คนมีความดี คนมีธรรมไปไหนใครไม่รังเกียจ ไม่ว่าเด็กไม่ว่าผู้ใหญ่ไม่ว่าชาติชั้นวรรณะใด สำคัญอยู่ที่ความมีธรรม ความเป็นคนดี ถ้ามีธรรมแล้วเป็นคนดีได้ทั้งหญิงทั้งชาย ถ้าไม่มีธรรมเสียอย่างเดียว จะเป็นชาติชั้นวรรณะใดก็ไม่มีความหมาย ไปที่ไหนก็เดือดร้อน ใครระเวียงระวัง เหมือนอย่างเปรตอย่างผีเข้าบ้านเข้าเมืองนั้นแหละ คนชั่วเข้าไปตรงไหนเดือดร้อนอยู่ตรงนั้น ถ้าคนมีศีลมีธรรมไปที่ไหนร่มเย็นเป็นสุขไปหมด เพราะฉะนั้นเราจึงให้มีศีลมีธรรม
เฉพาะอย่างยิ่งในหัวใจของเรา ขณะใดที่ไม่มีธรรมภายในใจ ขณะนั้นใจเดือดร้อนมาก ความโลภก็มาก ความโกรธก็มาก ความหลงก็มาก ความรักก็มาก ความชังก็มาก มีแต่มากมีแต่เกิน เกินความพอดี มีแต่เกินไป ๆ เสียทั้งวันทั้งคืน ทุกกิริยาที่แสดงออกมีแต่ความมาก ๆ ด้วยของไม่เป็นท่า ถ้าจิตของเรามีอย่างนั้นแล้วเป็นยังไง คนคนนั้นจะมีความทุกข์มากทีเดียว จิตขณะที่ไม่มีธรรม ของที่เป็นอธรรมจะต้องเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและทวีคูณขึ้นโดยลำดับ เพราะไม่มียาแก้ ถ้าเป็นไฟไหม้บ้านก็ไม่มีน้ำดับ นี่โรคชนิดเหล่านี้เกิดขึ้นที่หัวใจของสัตว์โลก ถ้าไม่มีธรรมเป็นเครื่องดับแล้ว โรคเหล่านี้แลจะทำจิตใจของสัตว์โลกให้รุนแรงมากทีเดียว
ไม่มีไฟใดที่จะรุนแรงยิ่งกว่าไฟกิเลสตัณหาอาสวะประเภทต่าง ๆ ซึ่งเผาอยู่ในหัวใจแต่ละดวง ๆ นี้ออกทำลายกันให้ฉิบหายป่นปี้ได้โดยไม่ต้องสงสัย ดังนั้นธรรมจึงเป็นของจำเป็นที่จะเป็นน้ำดับไฟ ขณะใดธรรมมีในใจ ขณะนั้นใจก็เย็น การแสดงอากัปกิริยาต่าง ๆ ออกมาก็เย็น เพราะสถานที่อยู่เย็น การเคลื่อนไหวออกมาก็ต้องเย็น ไปไหนมาไหนเย็นไปหมด อยู่ในโลกนี้ก็เย็น ไปโลกหน้าก็เย็น ถ้าคนที่มีธรรมแล้วเย็นไปหมด ถ้าคนไม่มีธรรม มีแต่ความเดือดร้อนวุ่นวายแล้วอยู่ที่ไหนก็ร้อน อยู่ในโลกนี้ก็ร้อน อยู่คนเดียวก็ร้อน เพราะไฟมันเผาอยู่ที่ใจ ให้พากันจำเอาไว้และประพฤติปฏิบัติ แก้ไขดัดแปลง
เราพูดย่นเข้ามาหาตัวของเรานี่แหละ เป็นขณะ ๆ เป็นเวล่ำเวลา ขณะใดที่มีธรรมในใจ ขณะนั้นเย็นสำหรับตัวเราเอง ขณะใดไม่มีธรรมขณะนั้นก็เท่ากับว่ามีอธรรมนั่นเองเกิดขึ้นมาและทำเราให้เดือดร้อน อยู่ไหนก็เดือดร้อน เพราะฉะนั้นจงทำให้ตัวมีธรรมเสมอ ไปไหนให้มีสติสตัง ระลึกความดีความชั่วที่จะแยกแยะแก้ไขดัดแปลง หรือส่งเสริมให้มีขึ้นในสิ่งที่ควรให้มี และแก้ไขดัดแปลงในสิ่งที่ไม่ควรที่จะให้คงอยู่ เพราะเป็นของไม่ดี ให้แก้ไขดัดแปลงออกไป ชำระออกไป
