คำถาม 
โดย : นางสาว ศิริ เมื่อ วันที่ 9 มิ.ย. 2548

เมตตาแก้ไขปัญหาภาวนา

กราบนมัสการหลวงตา

หนูนั่งภาวนา โดยกำหนดที่ลมหายใจเข้าออกพร้อมกับมีสติกำกับอยู่ที่วงกาย และ ดูความนึกคิด โดยกำหนดรู้ธรรมชาติของร่างกายทั้งลมหายใจ ความนึกคิดที่เกิดขึ้นในขณะที่ภาวนา 

หนูมีปัญหาการปฏิบัติจะถามเจ้าค่ะ
1. ความคิดที่เกิดขึ้นเองในขณะที่ภาวนา โดยผุดขึ้นมาโดยที่หนูไม่ตั้งใจคิด บางครั้งผุดความคิดไม่ดี แต่หนูไม่ปรุงแต่งเพิ่ม หนูใช้ 2 วิธีค่ะ 
   1) ทำเป็นไม่สนใจความคิด
   2) มองดูอยู่จนดับ
หลวงตาเมตตาหนูด้วยนะเจ้าค่ะ วิธีที่ทำถูกหรือไม่เจ้าค่ะ และทำอย่างไรความคิดที่ไม่ดีต่างๆ ที่ผุดขึ้น จะไม่กลับมาอีกเจ้าค่ะ และ ความคิดที่ผุดขึ้นโดยไม่ตั้งใจจะเป็นบาปไม่เจ้าค่ะ

2. ขณะที่ภาวนาโดยการนั่งสมาธิมีสิ่งภายในที่ดึงดูดให้หนูอยากนั่งภาวนา และ ตั้งใจมากในขณะภาวนา ทำให้หนูบ้างครั้งสามารถนั่งได้2-3 ชั่วโมง แต่บางครั้งก็มีอาการป่วยเมื่อยร่างกายบ้าง แต่สักแต่ว่ารู้และบอกตัวเองว่านี้คือธรรมชาติของร่างกาย แต่หนูมีปัญหาขณะออกจากการนั่งสมาธิคือใช้ชิวิตประจำวัน คือ หนูจะเผ่งที่ลมหายใจทำให้หนู แน่นที่ดั่งจมูกและปวดศีรษะบางครั้ง รู้สึกตัวเองเผ่งอยู่ตลอด ทำให้หนูแน่นที่ดั่งจมูก หนูจะแก้ไขอย่างไรค่ะ และในชีวิตประจำวันจะกำหนดสติอย่างไรถึงจะถูกเจ้าค่ะ

หนูขอกราบขอบพระคุณหลวงตา ขอให้หลวงตาอยู่เป็นศิริมงคลและ อยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของชาวพุทธนานๆ สุขภาพแข็งแรง 
และขอให้หนูเจริญก้าวหน้าในทางปฎิบัติขึ้นไปเรื่อยๆ ตราบท้าวเข้าสู่มรรคผลและพระนิพพาน


 

คำตอบ
ตอบโดย : ทีมงาน เมื่อ 23 มิ.ย. 2548

  หลวงตาได้เมตตาตอบปัญหาของคุณดังนี้ค่ะ
หลวงตา       ความคิดนี้รังกิเลส ตีเข้าไปรวงรังก็ต้องไปตีความคิดนี้ละ ความคิดออกมาจากต้นตออันใหญ่หลวงของมัน คืออวิชชา อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา นั่นละตัวต้นตออันใหญ่หลวงของวัฏจักร อยู่ที่อวิชชาดันออกมาให้คิดให้ปรุง เพราะฉะนั้นคนเราจึงต้องคิดเป็นประจำ เพราะมันดันออกมาเป็นประจำ ความคิดนี้เรียกว่าสังขาร คือความคิดความปรุง เรียกว่าสังขาร ทั่วๆ ไปเป็นความคิดประเภทนี้ทั้งนั้นแหละ แทบทั้งนั้นเราไม่อยากพูด นอกจากผู้ภาวนา ให้พากันจำเอาเสีย อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา อวิชชาเป็นปัจจัยหนุนให้เกิดสังขาร สังขารเกิดวิญญาณต่อเนื่องไปเหมือนไม้ต้นหนึ่งเกิดขึ้นมาปั๊บ กิ่งก้านสาขาดอกใบมันตามๆ กันมาอย่างนั้นเอง พอถอนรากปั๊บ อะไรๆ มันดับพร้อมกันหมด ไม่ผิดอะไรกับต้นไม้เกิดต้นไม้ดับแหละ อวิชชาเกิดอวิชชาดับนี่

