ความเป็นมาและความสำคัญ
สืบเนื่องจากในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๔๐ ชาติไทยประสบปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจอย่างรุนแรงตกเป็นหนี้เป็นสินต่างชาติด้วยเงินมูลค่ามหาศาล องค์หลวงตาเปรียบภาวะดังกล่าวเป็น สงครามเศรษฐกิจ และด้วยเมตตาธรรมขององค์ท่านจึงได้เสียสละออกมาเป็นผู้นำใน โครงการช่วยชาติ เทศนาธรรมนำพี่น้องประชาชนไทยให้รักชาติ พร้อมเพรียงสามัคคีและเสียสละด้วยการบริจาค ทองคำและเงินดอลลาร์เข้าคลังหลวง เพื่อเป็นหลักประกันของชาติสืบไป
องค์หลวงตาเมตตาก่อตั้ง โครงการช่วยชาติ อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๔๑ ณ สวนแสงธรรม กรุงเทพมหานคร โดยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เสด็จเป็นประธานฝ่ายฆราวาส โครงการช่วยชาติได้รับการตอบรับอย่างกว้างขวางทั้งจากพระสงฆ์และประชาชนทุกหมู่เหล่าทั้งในประเทศและต่างประเทศ ต่างมีน้ำใจเสียสละขวนขวายทุ่มเทอย่างจริงจังเพื่อชาติ จนมีผลานิสงส์ยิ่งใหญ่ค้ำชาติไทยให้แคล้วคลาดปลอดภัยหลุดพ้นจากภัยเศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็ว
โครงการช่วยชาติได้มีพิธีปิดอย่างเป็นทางการ ณ สวนอัมพร บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า เมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๔๗ โดยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินเป็นประธานในพิธี อย่างไรก็ตาม แม้องค์ท่านจะได้ยุติการออกเดินทางไปรับผ้าป่าช่วยชาติในสถานที่ต่างๆ ทั่วประเทศ และเทศน์เตือนพระเณรให้เร่งภาวนาตามปฏิปทาที่หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ได้พาดำเนินตลอดมาเพื่อชดเชยช่วงเวลาที่สูญเสียไปจากภาระที่หนักหน่วงของชาติ
อย่างไรก็ตาม ความห่วงใยขององค์หลวงตาต่อคลังหลวง หรือ ทุนสำรองเงินตรา ว่ามีความสำคัญจำเป็นอย่างยิ่งต่อความมั่นคงของชาติกลับมิได้ลดน้อยถอยลงไปด้วยแต่อย่างใด ประกอบกับมีความพยายามหลายวาระจากผู้มีอำนาจคณะต่างๆ ที่มักหาอุบายวิธีจะเข้ามาแก้ไขกฎหมายล้วงเอาคลังหลวงไปใช้โดยยกเอาเหตุผลต่างๆ มาเป็นข้ออ้างล่อหลอกประชาชน อาทิ เอาไปลงทุนให้ได้ดอกผลมากขึ้นบ้าง เอาไปใช้ลดหนี้สาธารณะเพื่อพัฒนาประเทศบ้าง เอาไปตั้งเป็นกองทุนเพื่อความมั่งคั่งบ้าง เอาไปแก้ปัญหาภัยธรรมชาติต่างๆ บ้าง หรือแม้กระทั่งเอาคลังหลวงไปใช้แต่เพียงตัวเลขทางบัญชีบ้าง เป็นต้น
ภยันตรายต่างๆ เช่นนี้น่าจะเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้องค์หลวงตายังต้องอุตส่าห์เมตตารับ ทองคำน้ำไหลซึม เข้าสู่คลังหลวงติดตามมาอีกภายหลังปิดโครงการช่วยชาติแล้วดังคำเทศนาเมื่อวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๔๘ ว่า
