คำถาม 
โดย : พระเมธิโน เมื่อ วันที่ 17 ส.ค. 2548

การปลูกไม้กฤษณาในวัด

กราบนมัสการพระคุณอาจารย์หลวงตาฯที่เคารพอย่างสูง
 
                               ด้วยมีคณะศรัทธาญาติโยมได้นำไม้กฤษณา ซึ่งเป็นไม้หอมและเป็นไม้เศรษฐกิจ มาถวายให้กับทางวัดจำนวน 2,000 ต้น เพื่อให้ปลูกรักษาสภาพป่ารอบวัด แต่ทั้งนี้ ไม้กฤษณาจัดเป็นไม้เศรษฐกิจประเภทหนึ่ง  กล่าวคือ เมื่อไม้โตประมาณ 4-5 ปี ก็สามารถที่จะเจาะรูลำต้นไม้กฤษษา เพื่อเอาน้ำมันจากไม้กฤษณา ไปทำน้ำมันหอมเรียกน้ำมันกฤษณา     ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจชนิดหนึ่ง    เนื่องจากคณะศรัทธาญาติโยมที่นำไม้กฤษณามาถวายนั้น ได้มองเห็นการณ์ไกลว่า นอกจากจะเป็นไม้ที่ให้ร่มเงารักษาสภาพป่าและมีกลิ่นหอมแล้ว    ยังสามารถทำรายได้ให้กับทางวัดทุกปี   เพื่อทางวัดจะได้นำรายได้ส่วนนี้ไปบูรณะปฏิสังขรณ์เสนาสนะสงฆ์และเป็นค่าใช้จ่ายต่างๆภายในวัด    เพราะไม้กฤษณานี้  ยิ่งโตขึ้น     ก็จะยิ่งให้น้ำมันหอมกฤษณามาก และสามารถให้น้ำมันหอมไปได้เป็นสิบยี่สิบปีโดยที่ทางวัดไม่จำเป็นต้องตัดต้นขาย   ซึ่งต่างจากต้นสักทอง   หรือไม้เศรษฐกิจประเภทอื่นๆ   ซึ่งส่วนมากปลูกไว้เพื่อตัดต้นขาย    แต่ทั้งนี้  ได้มีโยมบางท่านท้วงติงขึ้นมาว่า      หากวัดปลูกไม้เศรษฐกิจและมีรายได้ทุกปีจากไม้เศรษฐกิจ   ต่อไปภายภาคหน้า อาจจะเป็นเหตุให้ญาติโยมไม่อยากมาทำบุญกับวัดเพราะเห็นว่าวัดมีรายได้จากไม้กฤษณาทุกปี  โดยเฉพาะไม้กฤษณาเมื่อโตมากอายุสิบยี่สิบปี บางต้นที่ให้น้ำมันหอมมาก อาจจะมีมูลค่าหลายแสนหรืออาจจะเป็นหลักล้านก็ได้  เมื่อถึงเวลานั้น   เจ้าอาวาสในขณะนั้นอาจจะเปลี่ยนใจไปตัดต้นขายเพื่อนำปัจจัยไปบูรณะปฏิสังขรณ์โบสถ์ วิหาร หรือเสนาสนะสงฆ์ก็ได้    แล้วการตัดต้นไม้จะไม่เป็นการผิดวินัยหรือ?    โดยโยมที่คัดค้านก็ให้เหตุผลว่า    วัดไม่ควรจะหารายได้จากไม้เศรษฐกิจโดยนำไม้เศรษฐกิจมาปลูกในวัดเพราะไม่ใช่กิจของสงฆ์   และหากวัดมีรายได้เช่นนี้  ต่อไปวัดก็ไม่ต้องพึ่งพาญาติโยมมาทำบุญ        ซึ่งเป็นการมองต่างไปจากเจ้าภาพที่มาถวาย      เพราะต้องการปลูกเพื่อร่มเงาและรักษาสภาพป่าเป็นหลัก  ส่วนรายได้จากการเจาะเพื่อเอาน้ำมันกฤษณาเพื่อมาบำรุงเสนาสนะสงฆ์นั้น ถือว่าเป็นผลพลอยได้   เสมือนหนึ่งว่า  ไม้กฤษณานี้ได้ทำบุญแทนโยมผู้ถวายไปตลอด  แม้ว่าจะตายจากลาโลกนี้ไปแล้วก็ตาม และโยมผู้ถวายมองการณ์ไกลว่า   ต่อไปภายหน้า หากถึงยุคที่ผู้คนไม่ค่อยทำบุญทะนุบำรุงพระศาสนา  โดยเฉพาะวัดในท้องถิ่นทุรกันดารที่ยากจน อย่างน้อยจะได้มีไม้กฤษณานี้นำรายได้เข้าวัดเพื่อจะได้บำรุงซ่อมแซมเสนาสนะสงฆ์และเป็นค่าใช้จ่ายต่างๆในวัดสืบไป
                      กระผมจึงกราบเรียนมาเพื่อขอความเห็นจากพระคุณอาจารย์หลวงตา ช่วยได้กรุณาให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย                         