ที่ท่านว่านี่ท่านเรียงไปเฉยๆ พออวิชชาดับ สังขารดับ สังขารดับวิญญาณดับ นามรูปอะไรดับ คือมันดับพร้อมกันนั่นแหละ คืออันนั้นๆ ก็ดับ ความหมายว่างั้น ดับพร้อมกันเลย ไม่ใช่อันนี้ดับแล้วอันนั้นจะดับๆ ต่อกันไปนะ ภาคปฏิบัติเห็นชัดเจนเลย อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา, สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณํ,..... อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา อวิชฺชาปจฺจยา วิญฺญาณํ ขึ้นตรงนี้ๆ เท่านั้น ภาคปฏิบัติจับได้ชัดเจนไม่สงสัย ทีนี้พอ อวิชฺชายเตฺวว อเสสวิราคนิโรธา สงฺขารนิโรโธ.....ดับพร้อมกันอีก พออวิชชาดับ ทุกสิ่งทุกอย่างดับพร้อม นั่น เหมือนอย่างต้นไม้ถอนรากขึ้นมาปั๊บ ถ้าเราจะไปพรรณนาว่า พอต้นมันดับแล้ว กิ่งก็ดับ ก้านก็ดับ สาขาดอกใบดับ... ความจริงมันดับพร้อมกัน เข้าใจไหมล่ะ คือพรรณนาไปเฉยๆ อะไรมันดับหมด เรื่องสังขารปล่อยให้มันคิดธรรมดาๆ มันก็เป็นธรรมดาอย่างที่โลกเป็นมานี้แหละ

เราพูดให้ชัดเจนนะ เราพูดแล้วใครจะเอาคอเราไปตัดขาดเราก็ยอมรับตามความจริงที่ไม่เป็นอื่น คือพุทธศาสนานี้เป็นศาสนาที่เลิศเลอ เราพิจารณาดูแล้วศาสนาไหนๆ เราก็อ่านเราก็ดูมาโดยลำดับ ไม่เหยียบย่ำทำลาย ไม่ยกยอ คือจะพูดตามความจริง เหล่านั้นเป็นศาสนกิเลส เป็นศาสนาเป็นคำสอนของกิเลสทั้งนั้น ออกมาจากคลังกิเลส คือจิตใจ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา เป็นคำสอนออกมา เป็นคำสอนของกิเลสทั้งนั้นๆ รวมหมดแล้วย่นเข้ามาปั๊บ คำสอนพระพุทธเจ้านี้ลงตรงนี้เลย ดับตัวนี้ นี่พิจารณาเต็มกำลังของเราแล้ว บอกไม่มีศาสนาใดที่จะรื้อขนสัตว์ให้พ้นจากทุกข์ได้เหมือนพุทธศาสนา ยันเลย เอาหัวใจของเราออกเลยนะ ตัดคอเราก็ยอมขาด เราไม่เคยสะทกสะท้าน ที่จะเลี่ยงจากความจริงไปไม่มี นี่ความจริง

ขอให้ท่านทั้งหลายยึดให้ดีนะหลักพุทธศาสนา เป็นหลักศาสนาที่จะรื้อขนสัตว์ให้พ้นจากทุกข์โดยลำดับๆ จนกระทั่งพ้นทุกข์โดยสิ้นเชิงได้ มีศาสนาเดียวเท่านี้ พูดให้ชัดเจนวันนี้มันจวนจะตายแล้วนะ  ศาสนานั้นๆ มีแต่เรื่องของกิเลสทั้งนั้น รวงรังของกิเลส คลังของกิเลส ออกมาเป็นคำสอนๆ เป็นคำสอนของกิเลสทั้งนั้นแหละ เป็นคำสอนของธรรมแท้คือคำสอนของพระพุทธเจ้า นี่แน่นอนเลย ฟาดกันบนเวทีมันถึงรู้ได้ชัด แตกกระจายออกไปหมดเลย พูดได้อย่างจังๆ นี่เราไม่เคยไปถามใคร อยู่ในนี้หมด ธรรมก็อยู่ที่นี่ กิเลสเกิดที่นี่ รู้กันที่นี่ แก้กันที่นี่ ขาดสะบั้นลงที่นี่ จ้าขึ้นที่นี่เลยไม่อยู่ที่ไหน พูดให้ชัดๆ มันจวนจะตายแล้ว