เมื่อยังพอเป็นไปได้อยู่เราจึงได้พิจารณา ประสานให้มันค่อยเป็นไปๆ อย่างนี้ เป็นประเภททองคำน้ำซับน้ำซึมไป มันก็ไม่ได้ล่าได้สายอะไรนี่ ไม่รีบไม่ด่วนไม่เร่ง ค่อยเป็นค่อยไป มันก็ค่อยมา .....เราต้องคิดซิ เราอยู่ในบ้านอยู่ในเมือง อยู่ในชาติของเรา เราต้องคิดถึงบ้านถึงเมืองถึงชาติของเรา สังคมครอบครัวของเรา คิดย้อนหน้าย้อนหลังซิเราเป็นเจ้าของ จะอยู่เฉยๆ ไม่เหมาะนะเราเป็นเจ้าของ ปู่ย่าตายายที่ท่านพาถ่อพาพายมาท่านเป็นเจ้าของมา ท่านรับผิดชอบมาเรื่อยๆ แล้วพวกเราลูกหลานไม่รับผิดชอบต่อสายกันไปมันก็ฉิบหายได้ ต้องต่อสืบทอดกันไป ต้องคิด พวกเรา คิดทุกคนนะ คิดเพื่อความแน่นหนามั่นคงแห่งชาติของตน แล้วยังต้องคิดถึงความสงบสุขของบ้านเมืองอีก ต้องคิดหลายแง่หลายทาง อย่าเอาแต่ความอยากความทะเยอทะยาน ความเอาตามใจชอบๆ ความตามใจชอบมันมีแต่ฝ่ายต่ำนะ ไม่ได้มีฝ่ายสูงคือธรรมแทรกเลย ถ้ามีธรรมแทรกเข้าไป ถึงฝืนก็ฝืนเป็นยาๆ ไปเรื่อย ขมก็ขมเป็นยา เป็นอย่างนั้นนะ จึงควรพิจารณาพี่น้องทั้งหลาย
ระยะต่อมาอีกเพียง ๒ ปี ๔ เดือน ก่อนองค์หลวงตาจะเข้าสู่พระนิพพานในวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๕๔ คือเมื่อวันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๑ องค์ท่านยังเทศน์ย้ำถึงความสำคัญจำเป็นเกี่ยวกับคลังหลวงอีกว่า
ให้พี่น้องทั้งหลายช่วยกันนะ หลวงตาบัวไม่นานก็จะตาย ลูกหลานทั้งหลายไม่ตายให้ได้อาศัยนี้ หลวงตาพาพี่น้องทั้งหลายช่วยหาสมบัติอันสำคัญเข้าสู่คลังหลวงของเรา เพื่อให้ลูกหลานเราได้สืบหน่อต่อแขนงต่อไปอีก ที่เราได้มานี้ปู่ย่าตายายของเราหามาไว้ให้ ทีนี้ก็ให้สืบทอดกันไป อย่าให้กุดให้ด้วนไป ของเก่าที่ได้มากินหมด ของใหม่ไม่มีไม่ได้นะ ต้องหาของใหม่มาเพิ่มเข้าไป
แม้ที่สุดวาระนิพพาน องค์หลวงตายังเน้นหนักความสำคัญของคลังหลวงดังปรากฏตาม พินัยกรรม ซึ่งเปรียบประหนึ่งว่า องค์ท่านยอมเสียสละเอาพระสรีระสังขารที่หมดลมหายใจขึ้นมาโอบอุ้มคลังหลวงตราบจนวาระสุดท้ายแห่งชีวิต ทำให้ได้ทองคำเข้าคลังหลวงเพิ่มขึ้นอีกจำนวนมากรวมทั้งสิ้นตั้งแต่วันเริ่มต้นโครงการช่วยชาติเป็นน้ำหนักมากถึง ๑๓ ตัน เงินดอลลาร์ (รวมดอกเบี้ย) ๑๐,๘๐๓,๖๐๐ เหรียญสหรัฐอเมริกา