คำตอบ
ตอบโดย : ทีมงาน เมื่อ 22 ส.ค. 2548

  หลวงตาได้เมตตาตอบคำถามของท่านดังนี้
ผู้กำกับ มีจดหมายจากพระกราบเรียนมาถามเรื่องไม้กฤษณาดังนี้ครับ

ด้วยมีคณะศรัทธาญาติโยมได้นำไม้กฤษณา ซึ่งเป็นไม้หอมและเป็นไม้เศรษฐกิจมาถวายให้กับทางวัดจำนวน ๒,๐๐๐ ต้น เพื่อให้ปลูกรักษาสภาพป่ารอบวัด แต่ทั้งนี้ไม้กฤษณาจัดเป็นไม้เศรษฐกิจประเภทหนึ่ง กล่าวคือเมื่อไม้โตประมาณ ๔-๕ ปี ก็สามารถที่จะเจาะรูลำต้นไม้กฤษณา เพื่อเอาน้ำมันจากไม้กฤษณาไปทำน้ำมันหอม เรียกน้ำมันกฤษณา ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจชนิดหนึ่ง

เนื่องจากคณะศรัทธาญาติโยมที่นำไม้กฤษณามาถวายนั้น ได้มองเห็นการณ์ไกลว่า นอกจากจะเป็นไม้ที่ให้ร่มเงารักษาสภาพป่าและมีกลิ่นหอมแล้ว ยังสามารถทำรายได้ให้กับทางวัดทุกปี เพื่อทางวัดจะได้นำรายได้ส่วนนี้ไปบูรณะปฏิสังขรณ์เสนาสนะสงฆ์ และเป็นค่าใช้จ่ายต่างๆ ภายในวัด เพราะไม้กฤษณานี้ยิ่งโตขึ้นก็จะยิ่งให้น้ำมันหอมกฤษณามาก และสามารถให้น้ำมันหอมไปได้เป็นสิบยี่สิบปี โดยที่ทางวัดไม่จำเป็นต้องตัดต้นขาย ซึ่งต่างจากต้นสักทอง หรือไม้เศรษฐกิจประเภทอื่นๆ ซึ่งส่วนมากปลูกไว้เพื่อตัดต้นขาย

หลวงตา แล้วไม้ในวัดป่าบ้านตาดเราล่ะ จะไม่ตัดต้นขายหรือ ถ้าตัดต้นขายก็ตัดคอพระขายอีกด้วย ถ้ามีอะไรมาแฝงอย่างนี้เราไม่อยากเล่นด้วยนะ การซื้อการขายเป็นการกระทบกระเทือนระหว่างโลกกับธรรม ศาสนาไม่กระเทือนใครนะ ต้นไม้กฤษณงกฤษณานี้รู้สึกว่าเป็นเรื่องของโลกอยู่ ถ้าเอาเข้ามาในวัด วัดก็จะกลายเป็นโลก โลกกับธรรมก็จะรบกัน ไม่เหมาะ