ท่านทั้งหลายอย่าหลงศาสนานะ ให้จับให้ดีพุทธศาสนา เป็นศาสนาที่รื้อขนสัตว์ เป็นศาสนาที่เลิศเลอสุด ในสามแดนโลกธาตุนี้มีพุทธศาสนาเท่านั้นบอกตรงๆ เอาศาสนาใดจะมาแข่งก็แข่ง อย่างนิกายเซนนี้ก็ออกจากพุทธศาสนาตอนปลาย เวลาพิจารณาแล้วมันรู้กันไปหมดเลยจะว่าไง ศาสนาเซนให้ใช้ปัญญาๆ ปัญญานี้เป็นพุทธศาสนาตอนปลาย เรียกว่าสติปัญญาอัตโนมัติ ทีนี้ผู้ปฏิบัติศาสนาเซนจะใช้แต่ปัญญานั้นตายทิ้งเปล่าๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไร พุทธศาสนานี้พร้อมมูลตั้งแต่ต้น เป็นพื้นเป็นฐาน ทาน ศีล ภาวนา จากนั้นก็สมาธิ ปัญญา วิมุตติหลุดพ้นเป็นลำดับๆ ไป นี่เขาไปพูดเอาตอนวิปัสสนาไปเลย คือท่านผู้นั้นได้รู้ธรรมประเภทนั้นแล้ว เลยเอาอันนั้นมาสอนโลกให้เป็นแบบเดียวกัน เอะอะก็จับยัดเข้าดอกเตอร์ๆ กอไก่กอกา เอ บี ซี ดี ยังไม่ได้สักตัวเดียว ยัดเข้าดอกเตอร์ๆ แล้ว ดอกเตอร์ขี้หมาเท่านั้นซิ

เรียนพุทธศาสนาเรียนที่หัวใจ มันแตกกระจายออกจากนี้หมดไม่ถามใครนะ คิดดูซิ คุยหรือไม่คุย โม้หรือไม่โม้ เราไม่ได้โม้เราเอาความจริงมาพูด พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์เป็นอันเดียวกันหมดกับธรรมชาติที่บริสุทธิ์นี้ นตฺถิ เสยฺโยว ปาปิโย ไม่มียิ่งหย่อนกว่ากัน ถึงกันหมด เหมือนแม่น้ำมหาสมุทร จ่อลงตรงไหนเป็นมหาสมุทรทั้งหมด นี่ก็เป็นวิมุตตินิพพานหลุดพ้นเหมือนกันหมด พอบรรลุธรรมปึ๋งเป็นอันเดียวกันแล้วๆ เป็นอยู่ในหัวใจนี้นะ

เพราะฉะนั้นจึงว่าพุทธศาสนา พอผางขึ้นนี้ถึงกันหมด เพราะฉะนั้นท่านจึงไม่ถามถึงพระพุทธเจ้ามีกี่พระองค์ ถ้าว่ามากก็มากแสนมาก ว่างั้นเลยเท่านั้นเอง เป็นอันเดียวกันนี้แหละ เหมือนน้ำมหาสมุทรมาก กว้างแสนกว้าง แต่จ่อลงไปก็เป็นมหาสมุทร จ่อตรงไหนเป็นมหาสมุทรเหมือนกันหมดเสีย มันก็เหมือนกันหมดเสีย นั่น จะสงสัยอะไร มองไปสุดสายตา จ่อลงนี้ก็ถึงกันหมดแล้ว นั่นละวิมุตติพระนิพพานถึงใจ ท่านทั้งหลายให้ยึดให้ดีนะ เราพูดอย่างยันเรากำลังจะตายแล้ว จะไม่มีใครที่จะสามารถยึดได้นะพุทธศาสนา เรๆ รวนๆ ศาสนาไหนๆ มีแต่เครือข่ายของกิเลสทั้งนั้นๆ เอาเข้ามาหลอกลวง ศาสนานั้นมาศาสนานี้มา ดีๆ ดีอะไรมีแต่กิเลส คลังกิเลสทั้งนั้นเข้ามา ศาสนาไหนเป็นอำนาจบาตรหลวงขึ้นมาเลย แล้วเป็นโลกไปหมด