ด้วยเหตุผลตามอรรถธรรมขององค์หลวงตาที่ได้เมตตาพร่ำสอนกล่าวเตือนไว้อย่างจริงจังเด็ดขาดย้ำแล้วย้ำเล่าเช่นนี้ อีกทั้งเพื่อเป็นการสืบสานเจตนารมณ์ขององค์หลวงตาให้ดำรงอยู่คู่ชาติไทยมิให้เสื่อมสูญไป ศิษยานุศิษย์ทั้งฝ่ายบรรพชิตและคฤหัสถ์จึงเห็นพ้องต้องกันว่า พวกเราจะตอบแทนพระคุณองค์หลวงตาด้วยการบำเพ็ญทานสืบสานประเพณีอันดีงามที่องค์ท่านได้เมตตาพาดำเนินมานี้ ให้ดำรงอยู่คู่ชาติศาสน์กษัตริย์ชั่วลูกชั่วหลานตลอดไป โดยมิได้ถือเอาความมากน้อยของปัจจัยทำบุญเป็นประมาณยิ่งกว่าการปฏิบัติบูชาตามที่องค์หลวงตาสั่งสอนอันเป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อบูรพมหากษัตริย์และบรรพบุรุษไทย และต่อองค์หลวงตาที่ได้เมตตาอุตสาหะนำพาคนไทยให้รู้จักการเพิ่มพูนและปกปักรักษาคลังหลวงอันเป็นการเสียสละเพื่อส่วนรวมได้ชนิดยอมทุ่มเทเอาชีวิตเข้าแลกได้เลยทีเดียว
อีกประการหนึ่ง เพื่อให้กุลบุตรสุดท้ายภายหลังที่เกิดไม่ทันหรือไม่มีโอกาสได้เข้าร่วมในกองบุญมหากุศลอันยิ่งใหญ่เพื่อชนทั้งชาติที่มีองค์หลวงตาเป็นผู้นำกองนี้ ให้เขาเหล่านั้นได้มีโอกาสเข้ามามีส่วนร่วมในการเพิ่มพูนและปกป้องคลังหลวงให้ยืนยงคู่ชาติศาสน์กษัตริย์เป็นมรดกตกทอดสู่ลูกหลานรุ่นแล้วรุ่นเล่าตลอดไป มิยอมให้ผู้ใดหรือคณะบุคคลใดเข้ามาแตะต้องทำลายโดยเด็ดขาด ให้ประเพณีอันดีงามนี้ได้สืบทอดต่อไปถึงลูกถึงหลาน เพราะตราบที่ผ้าป่า ๑๒ เมษา นำทรัพย์สินเข้าคลังหลวงยังดำรงอยู่ ตราบนั้นจะไม่มีใครมาแตะต้องคลังหลวงโดยง่าย ทำให้ประเพณีการรักษาคลังหลวงที่องค์หลวงตาเป็นผู้นำไม่มีวันสิ้นสูญ เด็กรุ่นต่อๆ ไปจะรู้จักและเห็นความสำคัญของคลังหลวง เห็นถึงความเสียสละและคุณูปการอันยิ่งใหญ่ขององค์หลวงตาที่มีต่อชาติไทยของเรา ผู้มีอำนาจในบ้านเมืองทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องก็จักได้ตระหนักระมัดระวังสินทรัพย์ของแผ่นดิน พระธรรมเทศนาขององค์หลวงตาจะดังกึกก้องกังวาลอยู่ตลอดชั่วนิรันดร์กาลว่า คลังหลวงคือหัวใจของชาติ หากคลังหลวงกุดด้วนไปเมื่อใด เมื่อนั้นหลวงตาเขียน ใบตาย ให้กับชาติไทยในทันที
คณะศิษยานุศิษย์องค์หลวงตาผู้มีความเคารพเทิดทูนบูชาในปณิธานคำสอนขององค์หลวงตา จึงได้พร้อมใจกันจัดงานบุญประเพณี ผ้าป่า ๑๒ เมษา สืบหน่อต่อแขนงคลังหลวง บูชาพระคุณองค์หลวงตา เป็นประจำทุกปี โดยได้จัดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๕ แม้จะมิได้ประชาสัมพันธ์ในวงกว้างเท่าใดนักก็ยังสามารถรวบรวมปัจจัยเป็นจำนวนมูลค่าได้มากถึง ๑๙,๐๐๐ เหรียญสหรัฐอเมริกา ซึ่งคณะสงฆ์ได้นำสินทรัพย์ดังกล่าวเข้ามอบแด่ ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ณ หอประชุม.... ธนาคารแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๕ และสินทรัพย์ดังกล่าวก็ได้นำเข้าสู่คลังหลวงในทันที สำหรับในปีนี้เป็นปีที่ครบรอบ ๑๖ ปี แห่งโครงการช่วยชาติ คณะสงฆ์และประชาชนศิษยานุศิษย์องค์หลวงตาจึงมีสามัคคีธรรมพร้อมใจกันแสดงความกตัญญูกตเวทีและความรักชาติด้วยการปฏิบัติบูชาตามคำสอนขององค์หลวงตาให้สัมฤทธิผลเป็นธรรมเทศนาปาฏิหาริย์ปรากฏแก่สายตาของสาธารณชนอีกครั้งหนึ่ง ยังความแน่นหนามั่นคงเพิ่มพูนคลังหลวงให้สถิตสถาพรอยู่คู่ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ตลอดไป
