ศาสนธรรมเฉพาะอย่างยิ่งคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ เป็นเครื่องสังหารภพชาติในใจของสัตว์โลก เฉพาะอย่างยิ่งมนุษย์ พวกเทวดามีส่วนอยู่ด้วย ให้สิ้นและเบาบางลงโดยลำดับ เพราะฉะนั้นผู้เกิดมา สัตว์เดรัจฉานเราก็ไม่พูดแหละ เพราะนั้นยังห่างไกลอยู่มากกับศาสนา แต่มนุษย์เรานี้ควรจะเกี่ยวข้องกับศาสนาได้ แม้จะอยู่ไกลแสนไกลก็ตาม เช่นอย่างอยู่คนละทวีป แต่ธรรมะสามารถที่จะกระจายทั่วถึงกันได้ เช่น ข่าวสารต่าง ๆ ที่โลกทั้งหลายได้ส่งสารถึงกันตลอดทั่วถึง โดยไม่เสียเวล่ำเวลามากมายอะไรเลย ข่าวสารต่าง ๆ ส่งได้ทั่วโลกสำหรับทุกวันนี้ เรียกว่าสะดวกมาก
ข่าวสารแห่งธรรม ถ้าหากมีความพอใจสนใจเช่นเดียวกับเรื่องอื่น ๆ แล้ว ยิ่งจะรวดเร็วกว่าข่าวสารใด ๆ อีกด้วย ไม่ว่าใครจะเกิดที่ไหน พระพุทธศาสนานี้สามารถกระจายทั่วถึงหมด จากผู้นับถือและผู้ปฏิบัติจะส่งข่าวคราวถึงกัน ตลอดถึงการเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร เช่น หนังสือ เป็นต้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องวิทยุ โทรทัศน์อะไรที่จะนำออกกระจายเช่นเดียวกับโลกเขาเลย เพียงหนังสือเท่านั้นก็กระจายทั่วถึงกันแล้ว
นี่ก็เป็นกรรมอันหนึ่งของสัตว์ ที่ไม่สามารถจะให้จิตใจมีความพอใจในพุทธศาสนา ซึ่งเป็นศาสนาที่เลิศและแน่นอนที่สุดในหัวใจโลกและแดนแห่งธรรม ไม่มีอันใดที่จะเคลื่อนคลาดผิดจากความจริงตามที่พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์สอนไว้เลย เพราะท่านเหล่านี้เป็นผู้ที่ได้รู้เห็นจริง ๆ ในทุกแง่ทุกมุม ที่นำมาสอนโลกนี้ไม่ใช่นำมาด้วยความด้นเดาเกาหมัด แต่นำมาด้วยการพิสูจน์ด้วยสยัมภู ๆ ทุก ๆ พระองค์เรียบร้อยแล้ว เป็นที่พอพระทัยในการที่จะนำออกสอนสัตว์ไม่สงสัย เพราะเป็นสิ่งที่มีจริงเป็นจริงทุกสิ่งทุกอย่าง
ที่ย่นย่อแสดงไว้ก็ว่า บาปมี บุญมี นรกมี สวรรค์มี สัตว์ทั้งหลายตายแล้วต้องเกิด นี่เป็นข้อยืนยัน เป็นสิ่งที่มีประจำโลกมานานแสนนาน โลกไม่เคยปราศจากสิ่งนี้ ทั้งสามแดนโลกธาตุนี้เต็มไปด้วยบาป บุญ นรก สวรรค์ และการเกิดตายด้วยกันทั้งนั้นไม่มีอะไรบกพร่อง แต่ผู้ที่จะชี้ช่องบอกทางตามความจริงนี้ จะมีเป็นระยะ ๆ หรือเป็นครั้งคราวเท่านั้น เช่นสมัยปัจจุบันนี้ก็มีศาสนธรรมของพระพุทธเจ้าที่เรียกว่า ศาสนาพุทธของเรา จะมีเป็นตอน ๆ มาชี้แจงแสดงบอกไว้