ศาสนาใดที่ว่าเป็นใหญ่เป็นโต เป็นอำนาจบาตรหลวงเบียดเบียนทำลายคนอื่นๆ  พุทธศาสนาไม่มี ไม่มีเลย แล้วก็ไม่บังคับ ใครอยากปฏิบัตินับถือก็ได้ แต่เมื่อนำเข้ามาเป็นสมบัติของตนแล้วต้องรักษาต้องปฏิบัติตามนั้น เรียกว่าบังคับในตัวเอง อยากเป็นคนดีตามธรรมขั้นใดๆ ให้บังคับตนเอง แล้วก็ดีไปตามธรรมขั้นนั้นๆ เท่านั้นเอง นี่ได้พิจารณาแล้ว ไม่โอ้ไม่อวด กระจ่างอยู่ในหัวใจนี้แล้วไม่สงสัย เรื่องพุทธศาสนาแล้วเต็มหัวอกของเรา เราไม่สงสัย และไม่เคยคิดเคยอ่านว่าจะรู้จะเห็นจะเป็นขึ้นมา มันจ้าครอบโลกธาตุจะว่าไงในหัวใจดวงนี้น่ะ

เวลามันเป็นขึ้นแล้วพระพุทธเจ้าจะไม่ประกาศตนว่าเป็นศาสดาเอกสอนโลกได้ยังไง ลงถึงขั้นศาสดาแล้วไม่ประกาศได้หรือ ตั้งแต่ตัวเท่าหนูมันยังเป็นของมันเต็มส่วนของมันนี่วะ สาวกบารมีญาณต่างกัน แต่ความหลุดพ้น ความสิ้นสุดวิมุตติพระนิพพานเหมือนกัน เสมอกัน ไม่มีใครยิ่งหย่อนกว่ากัน นิสัยวาสนากว้างแคบลึกตื้นหนาบางอะไรเหล่านี้ เป็นไปตามนิสัยวาสนาของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ๆ และสาวกทั้งหลายแต่ละองค์ๆ เพราะฉะนั้นจึงว่าองค์นั้นเลิศทางนั้น องค์นี้เลิศทางนี้ๆ บรรดาสาวกทั้งหลาย นิสัยวาสนานั้นคือกิ่งก้านสาขาดอกใบ ไม่ใช่ต้นอันแท้จริงแท้ อันแท้จริงแท้เหมือนกันหมด

นี่ชาวพุทธเรามันจะหลงนะ จะหลงบ้ากับศาสนาต่างๆ ไป พูดให้มันชัดเจน ศาสนานั้นศาสนานี้มีแต่คลังกิเลสออกมา เจ้าของศาสนาเป็นคลังกิเลส ออกมาเป็นกิเลส กิ่งก้านสาขาดอกใบเป็นกิเลสทั้งหมดไม่ได้เป็นธรรมนะ พระพุทธเจ้านี้บริสุทธิ์สุดส่วน สิ้นแล้วจากกิเลสทั้งหลาย กระจ่างแจ้ง โลกวิทู สอนออกมาตรงไหนเป็นสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบหมด นั่นเห็นไหมล่ะ เมื่อกระจ่างแล้วก็เห็นชัดเจน พูดได้อย่างถูกต้อง ไม่มีสิ่งลี้ลับอะไรมาผ่านพระพุทธเจ้าได้ โลกวิทู รู้แจ้งหมดแล้ว อะไรจะมามัวหมองไม่มี

พากันยึดให้ดีนะ พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เลิศเลอสุดยอดแล้ว เราเอาตัวเรายันเลย ตัวเท่าหนูก็ยัน ใครจะว่าเราเป็นบ้าก็ว่าเถอะ บ้าแบบนี้ไม่มีใครว่าแหละ มีแต่เราคนเดียวเราพอใจไม่มีใครแย่งบ้าแบบนี้ ใครอยากเป็นบ้าแบบนี้ก็ เอา ปฏิบัติกันไปมันหากจะรู้เอง ความรู้เหล่านี้เราเคยไปเรียนมาจากไหน ออกจากจิตตภาวนา พระพุทธเจ้าจึงสอนลงในจิตตภาวนา พระพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยจิตตภาวนา สาวกทั้งหลายด้วยจิตตภาวนา ทำบุญกุศลมากน้อยรวมเข้ามาๆ  ลงในจิตตภาวนา เรียกว่าทำนบใหญ่อยู่ตรงนั้น