ผู้กำกับ แต่ทั้งนี้ได้มีโยมบางท่านท้วงติงขึ้นมาว่า หากวัดปลูกไม้เศรษฐกิจและมีรายได้ทุกปีจากไม้เศรษฐกิจ ต่อไปภายภาคหน้า อาจจะเป็นเหตุให้ญาติโยมไม่อยากมาทำบุญกับวัด เพราะเห็นว่าวัดมีรายได้จากไม้กฤษณาทุกปี

หลวงตา ขอแทรกหน่อยหนึ่ง อย่าเอาไม้กฤษณามาขวางเลย ปรกติมันก็ไม่อยากทำบุญให้ทานอยู่แล้ว ยิ่งทำอย่างนี้มันก็ยิ่งเสริมมันไปใหญ่เลยละ เอาอ่านต่อไป

ผู้กำกับ โดยเฉพาะไม้กฤษณาเมื่อโตมากอายุสิบยี่สิบปี บางต้นที่ให้น้ำมันหอมมาก อาจจะมีมูลค่าหลายแสน หรืออาจจะเป็นหลักล้านก็ได้ เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าอาวาสในขณะนั้นอาจจะเปลี่ยนใจไปตัดต้นขาย เพื่อนำปัจจัยไปบูรณะปฏิสังขรณ์โบสถ์ วิหาร หรือเสนาสนะสงฆ์ก็ได้ แล้วการตัดต้นไม้จะไม่เป็นการผิดวินัยหรือ? 

หลวงตา ฟัง เรื่องวินัยมันเรียนมาจากคัมภีร์ไหน เราตั้งแต่วันบวชมาเราก็ยังไม่ทราบว่าการตัดต้นไม้นี้ผิดวินัย แล้วตัดต้นอื่นๆ มาปลูกกุฏิกุฏังเต็มวัดเต็มวาเต็มศาลา จนกระทั่งไปที่ไหนหรูหราฟู่ฟ่า มีแต่เอาต้นไม้มาทำส่วนมากนะ แล้วมันเป็นยังไงที่นี่ มันไม่เป็นอาบัตเหรอ มันน่าคิด ผู้ถามอยากให้มันเรียนคัมภีร์วินัยสักหน่อยน่ะ มาสอนพระนี่นะ พูดถึงวินัยเราเรียนมากจริงๆ ถึงเข้าขั้นละเอียดก็ได้ เพราะเรารักวินัย อ่านจริงๆ ทบทวนมากที่สุดคือพระวินัย เพราะฉะนั้นใครพูดแง่ไหนจับปุ๊บได้เลยๆ อันนี้มันเอาคัมภีร์ไหนมาสอน มันเป็นอาบัติเพราะตัดต้นไม้ อย่างนี้มันก็เอามาพูดประสาตัดต้นไม้ เขาตัดกันทั่วแผ่นดิน จะมาเป็นโทษเฉพาะตัดต้นไม้ มันเป็นโทษที่ผิด เรื่องราวมันเกิดมายังไงจึงเอาต้นไม้นี่มาปลูก มันจะกระทบกระเทือนเป็นความเสียหายอย่างไรบ้าง ควรจะคิดเรื่องเหล่านั้นมากกว่าการตัดต้นไม้เป็นอาบัติ (เขาว่าตัดต้นไม้จะไม่เป็นการผิดวินัยหรือ) นั่นละวินัยคืออาบัติ เอาอ่านไป

ผู้กำกับ โดยโยมที่คัดค้านก็ให้เหตุผลว่า วัดไม่ควรจะหารายได้จากไม้เศรษฐกิจ โดยนำไม้เศรษฐกิจมาปลูกในวัดเพราะไม่ใช่กิจของสงฆ์ และหากวัดมีรายได้เช่นนี้ ต่อไปวัดก็ไม่ต้องพึ่งพาญาติโยมมาทำบุญ ซึ่งเป็นการมองต่างไปจากเจ้าภาพที่มาถวาย เพราะต้องการปลูกเพื่อร่มเงาและรักษาสภาพป่าเป็นหลัก ส่วนรายได้จากการเจาะเพื่อเอาน้ำมันกฤษณาเพื่อมาบำรุงเสนาสนะสงฆ์นั้นถือว่าเป็นผลพลอยได้ เสมือนหนึ่งว่าไม้กฤษณานี้ได้ทำบุญแทนโยมผู้ถวายไปตลอด