แต่สำคัญที่จิตใจของสัตว์โลก มันมีกรรมหุ้มห่ออันหนึ่งเหมือนกัน จึงไม่สามารถที่จะเปิดรับความจริงตามที่ศาสนธรรมประกาศสอนไว้ เพราะถูกกิเลสมันปิดมันบัง มันปัดมันกวาดทางเตียนโล่งให้เข้าสู่ความล่มจมหรือมืดมนอนธการไปเสีย ไม่ใช่เป็นความเตียนโล่งตามหลักธรรมชาติที่มีอยู่ดังที่ธรรมท่านสอนไว้เลย จำพวกเป็นข้าศึกของธรรมนี้มันไปปิดไปกั้น มันพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงปลิ้นปล้อนหลอกลวงไปเสียหมด กลบความจริงไว้ สัตว์โลกทั้งหลายจึงไม่มีทางที่จะรู้จะเห็นได้แม้สิ่งนั้นจะมีอยู่ก็ตาม นี่ละท่านจึงเรียกว่ากรรมของสัตว์ ๆ อย่าว่ากรรมของผู้หนึ่งผู้ใดเลย มีทุกคนทุกตัวสัตว์ คำว่ากรรมคือการกระทำ หากมีอยู่ภายในจิตของทุกตัวสัตว์ กิริยาแสดงออกก็แสดงออกตามมโนกรรมที่เป็นกรรมภายในนั้นแล จะเอาอะไรมาแสดงนอกเหนือจากนี้
ภายในมีอะไรปิดบังหุ้มห่อ นั่นสำคัญมากทีเดียว ไม่ให้รู้ให้เห็นตามความจริง สิ่งใดที่ไม่ดี ธรรมชาติที่ไม่ดีมีอำนาจอยู่ภายในจิตใจ มีความสามารถที่จะปิดจะบังจะกีดจะกันได้หมด เวลาที่มันมีอำนาจเป็นเช่นนั้น ฉะนั้นสัตว์โลกจึงลำบาก เกิดมาในแดนแห่งความจริงทั้งหลายเห็นอยู่สด ๆ ร้อน ๆ เอาตัวของเราออกเป็นตัวประกัน ก็ยังไม่สามารถจะยอมรับความจริงในตัวของตัวได้ เช่น เกิดมาจากที่ไหน ๆ ก็ไม่รู้ ทั้ง ๆ ที่เคยเกิดมาไม่รู้กี่ภพกี่ชาติกี่กัปกี่กัลป์ ไม่ต้องพูดเรื่องล้าน ๆ ของแต่ละภพละชาติแห่งจิตใจแต่ละดวง ๆ ของสัตว์โลกแต่ละราย ๆ นั่นเลย จะไม่มีที่ไหนความเกิด-เกิดอยู่กับวิญญาณ วิญญาณพาให้เกิด พาเป็นตัวยืนโรง
เชื้อคืออวิชชา ได้แก่กิเลสอันเป็นเชื้อสำคัญพาให้เกิด นี่มีอยู่ทุกตัวคน แต่เราก็ไม่สามารถที่จะยืนยันในความมีความเป็นของตนได้เพราะไม่รู้ มีอยู่มันก็ไม่รู้ไม่เห็นช่องทางที่มา มาจากไหนก็ไม่รู้ ก็เห็นแต่เกิดมาก็เป็นคน โตขึ้นมาแล้วถึงรู้ว่าตัวเป็นคนเป็นสัตว์ นี่ซิจะยืนยันได้ยังไงว่าเราเกิดมาจากที่ไหนทั้ง ๆ ที่เกิดมานี้แล้ว ตายแล้วจะไปเกิดที่ไหนอีกก็ยืนยันไม่ได้ สุดท้ายก็มอบลงคำว่าสูญ ตายแล้วสูญ นั่นซิยิ่งลึกลงไปมากจริง ๆ ถ้าลงได้ว่าตายแล้วสูญแล้ว คนนั้นรู้สึกจะหมดคุณค่าหมดราคาหมดความหวัง หวังเท่าไรก็ไม่มีสิ่งที่จะตอบแทน จึงจะไม่ทำความดีเลยเนื่องจากว่าความหวังหมดแล้ว สูญสิ้นไปหมด ฉิบหายป่นปี้ไปหมดแล้ว จะทำอะไรอยากทำอะไรก็ทำละซิที่นี่ นั่น คำว่าอยากทำอะไรก็ทำ ก็มาในเงื่อนเดียวกับว่าตายแล้วสูญทั้ง ๆ ที่มันไม่ได้สูญ แล้วก็ต้องให้ทำตามความชอบใจ มันก็สวมรอยลงไปนั้นอีก