พี่น้องทั้งหลายมาทำบุญให้ทานวันนี้ ก็เพื่อเป็นการมาสร้างคุณงามความดีไว้สำหรับเราทุกท่าน นอกจากนั้นยังเป็นแนวทางเป็นเนติแบบฉบับให้แก่กุลบุตรสุดท้ายภายหลัง ได้ยึดเป็นคติตัวอย่างสืบทอดกันลงไปเรื่อย ๆ เมื่อคนดีไม่สูญจากโลกแล้ว ความสุขความเจริญ ความสมหวัง ก็ไม่สูญจากโลก ถ้าหากว่าคนดีหมดจากโลกแล้ว ความสมหวังจะไม่มีในโลกนี้เลย จะมีแต่ฟืนแต่ไฟซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่พึงหวังนั่นแหละ แต่จะเผาผลาญมนุษย์เราก่อนอื่น เมื่อเรามีธรรมแล้วก็มีความสมหวัง
เราสร้างคุณงามความดีไว้ภายในจิตใจ ความดีนี้ไม่มีใครมาลบสูญไปได้เลย จะทำที่แจ้งก็ตาม จะทำในที่ลับก็ตาม ทำในที่ไหน ๆ เวลาใดก็ตาม จำได้ไม่ได้ไม่สำคัญ สำคัญที่ได้ทำลงไปแล้วเป็นอันว่าทำแล้ว เป็นธรรม เรียกว่าไม่มีอคติ มีความสม่ำเสมอตลอดกาลสถานที่เวล่ำเวลาและการกระทำของบุคคลแต่ละคน ธรรมเป็นของไม่ลำเอียงอย่างนั้นแหละ เมื่อเราทำแล้วใจของเราก็เย็น
ใจนี่ละเป็นตัวยืนโรง ขอให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบเอาไว้ ใจเป็นตัวยืนโรงยังไง คำว่าใจนี่คือตัวแก่น แก่นของภพแก่นของชาติ ความเกิดที่นั่นเกิดที่นี่ ล้มหายตายที่นั่นที่นี่ เกิดในภพนั้นภพนี้ ล้วนแล้วแต่ใจเป็นตัวแกนเป็นตัวสำคัญ เป็นตัวยืนโรง ออกจากนี้ไปเกิดที่นั่น ออกจากนั้นไปเกิดที่นั่น นี้เป็นคติของใจที่มีกิเลสอันเป็นเชื้อพาให้เกิด จะต้องเป็นอย่างนี้ด้วยกันทุกดวงวิญญาณไม่มียกเว้น เว้นเฉพาะพระพุทธเจ้า และพระอรหันต์ท่านเท่านั้น ท่านเหล่านี้ได้ปราบออกหมด บรรดาเชื้อที่เป็นสลักอันฝังลึกภายในจิตใจ พาสัตว์ให้เกิดในภพน้อยภพใหญ่ ภพไหน ๆ ก็ตามเต็มไปด้วยภพด้วยชาติของสัตว์ในโลกนี้
ท่านว่าสามแดนโลกธาตุคืออะไรบ้าง กามโลก รูปโลก อรูปโลก นั่นฟังซิ กามภพ รูปภพ อรูปภพ ทั้งสามภพนี้เป็นที่อยู่แห่งดวงวิญญาณ เป็นที่เกิดที่แก่เจ็บตายของดวงวิญญาณ พาให้เป็นไปไม่ใช่อะไร และนอกจากนั้นกิเลสมันยังไม่ถอยนะ มันหลอกสัตว์โลก หลอกพวกเรานี้ เราก็เชื่อมันด้วย ทั้ง ๆ ที่โลกเห็นกันอยู่นี้เต็มอยู่นี่ ในศาลาเรานี้มีประมาณเท่าไร มีตั้งแต่วิญญาณดวงมาเกิด เกิดเต็มไปหมดเห็นไหม เป็นหญิงเป็นชาย ในบ้านในเรือน นอกบ้านในบ้าน ในน้ำบนบกเต็มไปหมด มีแต่สัตว์เกิด วิญญาณดวงนี้ถูกกิเลสบังคับบัญชา มันเข้าแทรกสิงให้เป็นเชื้อภายในแล้วพาให้เกิด