หลวงตา ใครอยากได้บุญตลอดพวกนี้น่ะ มันน่าถามก็ถามซิ มีแต่เรื่องขบขัน เอาละ นี่เขาพูดอยู่นอกวัด เขาไม่ได้พูดภายในวัด มาทำภายในวัด เป็นเรื่องของเขาโต้กันนอกวัด เราเป็นเพียงฟังเฉยๆ ไม่ผิดไม่ถูกอะไรสำหรับวัด ความผิดถูกชั่วดีก็เป็นเจตนาของเขาทั้งสองฝ่ายที่มีเจตนาด้วยกัน แต่เขาจะฟาดปากกันเราไม่ทราบ เอาว่าไป

ผู้กำกับ เสมือนหนึ่งว่าไม้กฤษณานี้ได้ทำบุญแทนโยมผู้ถวายไปตลอด แม้ว่าจะตายจากลาโลกนี้ไปแล้วก็ตาม และโยมผู้ถวายมองการณ์ไกลว่า ต่อไปภายหน้าหากถึงยุคที่ผู้คนไม่ค่อยทำบุญทะนุบำรุงพระศาสนา โดยเฉพาะวัดในท้องถิ่นทุรกันดารที่ยากจน อย่างน้อยจะได้มีไม้กฤษณานี้นำรายได้เข้าวัด เพื่อจะได้บำรุงซ่อมแซมเสนาสนะสงฆ์ และเป็นค่าใช้จ่ายต่างๆ ในวัดสืบไป

กระผมจึงกราบเรียนมาเพื่อขอความเห็นจากพระคุณอาจารย์หลวงตา ช่วยได้กรุณาให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย (พระเมธิโน)

หลวงตา อยู่วัดไหนเราอยากถามถึงเรื่องวัดด้วย (ไม่ลงมาครับ) ถ้าอย่างนั้นเราก็ไม่ต้องลงว่าอยู่ที่ไหน ปัดออกให้หมดเรื่องทั้งสองนี้ เรื่องส่งเสริมหรือเรื่องคัดค้านต้นกฤษณานี่นะ ปัดออกให้หมด ทางนั้นเขาไม่ลงชื่อ เราก็ไม่ลงชื่อ ไม่ทราบว่าใครพูดมาจากไหนละแต่ปัดออกทั้งหมดอย่ามายุ่ง ไม่จำเป็น หาเรื่องมายุ่งทำไม ศีลธรรมเป็นของจำเป็นสำหรับพระที่จะบำรุงรักษากัน สิ่งเหล่านั้น ต้นไม้ ภูเขา พระองค์ก็สอนไว้แล้ว อยู่ที่ไหนอยู่ เป็นคุณอย่างเดียวไม่เป็นโทษ อันนี้เป็นเรื่องเจือปนไปด้วยโทษด้วยภัยเข้ามา พระไม่พิจารณาใครจะพิจารณา ใครจะละเอียดลออยิ่งกว่าพระ พระในหลักพุทธศาสนานะ ต้องเป็นผู้สุขุมมากทีเดียว ใช้ความพินิจพิจารณาทุกแง่ทุกมุม อย่างที่เขาพูดมานี้เป็นความกระทบกระเทือนเกี่ยวกับโลกแล้วเสียหายทางวัด เสียหายทางศาสนา เพราะฉะนั้นจึงว่าปัดออก มีเท่านั้นละ
  คลิกอ่านเต็มกัณฑ์ได้ตามlink ข้างล่างนี้
http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text_print.php?ID=3563&CatID=2


<< BACK

 


หน้าแรก