ความชอบใจจะเป็นอะไรไปถ้าไม่ใช่สิ่งเป็นข้าศึกต่อธรรม สิ่งเป็นข้าศึกต่อความดีทั้งหลายของตัวเองแท้ ๆ นั่นแหละ มันจะต้องทำในสิ่งที่เป็นข้าศึกต่อตัว สุดท้ายก็ผู้ที่ว่าตายแล้วสูญนั้นแหละ มาหมุนตัวเป็นกงจักรให้กรรมทั้งหลายเผาผลาญอยู่ตลอดเวลาเรื่อยมาจนกระทั่งบัดนี้ นี่เราไม่ต้องพูดถึงรายอื่นรายใด พูดถึงตัวของเราเอง เมื่อยังไม่ทราบเป็นเช่นนี้จริง ๆ ไม่เป็นอย่างอื่น
เราอย่าตำหนิผู้ใดผู้หนึ่งว่าไม่รู้ ว่าปฏิเสธความจริง ว่าลบล้างความจริง คือตัวเราเองนั้นแหละ โดยมีสิ่งที่เคยลบล้างความจริงทั้งหลายมาลบล้างภายในหัวใจ มากระซิบกระซาบให้เกิดความเชื่อสิ่งนั้นเสีย แล้วก็ลบล้างความจริงซึ่งมีอยู่ในตัวเอง และความจริงที่ตนจะพึงได้พึงถึงให้สูญสิ้นไปหมด สิ่งที่ไม่สูญไม่สิ้นทั้ง ๆ ที่เจ้าของก็ว่าจะสูญสิ้นคือบาปบุญอะไร ๆ ไม่มี นั้นแหละที่จะมาสนองเรา หรือได้รับบาป คือบาปที่ว่าไม่มีนั่นแหละ นรกที่ว่าไม่มีนั่นแหละ จะจมลงที่ตรงนั้น นี่จึงว่ากรรมของสัตว์
พวกเราทั้งหลายได้เกิดมาในท่ามกลางแห่งพุทธศาสนา รู้สึกว่าเป็นเลิศทีเดียว ถ้าพูดถึงในชาติมนุษย์แดนมนุษย์ด้วยกัน เราอย่าเข้าใจว่าประเทศนั้นเจริญ ประเทศนี้เจริญ ประเทศนั้นฉลาด ประเทศนั้นโง่ เราอย่าไปคิดอย่างนั้น เอาหลักความจริงแห่งกรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสอนนี้มาเป็นเครื่องยืนยันกัน ศาสนานี้เป็นศาสนาที่แน่ร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่มีสงสัย ผมเอาคอขาดเข้าว่าเลย เพราะอะไร ขอพูดตามความสัตย์ความจริงต่อหมู่เพื่อนว่า ได้ยืนยันในหัวใจเจ้าของเอง ซึ่งแต่ก่อนไม่สามารถจะยืนยันได้เลย การประพฤติปฏิบัตินั้นแหละเป็นข้อที่จะทำให้ยืนยันได้ ไปฟังครูฟังอาจารย์ก็ฟัง แต่เมื่อไม่ถึงใจแล้วก็ต้องเป็นอยู่อย่างนั้นละ ความสงสัยว่าบาปมีบุญมี นรกมีสวรรค์มี นิพพานมี ท่านสอนความจริงขนาดไหน ธรรมะมีแต่ความจริงล้วน ๆ ท่านว่าอริยสัจ ๆ พระพุทธเจ้าท่านสอนนอกจากอริยสัจไปไหน ครูบาอาจารย์ผู้รู้จริงเห็นจริงสอนนอกจากอริยสัจไปไหน แต่เรามันไม่รู้อริยสัจจะว่าไง เมื่อยังไม่ถึงวาระที่จะรู้
แต่เพราะความอุตส่าห์พยายามนั่นแหละ ตะเกียกตะกายล้มลุกคลุกคลานหลายครั้งหลายหน ค่อยถลอกปอกเปิกไปเรื่อย ๆ แล้วต่อไปก็ค่อยเข้าอกเข้าใจไปโดยลำดับลำดา จนปรากฏว่า สาธุ ไม่ได้ประมาท กระจ่างขึ้นภายในจิตใจ หายสงสัยถึงเรื่องว่าบาปมีหรือไม่มี บุญมีหรือไม่มี หายสงสัย บาปมียอมรับร้อยเปอร์เซ็นต์ ตายก็ตายไม่เสียดายชีวิต เราได้ยืนยันในขณะนั้นเพราะความเชื่อในหัวใจนี้แหละ ซึ่งแต่ก่อนไม่เคยเชื่ออะไรถึงขนาดนี้ เชื่อก็เป็นเชื่อธรรมดาสัญญาอารมณ์ ตามหมู่ตามเพื่อนหรือตามตำรับตำราท่านสอนไว้ก็เชื่อ นั้นเป็นเชื่ออันหนึ่ง เป็นเชื่อด้วยการเดาการคาดคะเนไปอันหนึ่ง แต่ก็เป็นความดีเพื่อจะให้เป็นความเชื่ออันสำคัญฝังอยู่ภายในตนที่เป็น สนฺทิฏฺฐิโก