แม่น้ำทั้งหลายสายต่างๆ เหมือนกับบารมีของเราที่สร้างมาด้วยการทำบุญให้ทาน รักษาศีลประเภทต่างๆ เหมือนกับแม่น้ำต่างๆ ไหลเข้ามาๆ ลงมาในทำนบใหญ่คือจิตตภาวนา สุดท้ายทำนบใหญ่เป็นที่รวมน้ำ คือภาวนาเป็นที่รวมกุศลทั้งหลายลงในจุดนี้ผึงเดียวขึ้นเลย พากันจำเอานะ พูดนี้ไม่ผิด แน่ในหัวใจเต็มสัดเต็มส่วนแล้วจึงมาสอนพี่น้องทั้งหลาย เราสอนโลกเราไม่เคยสอนด้วยความสงสัย ตั้งแต่ปี ๒๔๙๓ มาเต็มเม็ดเต็มหน่วย นอกนั้นก็ถูกมาเป็นลำดับลำดา แต่ยังไม่สมบูรณ์ๆ พอมาถึงขั้นโลกธาตุหวั่นไหวบนหลังเขานั้นแล้ว ตั้งแต่นั้นมาไม่มีสงสัยเลย เรียกว่าคงเส้นคงวา ประหนึ่งว่านิพพานเที่ยงก็คือเหล่านี้เป็นไปด้วยกันหมดเลย เที่ยงต่อความแน่นอน เที่ยงต่อความสัตย์ความจริง ไม่มีผิดมีเพี้ยน แน่นอนไปโดยลำดับ

ให้พากันตั้งใจปฏิบัติ มันจะตายทิ้งเปล่าๆ นะมนุษย์เรา จิตดวงนี้คอยรับอยู่เสมอ เอาของดีให้ก็รับ เอาของชั่วให้ก็รับ เอายาพิษให้ก็รับ เผาตัวให้แหลกเลยก็ได้ ถ้าเอาของดิบของดี ส่งตัวให้หลุดพ้นไปก็ได้ ให้ระวังนะจิตดวงนี้มันพร้อมที่จะรับ เหมือนผ้าขาว เอาสีอะไรย้อมติดปุ๊บๆ จิตนี้ก็เหมือนกัน เอาอารมณ์อะไร ได้ยินอะไรมาคว้ามับๆ  ถ้าไม่ดีก็เป็นภัยต่อตัวเอง ถ้าดีก็เป็นคุณ นี่เราถูกต้องแล้วนะ เกิดมาพบพุทธศาสนานี้เรียกว่าเหมาะสมอย่างยิ่งแล้ว อย่าผิดอย่าพลาดนะถ้าไม่อยากจม

เรื่องศาสนามีเต็มโลกเต็มสงสาร ใครก็ว่าของใครดีๆ กิเลสมันไม่ได้ว่าของมันชั่วแหละ มันว่าดีๆ พระพุทธเจ้าพูดตามความจริง ดีหรือไม่ดีพิจารณาเอา เราเมื่อทนไม่ไหวก็ต้องส่งเสริมของดีละซิ ของชั่วไปส่งเสริมมันอะไร ดีก็บอกว่าดีซิเรา พระพุทธเจ้าสอนตามความจริงไปเลยจนหลุดพ้น ไม่ได้ยอกันๆ แล้วหลุดพ้นไปนะ สอนตามความจริง ปฏิบัติตามความจริง พ้นตามความจริง เราถึงไม่ยอ โอ๊ย พระพุทธเจ้าเก่งอย่างนั้นเก่งอย่างนี้ ท่านดีไปแล้ว เข้าใจไหมล่ะ