วัตถุประสงค์
๑. ร่วมใจกันบริจาคสินทรัพย์เข้าสู่คลังหลวง เป็นการแสดงความรัก ความพร้อมเพรียงสามัคคี และความเสียสละเพื่อชาติ เงินบริจาคจะมากหรือน้อยไม่สำคัญยิ่งกว่าการได้ทำหน้าที่เพื่อชาติ
๒. สืบทอดเจตนารมณ์ขององค์หลวงตาให้เป็นประเพณีแห่งมหาทานมหากุศลเพื่อชาติเป็นประจำทุกปี เป็นการรำลึกถึงคุณูปการและตอบแทนพระคุณขององค์หลวงตา ตลอดจนบูรพมหากษัตริย์และบรรพชนชาวไทยที่สามารถเสียสละเลือดเนื้อและชีวิตได้เพื่อชาติ
๓. แสดงความกตัญญูกตเวทิตาต่อองค์หลวงตาผู้เป็นพ่อแม่ครูอาจารย์ที่เคารพบูชาอย่างสุดหัวใจของเหล่าคณะศิษย์ชั่วลูกชั่วหลาน
๔. เปิดโอกาสให้กุลบุตรสุดท้ายภายหลังที่เกิดไม่ทันหรือไม่มีโอกาส ได้เข้ามามีส่วนร่วมในกองบุญที่มีองค์หลวงตาเป็นผู้นำแห่งการก่อตั้ง
๕. เป็นการตอกย้ำและประกาศให้สาธารณชนได้รับรู้ว่า จะมิยอมให้ผู้ใดหรือคณะบุคคลใดเข้ามาแตะต้องหรือทำลายคลังหลวงได้โดยเด็ดขาด จะสืบทอดประเพณีการรักษาคลังหลวงให้ดำรงอยู่คู่สถาบันหลักของชาติ
การร่วมบุญ
ผู้ที่ประสงค์จะร่วมบุญสามารถร่วมถวายผ้าป่าฯ เป็นประจำทุกปี ณ วัดป่าบ้านตาด หรือมูลนิธิเสียงธรรมเพื่อประชาชนฯ เนื่องในงานบุญ ๑๒ เมษายน ของทุกปี หรือบริจาคได้ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาบิ๊กซี อุดรธานี บัญชีออมทรัพย์เลขที่ 829-234381-4 ชื่อบัญชี วัดป่าบ้านตาด เพื่อบุญ 12 เมษา รักษาคลังหลวงตามปณิธานหลวงตาฯ
(หมายเหตุ บัญชีดังกล่าวจะถูกปิดในวันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๕๗ เวลา ๑๒.๐๐ น. ถือว่าเสร็จสิ้นงานบุญประเพณีสำหรับปีนี้ และจะไม่มีการรับผ้าป่าหรือการรับบริจาคเพื่อการนี้อีกจนกว่าจะถึงงานบุญประเพณีในปีถัดไป หากพบเห็นในที่ใดกรุณาทราบว่าที่นั้นมิใช่งานบุญตามวัตถุประสงค์ของคณะศิษยานุศิษย์ขององค์หลวงตา)
ด้วยอานิสงส์ที่ท่านทั้งหลายมีขันติธรรมวิริยะธรรมได้ร่วมบุญและอนุโมทนาบุญในครั้งนี้เป็นผลสำเร็จ ขอผลานิสงส์ผลบุญเหล่านี้จงเป็นพลวปัจจัยเกื้อหนุนให้ท่านทั้งหลายเจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณ ธนสารสมบัติ และธรรมสมบัติ ถึงความสำเร็จพร้อมในกิจการงานทางโลกและทางธรรม ให้คลังหลวงมีความมั่นคงยืนยาว แคล้วคลาดปลอดภัยพ้นจากภยันตรายใดๆ สถิตสถาพรอยู่คู่บ้านคู่เมือง คู่สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ตลอดกาลนานเทอญ