ทีนี้เมื่อปฏิบัติเข้าไป ๆ เอ้า สมาธิก็เห็นขึ้นมา เห็นจิตเป็นสมาธิ จะเห็นอะไรถ้าไม่เห็นความจริงจะไปเห็นอะไร ในขั้นแห่งสมาธิต้องเห็นความจริงอันหนึ่ง ที่สมาธิจะสามารถรู้แจ้งเห็นจริงตามสภาพหรือตามอำนาจของตนต้องรู้ มันก็เห็นชัดขึ้นมา สมาธิมีหลายขั้นเป็นเครื่องหนุนปัญญาได้หลายภูมิ
ออกจากนั้นก็ก้าวเข้าสู่ปัญญา ปัญญาธรรมดาก็มีล้มลุกคลุกคลาน ดังที่เราเคยคิดเคยอ่านพินิจพิจารณานี่เป็นปัญญาล้มลุกคลุกคลาน เรียกว่าปัญญาในสัญญา อาศัยสัญญาที่ดีดเส้นบรรทัดให้แล้วปัญญาก็ตรองไปตาม นี่เป็นปัญญาประเภทหนึ่งไม่อัศจรรย์นัก พอก้าวเข้าสู่ปัญญาอัตโนมัติหรือภาวนามยปัญญานั้นละที่นี่ อันใดไม่เคยรู้อันใดไม่เคยเห็น จะกระจ่างขึ้นมาโดยลำดับ กิเลสตัวไหนที่มันหลบมันซ่อนมันบีบมันบังคับเรา อยู่ฉากหน้าฉากหลังตรงไหน จะมาเจอกันตรง สนฺทิฏฺฐิโก ๆ ด้วยการปฏิบัตินี้โดยลำดับลำดา จนกระทั่งพังมันลงหมดจากหัวใจแล้วทำไมจะไม่ทราบ
พระพุทธเจ้าท่านวิเศษจากอะไร วิเศษจากความบริสุทธิ์ของพระทัยท่าน แล้วส่องมองทะลุไปหมดทุกสิ่งทุกอย่าง อะไรจะมีความพิสดารประเสริฐเลิศเลอยิ่งกว่าใจดวงที่หลุดพ้นแล้วจากกิเลสทั้งหลายนี้เล่า นี่ซิพระพุทธเจ้าศาสดาองค์เอกออกมาจากจิตที่บริสุทธิ์ ไม่ได้มาด้นมาเดาสอนโลกอะไรเลย สอนด้วยความสัตย์ความจริง สอนด้วยความรู้ความเห็นจริง ๆ ด้วยพระเมตตาเต็มส่วน ไม่มีใครที่จะเกินพระพุทธเจ้าแหละเรื่องพระเมตตา มหาการุณิโก นาโถ หิตาย สพฺพปาณินํ นั่นไม่แปลก็พอทราบแล้ว คำว่า มหาการุณิโก นาโถ ฟังซิ ทรงมีความเมตตาสงสารและสงเคราะห์โลกมากมายขนาดไหน หิตาย สพฺพปาณินํ ทำประโยชน์ให้แก่โลกได้มากมายก่ายกองด้วยพระเมตตาสุดส่วนนั้นเอง พระเมตตานี้ออกมาจากความบริสุทธิ์ เป็นหลักธรรมชาติของจิตที่บริสุทธิ์ เป็นความอ่อนโยนต่อสัตว์ทั้งหลาย เป็นความเมตตาสงสารต่อสัตว์ทั้งหลายเอง ไม่ใช่เสกสรรปั้นยอขึ้นมา นี่ละพุทธศาสนา
ศาสนาอื่นเราไม่ประมาท เป็นศาสนาของคนมีกิเลส เอาความแน่นอนจริงจังมาจากไหน แล้วเรา ๆ ท่าน ๆ เป็นยังไง ความรู้ความเห็นของเรา ๆ ท่าน ๆ เป็นยังไง สมมุติแยกตนออกไปเป็นศาสดาอาจารย์สอนหมู่เพื่อนเป็นยังไง กิเลสยังครองอยู่ในหัวใจเอาความแน่นอนความจริงมาจากไหน เอ้า พิจารณากันตรงนี้ก็รู้นี่นะ เพราะกิเลสยังมีอยู่ในหัวใจก็เป็นสามัญชนธรรมดาเรานี่ จะเป็นครูเป็นอาจารย์หรือว่าเป็นศาสดาขึ้น เป็นเจ้าของศาสนานั้น ๆ ขึ้นมา ทั้ง ๆ ที่กิเลสเต็มหัวใจอยู่นี้ เอาความแน่นอนเอาความจริงมาจากไหน มันก็เหมือนเรา ๆ ท่าน ๆ นี้ซิ บางอย่างที่สั่งสอนโลกไปแทนที่จะเป็นจริงกลับเป็นบาปก็ได้นี่