ของเล่นเมื่อไรหัวใจดวงนี้ ขอให้รู้ดูซิ กิเลสปิดไว้เท่านั้นเองจึงหูหนวกตาบอด ไปที่ไหนมีกี่ตาก็ตามมันก็แบบคนตาบอดไปด้วยกัน คนตาบอดต่อคนตาบอดจูงกันมันจะจูงไปไหนล่ะ พิจารณาซิ เอาคนตาบอดต่อคนตาบอดมาจูงกัน มาจูงบนศาลานี่ให้คนตาดีดูเพียงคนเดียวก็รู้กันหมดใช่ไหม คนตาบอดจูงกันมันจะจูงไปไหน เราเป็นคนตาบอดต้องอาศัยคนตาดีจูงซิ คนตาดีคือศาสดาองค์เอก ธรรมของพระพุทธเจ้านี้เอกแล้วนะ แม่นยำแล้ว อะไรจะมาคัดค้านต้านทานไม่ได้ทั้งนั้น ความจริงอันนี้เหนือโลกเหนือสงสารแล้ว ให้พากันตั้งใจปฏิบัติ

สิ่งที่จะทำให้เสียหายนี้มีมากต่อมากนะ เราพูดถึงเรื่องศาสนา มีเต็มโลกนะ มีแต่ดีๆ ทั้งนั้น ครั้นแล้วมีแต่คลังกิเลสๆ เจ้าของศาสนาเป็นคลังกิเลส สอนออกมาสอนจากคลังกิเลสเป็นกิเลสแตกกระจายไปหมด พระพุทธเจ้าเป็นคลังแห่งธรรม ตรัสรู้ปึ๋งเป็นคลังแห่งธรรม สอนออกมาเป็นธรรมล้วนๆ เป็นธรรมตลอดไปเลย จำข้อนี้ให้ดี อย่าทำสุ่มสี่สุ่มห้านะ

ให้ฝึกหัดตนเอง อย่าเอาแต่ความสะดวกสบายเข้าไปว่านะ ส่วนมากมีแต่กิเลสออกหน้า ชอบความสะดวกสบาย สบายๆ ไปหมด ความทุกข์เพื่อความสุขข้างหน้าไม่ได้คำนึง ทุกข์ก็ทุกข์ไปเถอะทุกข์เพื่อสุขข้างหน้า สุขสฺสานนฺตรํ ทุกฺขํ ทุกข์เกิดลำดับแห่งสุข คือ ทุกข์เสียก่อน พระพุทธเจ้าก็ทุกข์เสียก่อน พระพุทธเจ้าศาสดาเอกของโลกตรัสรู้ปึ๋ง นั่นละเป็นความสุขบรมสุข เกิดขึ้นจากความทุกข์ถึงขั้นทรมาน สลบถึง ๓ หน ทุกข์เสียก่อน นั่น ต้องทนเอาซิ พระพุทธเจ้าพาทุกข์ก่อนแล้วค่อยได้สุขทีหลัง ไอ้สุขก่อนมันเป็นสุกก่อนห่ามนะ เน่าเฟะ อะไรก็มีแต่ความสุขๆ 

พูดอย่างนี้แล้วเราก็ไม่ลืม เดินเข้าไปในครัว ไอ้เก้าอี้เล็กๆ น้อยๆ มันสอดเข้าไปไว้ใต้เตียงใต้ที่หลับที่นอน เก้าอี้เล็กๆ น้อยๆ มันสอดเข้าไป กิเลสเห็นไหมล่ะ เพื่อความสะดวกสบาย มีเก้าอี้เล็กๆ น้อยๆ มันออกมาไว้ข้างหน้าไม่ได้ จะตีหน้าผากมัน เข้าใจไหม ใครขนมาเก้าอี้นี่ พระพุทธเจ้าไม่ได้หาความสุขด้วยร่างกายนะ หาความสุขด้วยธรรม ด้วยการปฏิบัติจิตใจต่างหาก ทุกข์ๆ ไปทุกข์เพื่ออรรถเพื่อธรรม ท่านว่าอย่างนั้นนะ อันนี้หาแต่ความสุข ไปที่ไหนไม่พ้นที่กิเลสจะดึงจมูกลากจมูกไป ให้เป็นความสะดวกสบาย