ถ้ามีเชื้อต้องเกิดแหละ เหมือนอย่างเชื้อโรคมันต้องเกิดโรค ถ้ามีเชื้อฝังเข้าไปแล้ว นี่มีเชื้อแห่งความเกิด คือ กิเลสมันก็พาให้เกิด เต็มอยู่นี้เราเห็นไหมนี่ เกิดหรือไม่เกิดตาเรามีดูทุกคน แต่ทีนี้ทำไมเราถึงเชื่อกิเลสหลอกเราว่า ตายแล้วสูญฟังซิ ก็กิเลสนั่นแหละเป็นตัวพาให้เกิดไม่มีตัวใดพาให้เกิด ธรรมท่านไม่พาให้เกิด ถ้าหากว่าจะเกิดเพราะวิสัยของกิเลสมันเหนือธรรมอยู่ ธรรมแทรกเข้าไปพอให้คนได้ทำดีได้ ก็ไปเกิดในสถานที่ดีเสีย ต่อเมื่อธรรมได้มีกำลังเต็มอำนาจของตนแล้ว ปัดออกหมด ขึ้นชื่อว่าเชื้อแห่งความเกิดไม่มีภายในจิตใจดวงนั้นเลย จิตใจดวงนั้นก็กลายเป็นอรหัตจิต เป็นวิสุทธิจิต ถ้าเป็นบุคคลก็เรียกว่า อรหัตบุคคล แล้วหมดที่นี่เชื้อหมด นั่นละผู้นั้นละผู้ไม่เกิดจริง ๆ
ผู้ท่านไม่เกิด ท่านก็รู้ท่านว่าหมดแล้ว หมดอะไร หมดเชื้อตัวเทวทัตพาให้เกิดนั่นแหละ พอตัวนี้ถูกกำจัดออกหมดแล้ว ก็เหลือแต่จิตบริสุทธิ์ล้วน ๆ แล้ว ดวงใดก็ตาม พระอรหันต์มีกี่หมื่นกี่แสนกี่ล้านองค์ก็ตามไม่เกิดทั้งนั้น ท่านผู้นี้เป็นผู้สำรอกออกหมดแล้ว ถ้าเราจะเทียบก็เหมือนกับว่าข้าวที่เราหุงสุกมาแล้วนี้เอาอะไรไปเกิด เอาเปลือกมันออกก็ยังไม่แน่ใจนัก บางทีเชื้อมันฝังอยู่ภายในอาจเกิดได้ เอามาหุงต้มเสียให้สุกเต็มที่เสียแล้วเอาอะไรไปเกิดที่นี่
แล้วรสมันเป็นยังไงข้าวสุกแล้ว เผือกมันที่สุกแล้วเป็นยังไง มันไม่เกิด แต่รสธรรมชาติของมันมี แต่ก่อนรสมันมีตั้งแต่คัน ๆ นั่นแหละ เช่น เผือก มันดิบ ๆ สด ๆ อย่างนี้เอามากินลองดูซิ มันคันจะตาย เกาข้างนอกมันคันอยู่ข้างใน เราเกาข้างในไม่ได้ก็เกาข้างนอก มันคัน นั่นแหละรสของมันทำให้คัน พอกำจัดรสนี้ออกหมด ทีนี้รสธรรมชาติของมัน ของความสุก มันสุกเผือกสุกมันมี รสดิบรสสด ๆ ร้อน ๆ มี ทำให้เป็นพิษเป็นภัย ให้คัน เมื่อกำจัดรสที่สด ๆ ร้อน ๆ นี้ออก เหลือแต่รสธรรมชาติของมันที่หุงหรือต้มสุกแล้ว นั้นไม่มีพิษ มีแต่ความเอร็ดอร่อย นั่นละสุกในหลักธรรมชาติของจิตที่พ้นจากกิเลสโดยประการทั้งปวงแล้ว
ท่านว่า ปรมํ สุขํ สุขอย่างยิ่งคือพระนิพพาน สุขอย่างยิ่งคือ จิตที่บริสุทธิ์ นั้นเป็นสุขในหลักธรรมชาติของจิตเอง ไม่เรียกว่า สุขเวทนา ไม่เรียกว่า ทุกขเวทนา ไม่เรียกว่า อุเปกขาเวทนา ซึ่งเป็นเรื่องของสมมุติ ปรมํ สุขํ นั้นเป็นสุขในหลักธรรมชาติแห่งจิตที่มีความบริสุทธิ์พอตัวแล้ว ไม่มีคำว่า อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เข้าไปเกี่ยวข้องได้เลย ท่านผู้นี้แหละเป็นผู้ไม่เกิด นอกนั้นเกิดทั้งนั้น