แต่เราไม่ยกตัวอย่างมันจะกระทบกระเทือนศาสนานั้น ๆ ไม่ยก ขอให้นำเป็นแง่พิจารณาเอา เป็นความเห็นของคนของเจ้าของศาสนานั้นแหละ ที่แสดงออกมาว่าให้ทำอย่างนั้น ๆ ให้ทำบาปอย่างนั้น ๆ ก็ได้นี่นะ เพราะไม่ใช่เป็นความบริสุทธิ์จริง ๆ จากหัวใจที่บริสุทธิ์แล้วจากกิเลสทั้งหลาย ได้ส่องทะลุลงไปตามความจริง และสอนออกมาตามความจริงจริง ๆ มันเป็นเรื่องของกิเลสปิดบัง จึงนำมาสอนด้วยความลูบคลำ จะเอาความจริงใจมาจากไหน เอาความแน่นอนมาจากไหน
ไม่ว่านรกไม่ว่าสวรรค์ไม่ว่าอะไรแหละ เมื่อหัวใจดวงนี้ยังถูกปิดบังด้วยเครื่องหุ้มห่อตัวสำคัญอยู่แล้ว จะเอาความจริงจังมาจากไหน แต่พระพุทธเจ้าของเราไม่เป็นอย่างนั้นนี่นะ แทงทะลุไปหมด คำว่า โลกวิทู ก็แจ้งไปหมดในโลกทั้งสาม โลกนอกก็แจ้ง โลกในคือในพระทัยก็แจ้ง โลกวิทู ๆ ไม่ได้หมายถึงว่าโลกนอกเหมือนพระอาทิตย์ พระจันทร์ ตาของพระพุทธเจ้าไม่ได้เป็นตาพระอาทิตย์พระจันทร์ เลยนั้นไปอีกไม่รู้กี่ร้อยเท่าพันทวี คำว่าตา โลกวิทู ญาณํ อุทปาทิ วิชฺชา อุทปาทิ อาโลโก อุทปาทิ หรือ ปญฺญา อุทปาทิ มีแต่ความสว่างกระจ่างแจ้งในพระทัยทั้งนั้น ไม่เหมือนพระอาทิตย์ ไม่เหมือนความสว่างกระจ่างแจ้งของโลกทั้งหลายที่เป็นกันอยู่และรู้ ๆ เห็น ๆ กันอยู่นี้เลย
เป็นหลักธรรมชาติของจิต ที่พ้นจากวิสัยแห่งโลกทั้งหลายนี้โดยถ่ายเดียวเท่านั้น ที่จะสามารถรู้แจ้งแทงทะลุดังที่กล่าวมานี้ เพราะฉะนั้นจึงรู้แจ้งเห็นจริงถึงนรก สวรรค์ บาปบุญคุณโทษ ตลอดพระนิพพานได้โดยเต็มพระทัยของพระองค์ไม่มีข้อสงสัยเลย เอ้า สาวกองค์ใดที่รู้ตามพระพุทธเจ้ารู้เข้าไปซิ คำว่า สนฺทิฏฺฐิโก ๆ จะไม่ทูลถามพระพุทธเจ้าเลยแม้แต่องค์เดียว เพราะไม่มีพระอรหันต์ประเภทบ้านี่นะ อรหันต์ตามหลักความจริงของพระพุทธเจ้าต้องเป็นเหมือนกันหมด ไม่ทูลถาม ยกมือกราบไหว้ทันทีเลย อ๋อ อย่างนี้เหรอพระพุทธเจ้ารู้-รู้อย่างนี้เหรอ เท่านั้นแหละ นี่ละศาสนาพุทธเป็นอย่างนี้ ยืนยันกันด้วยหลักธรรมชาติ
ศาสนาที่มีกิเลสเป็นเจ้าของเป็นอาจารย์ หรือเป็นเจ้าของศาสนา ไม่ได้แน่ใจละ สำหรับคนทิฐิมากกิเลสมากอย่างเรานี่ เราไม่ได้แน่ใจ แต่สำหรับพระพุทธเจ้าแล้วหมอบเลยยอมเลย ตายก็ตายเถอะว่างั้นเลย ไม่มีอะไรเสียดายแม้นิดหนึ่ง แม้เม็ดหินเม็ดทรายไม่มี ขอให้ได้เทิดทูนธรรมของพระพุทธเจ้าด้วยความจริงที่เต็มอยู่ในหัวใจนี้เท่านั้นก็พอแล้วเรา เราพูดเท่านี้ เราพูดให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย พูดให้เต็มตามหัวใจที่เป็นอยู่ตลอดเวลาในปัจจุบันนี้ แล้วจะสงสัยที่ตรงไหน