เราเดินเข้าไปในครัวเห็นเก้าอี้เล็กๆ น้อยๆ มันสอดมันแทรกอยู่ตามนั้น เราทำหูหนวกตาบอด ที่เราไปทุกวันๆ เห็นไหมไปอะไร พิจารณา เดินไปเซ่อๆ ซ่าๆ ไปอย่างนั้นละ ดูไปๆ นี่มันก็ไปเห็นอย่างนี้ละ ตำตาๆ วันนี้มาสัมผัสก็เอาเสียบ้าง ถ้าเก้าอี้อยู่นี้เราจะเอาตีหน้าผากของเจ้าของมันเลย แต่นี้เก้าอี้ก็ไม่เห็น เจ้าของก็ไม่ทราบว่าเป็นใครก็เลยไม่ตี มันเป็นอย่างนั้นมันหาความสุข เอะอะหาแต่ความสุขๆ ตกแต่งตั้งแต่ภายนอก เรื่องภายในไม่สนใจ อันนั้นไม่ดีอันนี้ไม่ดี สร้างอะไรขึ้นมาก็ โหย ตกแต่งทุกสิ่งทุกอย่างให้สวยให้งาม ดูสวยงาม หัวใจมันเป็นฟืนเป็นไฟมันเป็นเรื่องตัวยุ่งอยู่ที่นี่ ให้อันนั้นดีอันนี้ดี เจ้าของไม่ดีมันไม่ดู ตกแต่งหัวใจให้ดีซิอะไรดีหมด ถ้าลงใจดีแล้วอยู่ที่ไหนล้มตูมลงไปที่ไหนสบายหมด ใจพาสบายเสียอย่างเดียว ถ้าใจรกรุงรัง ใจไม่สบาย ที่ไหนก็ไม่ดีทั้งนั้น ให้จำให้ดีคำนี้

         ตกแต่งใจซิ อะไรไปตกแต่งตั้งแต่ภายนอกๆ ไม่ได้เรื่องได้ราว กิเลสออกหน้าศาสนาๆ รู้กันไหม นี้ดูมันทุกระยะนะ ตามทันทุกระยะเลย นอกจากพูดหรือไม่พูด เฉย อย่างที่ว่านี่เดินเข้าไป วัดนี้ถ้าหากว่าเราอนุญาตนี้วัดเรานี้จะมีแต่เก้าอี้ โซฟาโซแฟอะไร เต็มไปหมดเลยละ นี่ละเรื่องความสะดวกของกิเลส เรื่องอรรถเรื่องธรรมมองไม่เห็นนะ ทุกข์ที่ไหนทุกข์ไปซิ นี่เรื่องธรรม อยู่อะไรอยู่ไป กินอะไรกินไป พอยังอัตภาพให้พอเป็นไป แต่ธรรมกับจิตนี้พุ่งๆๆ ตลอด นั่น ท่านทำอย่างนั้นนะท่านผู้ที่หลุดพ้นจากทุกข์ ท่านไม่เอาแต่ความสะดวกสบายๆ ไปที่ไหนเอาเก้าอี้มัดติดคอไป เอาเตียงเอาตั่งมัดติดคอไป เอารถยนต์ครอบหัวไป เข้าใจไหม 

         รถยนต์มีกี่คัน อันนี้รุ่นไหนๆๆ เอามาอวดกัน ประสาเหล็กมันอวดกันหาอะไร ที่ไหนมันก็มีเหล็ก มันเป็นบ้ากันนักหนานะมนุษย์เรา เหล็กเอาสีมาทาสีนั้นสีนี้ โอ๋ยนี่รุ่นนั้น นี่รุ่นนี้นะ รุ่นนี้จะหมดแล้วให้รีบซื้อ กิเลสกินตับมันกำลังจะหมดมันไม่เห็นดูบ้าง กิเลสมันกำลังกินตับคนเป็นบ้าอย่างนั้นนะ มันกำลังจะหมดแล้วนะตับนั่นน่ะ ไม่ดู นี่รุ่นนี้รุ่นจะหมดตับ กิเลสกิน ไม่ดู มันหาดูแต่รุ่นนั้นรุ่นนี้ อ้าว ธรรมะดูเห็นหมดนะ นอกจากไม่พูดเฉยๆ เหมือนหูหนวกตาบอดดูไปเฉยไปอย่างนั้นละ แต่ถึงวาระที่จะพูด เช่นอย่างออกมาพูดนี่แย็บออกมาเท่านั้นนะ ไม่ได้เอามามากนะมาพูด เพื่อให้เป็นข้อคิดของพี่น้องชาวพุทธเรา ซึ่งเป็นลูกศิษย์ตถาคตผู้เฉลียวฉลาดแหลมคมสุดยอดในโลกนี้ ให้มีวี่แววของพระพุทธเจ้า เอาความฉลาดมาใช้บ้างซิ 