เพราะฉะนั้นเราเป็นผู้ที่จะต้องเกิดอยู่โดยดี เราเป็นผู้จะรับผิดชอบอยู่โดยดี จงพากันสร้างคุณงามความดีเอาไว้ หากว่าจะได้เกิดในภพใดชาติใด ก็อย่าให้พลาดท่าอย่าให้เสียทีกิเลสที่มันหลอกเราว่าตายแล้วไม่ได้เกิด ๆ ตายแล้วสูญ ตัวกิเลสที่มันหลอกอยู่บนหัวใจนั้น มันพาให้เราเกิดตลอดเวลา ให้เราทราบไว้เสีย เรายังเชื่อมันได้ มันบอกว่าตายแล้วสูญ ๆ มันจะหลอกเราลงนรกอเวจี มันบอกนรกไม่มีด้วย มันปิดหูปิดตาไว้ด้วยว่านรกไม่มี แล้วก็คนตาบอดนั้นแหละไปตกนรก ไม่ใช่คนตาดี คนตาดีใครจะไปตก แม้แต่เดินไปตามถนนหนทางนี้ เป็นหลุมเป็นบ่ออะไร ๆ คนตาดีเห็นหมด แต่คนตาบอดแล้วโดดผาง ๆ ตกทั้งนั้น นี่แหละคนเชื่อกิเลส คนตาบอด
ถ้าเชื่อธรรมของพระพุทธเจ้าแล้วเป็นคนตาดี ทำตามพระพุทธเจ้าแล้วไม่ตกนรก กิเลสมีอำนาจวาสนามาจากไหนมันจะไปปิดนรกทั้งหลุมได้ กี่หลุมนรกนั้นน่ะ ท่านกล่าวไว้ ไม่ทราบว่ากี่หมื่นกี่แสนหลุมกี่แสนขุมนรก ที่จะให้สัตว์ไปเกิดตามกรรมมากน้อยหนักเบาของตน จะต้องไปเกิดในอย่างนั้น ๆ ท่านกล่าวไว้หมดพระพุทธเจ้า ท่านมองเห็นหมด กิเลสมันมองเห็นอะไรมีแต่ความมืดบอดของมันทั้งนั้น เพราะฉะนั้นมันถึงโกหกพวกเราว่าบาปไม่มี บุญไม่มี นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี ตายแล้วสูญ มันจะกอบจะโกยเอาผลรายได้จากพวกเราหมด ทีนี้เราเชื่อมันก็จมไปเลย ๆ
ผู้ตกนรกก็เรานั่นแหละ ผู้เป็นบาปก็เรานั่นแหละ ผู้เป็นทุกข์ก็เรานั่นแหละ ตกนรกอเวจีที่ไหนก็เรานั่นแหละ กิเลสมันไม่ได้ไปตก มันเป็นคนโกหกต่างหากมันไม่ใช่เป็นผู้ตกนรก เราเป็นผู้จะตกเป็นผู้รับเคราะห์รับกรรม เราอย่าไปเชื่อมันมาก ให้เชื่อพระพุทธเจ้า
เราได้เคยกล่าวไว้ว่า กิเลส สรณํ คจฺฉามิ เรายังไม่เคยกล่าวเลย กิเลส สรณํ คจฺฉามิ แล้วทำไมเชื่อมันได้ลงคอ เรากล่าว พุทฺธํ ธมฺมํ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ต่างหาก แล้วทำไมเราไม่เชื่อพระพุทธเจ้าล่ะ มันขัดกันตรงนี้ ให้พากันจำเอาไว้ สรณํ คจฺฉามิ สรณํ คจฺฉามิ เราว่าแต่ พุทฺธํ ธมฺมํ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ บทเวลากิเลสมาหลอกปั๊บเดียวเท่านั้นหงายเลย ๆ ไม่เป็นท่าชาวพุทธเรานี่ หลวงตาบัวมันขี้ริ้วขี้เหร่เอานักหนา มันโง่มาก ถึงพาลูกศิษย์ไปตกนรกใช่ไหมล่ะ ถึงพาลูกศิษย์ไปเชื่อกิเลสตัณหาอาสวะ เพราะฉะนั้นต่อไปนี้เราเชื่อพระพุทธเจ้านะ พุทฺธํ ธมฺมํ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ หลวงตาบัวจะพาเชื่อพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์นะต่อไปนี้ ให้พากันสร้างคุณงามความดี
เอาละเทศน์เท่านี้พอสมควร