มันน่าปลื้มอกปลื้มใจ มันน่ามีแก่ใจที่จะปฏิบัติตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า เพราะเป็นสิ่งที่จริงทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อยหมดแล้ว ไม่มีอะไรที่จะให้เราลูบ ๆ คลำ ๆ ว่าจริงแน่หรือไม่จริงแน่ แน่หรือไม่แน่ ทำลงไปจะได้หรือไม่ได้ ทำลงไปจะจริงหรือไม่จริงอย่างนี้ไม่มี จริงแล้วทั้งนั้น บาปมีจริงแล้ว นรกมีจริงแล้ว อาสวะกิเลสทุกประเภทดังที่ท่านสอนไว้แล้วมีเต็มหัวใจนี้แล้ว เอ้า แก้ออกไป ๆ ด้วยมรรค คืออะไร มรรคคือ ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าเป็นนักปฏิบัติเรา ถ้าพูดถึงเรื่องความดี ความดีทั้งหลายนั้นแลคือมรรค การให้ทานก็ดี การรักษาศีลก็ดี การภาวนาก็ดี มีแต่มรรคทางดำเนินเครื่องสังหารกิเลสให้พังลงภายในจิตใจ ย่นวัฏวนให้สั้นเข้ามา ๆ จากพุทธศาสนาแต่ละครั้ง ๆ ที่เราได้ประสบ
เพราะฉะนั้นผู้ที่เกิดมาในพระพุทธศาสนา จึงเป็นผู้ได้เปรียบอยู่มากทีเดียว ถ้าว่าเป็นผู้ฉลาดก็ฉลาดด้วยอุปนิสัย ไม่ได้ฉลาดแบบโง่ ๆ ทะนงตัวมาคุยกันว่าเรียนจบนั้นจบนี้ แล้วมาคุยกันมาโม้กัน ทั้ง ๆ ที่กิเลสมันผลิตวิชาให้ยังไม่รู้ตัว ยังมาทะนงตัวอวดตัวว่าตัวรู้ตัวฉลาด ความรู้ของกิเลสกับความรู้ของธรรมต่างกันยังไง ความรู้ของผู้ที่สิ้นกิเลสแล้วกับความรู้ของผู้ที่กิเลสเต็มหัวใจต่างกันยังไง ให้มันรู้มันก็รู้เองนี่นะ ให้กิเลสมันวางลวดลายให้แล้วก็เป็นบ้าตัวเอง เมาน้ำลายตัวเองก็ยังไม่รู้ เอาให้ถึงเหตุถึงผลซิการประพฤติปฏิบัติ
ศาสดาองค์เอก-เอกแท้ ๆ ไม่มีอะไรจะมาเสมอแล้วละทุกสิ่งทุกอย่าง ธรรมแสดงไว้แล้วก็เอก อะไรก็เอก ให้มันเห็นภายในจิตใจนี้ซิผู้ปฏิบัติ มันน่ามีแก่จิตแก่ใจ น่าเอาชีวิตจิตใจเข้าแลกเลย มอบถวายเลย เพราะเราได้มอบกับกิเลสทั้ง ๆ ที่ไม่ได้บอกว่ามอบก็ตาม มอบกับมันทั้งคืนทั้งวัน มอบมากี่กัปกี่กัลป์แล้ว มันให้ความดิบความดีมากน้อยเพียงไร กิเลสให้ความดีแก่คน ความโลภมันดีไหมพิจารณาซิ คนเกิดความโลภมันดีไหม เอ้า แสดงอาการกิริยายังไงออกมาความโลภ นั่น มันร้อนภายในจิตใจ แล้วแสดงอาการอะไรออกมามันดีไหม ความโกรธแสดงออกมาดีไหม ราคะตัณหาแสดงออกมาดีไหม ฟังซิ โลกนี้กัดฉีกกันเพราะตัวจัญไรตัวไฟบรรลัยกัลป์ ๓ กองนี่ละจะเป็นอะไรไป หาความสุขความสบายไม่ได้ทุกวันนี้เพราะอะไร ถ้าไม่ใช่เพราะอันนี้