         อย่าเอาตั้งแต่เก้าอี้มัดติดคอมาซิ รุ่นนั้นรุ่นนี้มัดติดคอมา อู๊ยทุเรศนะ พวกเรานี่พวกรุ่นไหนนี่ เก้าอี้มัดติดคอ รถยนต์ครอบหัวมา สีนั้นสีนี้ รุ่นนั้นรุ่นนี้ สั่งมาจากเมืองไหน เมืองนั้นดีนะ เป็นบ้าเลย เงินไม่มีไปกู้ยืมเขามา ซื้อสดซื้อผ่อนเป็นบ้ากัน พวกนี้ดิ้นบ้า มันสนุกดูนะ ธรรมดูโลก นั่นละให้มันเห็น ทีนี้จ้าหมดแล้วหมด ไอ้เรื่องที่พึ่งไม่พึ่ง อดีตอนาคตไม่มีในหัวใจนี้ พอทุกอย่างแล้ว ดูถึงหมดเลย นั่นพระพุทธเจ้าเอาธรรมมาสอนโลก เอาธรรมประเภทนี้มาสอนนะ ไม่ได้ธรรมขาดๆ แคลนๆ ทุกข์ๆ จนๆ โง่ๆ เขลาๆ มาสอนโลกนะ เอาธรรมที่สมบูรณ์พูนผลฉลาดแหลมคมครอบโลกธาตุมาสอนโลก ท่านไม่ได้เอาความเซ่อซ่ามาสอนโลก เข้าใจ เอาละพักเสียก่อน

         ผู้กำกับ        ข้อ ๒ สุดท้ายครับ ขณะที่ภาวนาโดยการนั่งสมาธิมีสิ่งภายในที่ดึงดูดให้หนูอยากนั่งภาวนา และตั้งใจมากในขณะภาวนา ทำให้หนูบ้างครั้งสามารถนั่งได้ 2-3 ชั่วโมง แต่บางครั้งก็มีอาการปวดเมื่อยร่างกายบ้าง แต่สักแต่ว่ารู้และบอกตัวเองว่านี้คือธรรมชาติของร่างกาย แต่หนูมีปัญหาขณะออกจากการนั่งสมาธิคือใช้ชีวิตประจำวัน คือ หนูจะเพ่งที่ลมหายใจทำให้หนูแน่นที่ดั้งจมูกและปวดศีรษะบางครั้ง รู้สึกตัวเองเพ่งอยู่ตลอด ทำให้หนูแน่นที่ดั้งจมูก หนูจะแก้ไขอย่างไรคะ และในชีวิตประจำวันจะกำหนดสติอย่างไรถึงจะถูกเจ้าค่ะ

         หลวงตา       ให้กำหนดลมหายใจก็กำหนดเฉพาะลมหายใจ อย่าสร้างอารมณ์ ไปตาม แย็บนั้นแย็บนี้ ที่ปรากฏว่าลมหายใจเคลื่อนไหวไปอะไร ตามไปๆ มันจะเคลื่อนไปเรื่อยๆ นะ ให้กำหนดลมหายใจที่เข้าออกๆ ให้รู้ๆ อยู่นั่นน่ะ เอาตรงนี้เป็นหลักใหญ่เสียก่อน ส่วนมันยิบแย็บๆ ไปข้างนอกอย่าไปตามมัน ให้ดูหลักใหญ่นี้ไว้ ถ้าตามมันจะออกไปเรื่อยๆ นี่ถูกต้องแล้ว

         ผู้กำกับ        สุดท้ายเขาบอกหนูขอกราบขอบพระคุณหลวงตา ขอให้หลวงตาอยู่เป็นสิริมงคลและ อยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของชาวพุทธนานๆ สุขภาพแข็งแรง

         หลวงตา       อยากตีปาก ปากมันอยู่ไหนก็ไม่รู้ เราอยากตีปาก ให้เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร ปากมันอยู่ไหนไม่รู้ ถ้ารู้เราจะฟาดเดี๋ยวนี้ มันอะไรก็ไม่รู้ เราคอยจะฟัง มันให้เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรอะไรก็ไม่รู้

  คุณสามารถอ่านกัณฑ์เทศน์นี้ได้จาก link ข้างล่างนี้ค่ะ
http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=3434&CatID=0#

<< BACK

 


หน้าแรก