ความโลภ-โลภไม่มีเมืองพอ ได้เท่าไรไม่รู้จักพอ จะเอามาเผาหัวเจ้าของก็ไม่หมด เจ้าของจนเป็นเถ้าเป็นถ่านไป ทรัพย์สมบัติเงินทองเหล่านั้นก็ยังไม่หมด ยังงั้นก็ยังโลภตะพึดตะพือ และความโลภนั้นพาคนมีความสุขความเจริญที่ไหน พาคนได้รับความสบายที่ไหน ถ้าไม่ละความโลภนั้นซึ่งเป็นตัวหิวตัวกระหาย ตัวดิ้นรนกระวนกระวายนั้นเสียเท่านั้น เราจึงจะอยู่ด้วยความสงบได้
ความโกรธเป็นยังไง เวลาแสดงขึ้นมาเป็นยังไง ความหลงเราไม่พูดละ อันนั้นมันฝังเป็นพื้นอยู่แล้ว ราคะตัณหาแสดงออกมาเป็นยังไง แม้แต่สุนัขมองเห็นไหมหน้ามันคะนอง มันกัดกันฉีกกันแหลกไปหมด นั่นเป็นยังไง มนุษย์เราก็เถอะ ถ้าลงอันนี้ได้เกิดขึ้นภายในหัวใจแล้วไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้นละ หน้าอินทร์หน้าพรหมไม่มีเลย เอาแหลกได้เหมือนกัน มนุษย์ยิ่งแหลกกว่าสัตว์ทั้งหลาย เพราะฉลาดกว่ากันนี่ นี่เป็นของดีเมื่อไร
แก้มันออกซิ อันนี้ก็มีอยู่ในหัวใจของเรา เราสงสัยที่ไหนเวลานี้ พระพุทธเจ้าสอน สอนลงที่ไหน สอนลงที่ใจ ดินไม่ใช่กิเลส น้ำไม่ใช่กิเลส ลมไม่ใช่กิเลส ไฟไม่ใช่กิเลส อากาศธาตุไม่ใช่กิเลส ทุกสิ่งทุกอย่างทั่วโลกธาตุนี้ไม่ใช่กิเลส ตัวกิเลสอยู่ภายในจิตใจเท่านั้น ตัวนี้เป็นตัวสำคัญ ตัวนี้เป็นตัวจัญไร เสนียดจัญไรมากทีเดียว แก้ลงตรงนี้ซิ ธรรมะทั้งหมดไม่ได้ไปแก้ดินน้ำลมไฟ ไม่ได้แก้ดินฟ้าอากาศที่ไหน แก้ลงที่จิตใจที่เป็นตัวกิเลสนี้ ให้มันพังทลายลงไปที่นี่ ไม่ได้แก้ที่ตรงไหน เอาลงไปที่นี่ซิ
โอวาทคำสั่งสอนครูบาอาจารย์ก็สอนมาเต็มเม็ดเต็มหน่วยเต็มภูมิ ถ้าพูดอย่างผมนี้แล้วผมไม่มีอะไรเหลือ เทออกมาอย่างไม่มีอะไรเหลือเลย เพื่อทุก ๆ ท่านที่มาศึกษาอบรม ไม่ได้เทศน์เพื่อความโอ้ความอวด ไม่ได้เทศน์เพื่ออย่างอื่นอย่างใด เพื่อสินจ้างรางวัลอันใดเลย เทศน์ด้วยความเมตตาสงสาร อยากให้รู้อยากให้เห็นธรรมพระพุทธเจ้าเป็นยังไง เมื่อรู้เข้าไปแล้วเป็นยังไง เห็นเข้าไปแล้วเป็นยังไง ต่างกันกับแต่ก่อนยังไงบ้าง แบกกิเลสกับแบกธรรมเป็นยังไง เอ้า เราพูดว่าแบกเสีย แบกกิเลสเป็นยังไง แบกกิเลสหนักแทบจะเป็นจะตายในภพชาติหนึ่ง ๆ แบกธรรมเป็นยังไง แสนสบาย ฟังซิแบกธรรมแสนสบาย แบกทำไมสบาย นั่นฟังซิ ทรงธรรมนั่นแหละ แต่พูดว่าแบกธรรมเสีย แสนสบาย
นี่เราได้เกิดในภพชาตินี้เหมาะสมอย่างยิ่งแล้ว ได้พบพุทธศาสนาด้วย สอนอรรถสอนธรรมถูกต้องแม่นยำไม่มีสงสัยอะไรแล้ว อริยสัจทั้งสี่ประกาศกังวานเพื่อความรื้อถอนภพชาติออกจากจิตใจของสัตว์ ซึ่งเป็นกองทุกข์มานานแสนนานนั่นแลจะเป็นอะไรไป อริยสัจ ๔ หรือสติปัฏฐาน ๔ พูดอะไรก็ได้ถูกหมด มีแต่เครื่องถอดถอนลูกศรที่ทิ่มแทงอยู่ภายในจิตใจนี้ออกทั้งนั้น นี่เป็นอย่างมาก อย่างน้อยตัดภพชาติให้ย่นเข้ามา ๆ เพราะอำนาจแห่งการพบพุทธศาสนา ได้ประพฤติปฏิบัติตามหลักของศาสนา แล้วสุดท้ายก็พ้นไปได้
ชาตินี้เกิดมา เอ้า บำเพ็ญ นี่ละทำวัฏวนของเราให้สั้นเข้ามา ๆ ถ้าเกิดมาเฉย ๆ ตายเฉย ๆ ร้อยชาติพันชาติก็หาอะไรย่นเข้ามาไม่ได้เลย ดีไม่ดียิ่งไปพอกพูนวัฏวนให้มากเข้า เพราะไม่เคยสร้างความดี มีแต่สร้างความชั่ว ไอ้เรื่องไม่สร้างไม่ต้องสงสัยละ มันอยู่ได้ยังไงไม่ใช่คนตาย มันต้องสร้าง แน่ะ สัตว์มันก็สร้างบาปได้นี่ แต่เขาไม่รู้ว่าเขาสร้างบาปเฉย ๆ ทุกภพทุกชาติมีการสร้างบาปได้ทั้งนั้น เมื่อสร้างบุญไม่ได้มันสร้างบาปยังได้นะ นั่นละยิ่งยืดเยื้อออกไปเรื่องวัฏวนภายในจิตใจ แต่มีศาสนายังมีข้อห้าม สิ่งใดที่ไม่ดีไม่งามจะเสริมทางวัฏวนให้กว้างออกไปก็ตัดเข้ามา ๆ คือสร้างคุณงามความดี ก็เป็นทางตัดวัฏวนให้สั้นเข้ามา ย่นวัฏวนให้สั้นเข้ามา ๆ ผลสุดท้ายสำเร็จโสดา นั่นฟังซิ สำเร็จสกิทาคา นั่น เอาละนะที่นี่ มีความแน่นอนเข้า เข้าถึงแล้วนี่ อนาคา สุดท้ายก็อรหัตอรหันต์ไป พ้น
ถ้าลงพ้นแล้วหมดปัญหาโดยประการทั้งปวง ไม่มีคำว่ากาลสถานที่เวล่ำเวลา สมมุติทั้งหลายที่เคยเป็นรอบตัวอยู่นี้จะเข้าไปถึงธรรมชาตินั้น หาทางเป็นไปไม่ได้เลย เรียกว่าพ้นวิสัยเหล่านี้ทั้งหมดโดยประการทั้งปวงแล้ว นั่นละอำนาจแห่งการปฏิบัติธรรม ธรรมเข้าถึงใจเป็นอย่างนั้น
กิเลสถึงใจเป็นยังไงเราก็ทราบแล้วนี่ ทำไมจึงจะทะนุถนอมมันนักหนา จะทำอะไรก็กลัวแต่กระเทือนกิเลสที่อยู่ในตัวของเรา จะทำความพากความเพียรก็กลัวแต่เราลำบาก ก็กลัวกิเลสลำบากนั่นเองจะเป็นอะไรไป เพราะกิเลสกับเราได้ถือเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้ว เลยไม่ทราบว่าอะไรเป็นเรา อะไรเป็นกิเลส อะไรเป็นความชั่ว อะไรเป็นข้าศึก สุดท้ายก็มีแต่เราเป็นข้าศึกต่อเรา จะเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนาแต่ละครั้งละหน กลัวจะลำบากลำบนกลัวจะล้มจะตาย บทกิเลสบีบคอจนจะตายไม่เห็นคิดบ้าง ตายมากี่ภพกี่ชาติเพราะอำนาจของกิเลสพาให้เกิดให้ตายทำไมไม่คิดบ้าง แต่การประพฤติปฏิบัติธรรมะทำไมจะกลัวแต่ตาย ๆ มันไม่แพ้กิเลสหลุดลุ่ยไปแล้วเหรอ คิดซินักปฏิบัติ ไม่คิดได้ยังไง สติปัญญามีอยู่นำมาใช้ซิ
เอาละเหนื่อยแล้ว พอแล้ว พูดไป ๆ เลยเหนื่อย เหนื่อยภายในมันเป็นยังงั้นละ